พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 512 อย่าทำให้เป็นห่วง
ตอนที่ 512 อย่าทำให้เป็นห่วง
“จริงสิ เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” มู่จวินฮานรู้ว่าอันหลิงเกอมีเรื่องบางอย่างจึงมาหา เพราะนางคงมิบังเอิญผ่านมาทางนี้หรอก
“มีเจ้าค่ะ ข้ามาตรวจชีพจรให้ท่าน”
ได้ยินนางกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว มู่จวินฮานก็เข้าใจและมิได้ปฏิเสธ ทั้งยังยื่นมือไปให้ตรวจอีกด้วย
“โชคดีที่มิได้รับบาดเจ็บเพราะท่านได้ประมือกับฟางหลิงซู่ผู้แข็งแกร่งมากเจ้าค่ะ”
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อได้ยินนางชื่นชมบุรุษอื่นต่อหน้าจึงส่งผลให้มู่จวินฮานรู้สึกมิพอใจขึ้นมา
“อืม” เขาพึมพำตอบรับเบา ๆ และมิได้กล่าวอันใดต่อ
“หากมีคราต่อไป…”
เดิมทีอันหลิงเกออยากพูดว่าหากมีคราต่อไปที่ต้องเผชิญกับเรื่องเยี่ยงนี้อีกก็หวังว่าเขาจะมิขัดขวางให้นางตามไปด้วย
“คราต่อไป ข้าก็ยังจะทำเยี่ยงนี้”
คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานรู้ว่านางกำลังจะเอ่ยสิ่งใดจึงพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ท่าน ! ”
อันหลิงเกอได้ยินมู่จวินฮานกล่าวเยี่ยงนี้ก็ถลันกายลุกขึ้นยืนและต้องการเดินจากไปด้วยความโกรธ แต่คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานได้กระโดดข้ามจากโต๊ะอีกฝั่งแล้วมาขวางทางของนางไว้
“พระชายาเป็นห่วงข้าหรือ ? ”
มู่จวินฮานมิค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยี่ยงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาได้ยื่นหน้ามาใกล้นางซึ่งทำให้นางลืมหายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว
“ในเมื่อท่านอ๋องหมดเรื่องแล้ว เกอเอ๋อขอตัวกลับเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอแค่อยากหลีกหนีจากเขาโดยเร็วที่สุดเพราะมู่จวินฮานในด้านนี้มักทำให้หัวใจของนางแทบหยุดเต้น
“มิว่านานเพียงใดข้าก็มิอยากให้พระชายาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพัง”
มู่จวินฮานมองตามแผ่นหลังของอันหลิงเกอที่กำลังเดินจากไป เขาจึงเอ่ยด้วยเสียงมิดังและมิเบามากนัก ทั้งไม่ได้แสดงเจตนาใดราวกับแค่อยากบอกอันหลิงเกอว่าห้ามไปเผชิญกับอันตรายเพียงผู้เดียว
“จวินฮาน ข้า…”
อันหลิงเกอหันหลังกลับมา แต่ยังมิทันพูดจบก็ถูกมู่จวินฮานดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเสียแล้ว
“การเป็นพระชายาของข้าอย่างสบายใจมันยากมากเลยหรือ ? ”
อันหลิงเกอได้ใกล้ชิดกับมู่จวินฮานก็ทำให้หัวใจเต้นรัวจนมิกล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้นมองสบตากับเขา
“ข้ามิได้…”
อันหลิงเกอยังต้องการเอ่ยบางอย่างแต่ได้ยินเสียงสิ่งของแตกหลังโต๊ะหนังสือ ทันทีที่เงยหน้ามองก็พบซูโจวที่มิรู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อใดและเวลานี้เขากำลังมองทั้งสองคนด้วยแววตายากคาดเดาความคิด
วรยุทธของซูโจวมิได้แย่เลย แน่นอนว่ามิอาจคาดเดาความคิดได้ด้วย
“พอเถิดเจ้าค่ะ ท่านอ๋องปล่อยข้าได้แล้ว”
เมื่อเห็นซูโจวแล้ว อันหลิงเกอก็ยิ่งรู้สึกเขินอายเข้าไปใหญ่
เดิมทีมู่จวินฮานมิอยากปล่อยนางเป็นอิสระ แต่ก็มองออกว่านางมิยอมเป็นแน่จึงปล่อยตัวนางออกจากอ้อมแขน
“พระชายามิต้องเขินอายไปหรอกขอรับ” ซูโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความอบอุ่นพร้อมส่งยิ้มให้อันหลิงเกอ
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นรอยยิ้มของซูโจวแล้ว อันหลิงเกอมักรู้สึกสบายใจขึ้นมา ครั้นเบนสายตามามองมู่จวินฮานก็เห็นอีกฝ่ายมีแววตาครุ่นคิดอย่างหนัก
“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอตัวก่อน เมื่อครู่คงรบกวนพวกท่านเกินไปขอรับ”
ซูโจวขอตัวลาและเหลือบมองอันหลิงเกอแต่มิได้มีรอยยิ้มเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเมินเฉยและเดินออกจากประตูไป
ทว่าในขณะที่เขาเดินผ่านอันหลิงเกอ เท้าของเขากลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
“พระชายาไปหอพิษกู่มาแล้วหรือขอรับ ? ”
“อืม”
อันหลิงเกอพยักหน้าพลางมองไปยังมู่จวินฮานก็เห็นเขาแสดงท่าทีแปลกใจออกมาเช่นกัน เนื่องจากมู่จวินฮานมิได้บอกซูโจว แล้วอีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ?
“พวกเขามอบสิ่งใดแก่พระชายาหรือไม่ขอรับ ? ”
ซูโจวถามพร้อมแววตาเคร่งขรึมมาก อันหลิงเกอก็มิรู้ว่าเหตุใดซูโจวจึงถามเยี่ยงนี้เพราะทางหอพิษกู่ต้องการแค่เลือดของนางเท่านั้นและมิได้มอบสิ่งใดเป็นการตอบแทนมาเลย
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงก้อนหินที่หนานกงหลิงเยว่ให้ไว้ หรือซูโจวหมายถึงของสิ่งนั้น ?
เมื่อคิดได้ดังนั้นอันหลิงเกอก็คลำหาในกระเป๋าอกเสื้อทันที
“ส่งมันให้ข้าน้อยเถิดขอรับ”
ซูโจวเตรียมแย่งของจากมืออันหลิงเกออย่างไร้มารยาท ทว่ามือของมู่จวินฮานเร็วกว่าจึงขวางเอาไว้ได้
“เจ้าคิดทำอันใด ! ”
น้ำเสียงของมู่จวินฮานแสดงความมิพอใจที่ซูโจวกระทำเยี่ยงนี้ต่ออันหลิงเกอ
“พระชายาจักตายเพราะสิ่งนี้ขอรับ ! ”
ตายเพราะสิ่งนี้หรือ ?
ได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่จวินฮานกับอันหลิงเกอก็ตกตะลึง
ในเวลาเดียวกันนั้นมู่จวินฮานก็เห็นของในถุงผ้าของอันหลิงเกอ
“หินก้อนนี้พวกเขามอบให้พระชายาหรือขอรับ ? ” เมื่อได้เห็นของสิ่งนั้นแล้ว ซูโจวก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรนราวกับเป็นก้อนหินที่ตนก็รู้จักดี
“ใช่”
อันหลิงเกอพยักหน้ารับและยังรู้สึกสับสนเล็กน้อยต่อสถานการณ์นี้เพราะมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
จากนั้นนางก็เห็นมือของซูโจวยื่นมาทางก้อนหินในมือของนาง แต่เขาเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถอยหลังไป
“เกิดอันใดขึ้น ? เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหินก้อนนี้จะทำร้ายเกอเอ๋อมิใช่หรือ ? ”
เมื่อเห็นซูโจวทำเยี่ยงนี้แล้ว มู่จวินฮานจึงถามและมองไปยังก้อนหินด้วยแววตาระแวดระวัง
“ใช่ขอรับ”
ตอนนี้ดูเหมือนซูโจวก็มิมั่นใจเอาเสียเลย แต่อย่างไรก็ยังสรุปว่าหินก้อนนี้เป็นอันตรายมาก
“เช่นนั้นก็…”
มู่จวินฮานกล่าวยังมิทันจบก็เตรียมซัดหินในมือของอันหลิงเกอออกไป แต่ซูโจวรีบจับมือเขาไว้แน่นและมิยอมให้แตะต้องหินก้อนนี้
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือ ? ”
ครานี้เปลี่ยนเป็นอันหลิงเกอที่มิเข้าใจ นางนำก้อนหินไปวางไว้บนโต๊ะแล้วก็นั่งมองซูโจว
“หินก้อนนี้อาจมีแค่เจ้าของที่สามารถแตะต้องได้ หรือกล่าวอีกนัยได้ว่าตอนนี้มีเพียงพระชายาที่สามารถแตะต้องมันได้ขอรับ” ซูโจวกล่าวด้วยท่าทีจริงจังคล้ายรู้เรื่องราวมามิน้อย แต่ก็มิได้ตั้งใจเอ่ยแบบตรงประเด็น “เรื่องอื่นท่านมิจำเป็นต้องรู้เพราะข้าน้อยจัดการเองได้ บางทีหินก้อนนี้อาจปกป้องท่านและอาจช่วยท่านหนีพ้นปัญหาจากหอพิษกู่ได้ขอรับ”
เมื่อได้ยินแล้วอันหลิงเกอก็มิได้ถามต่อ เพียงมองไปยังซูโจวและมองมู่จวินฮานอีกครั้งโดยมิได้กล่าวอันใดอีก
“เอาล่ะ ซูโจวไปทำงานของเจ้าเถิด ส่วนเกอเอ๋อก็กลับเรือนไปพักผ่อนได้แล้ว” เป็นมู่จวินฮานที่เอ่ยขึ้นเพราะรู้ว่าหากฝืนกล่าวต่อไปคงทำให้ทั้งสองเกิดความสับสนมากขึ้นก็ได้ สู้หลบเลี่ยงปัญหานี้ไปก่อนดีกว่า
อันหลิงเกอพยักหน้ารับและซูโจวก็มิได้ถามอันใดอีกเช่นกัน เขาแค่เดินออกไปข้างนอกอย่างรู้หน้าที่
เมื่อครู่ตอนที่เดินผ่านมู่จวินฮานนั้นซูโจวได้กลิ่นหอมฉุนของหินก้อนนั้น บัดนี้จึงถือว่าทุกอย่างชัดเจนแล้ว
“จวินฮาน ข้าแค่…”
เมื่อครู่อันหลิงเกอมองออกว่ามู่จวินฮานอยากปกป้องนาง ความรู้สึกนั้นทำให้นางเกิดความอบอุ่นใจขึ้นมา
“เจ้าเป็นพระชายาของข้า ดังนั้นมิจำเป็นต้องพูดเกรงใจเยี่ยงนี้”
มู่จวินฮานมิได้ถามเรื่องระหว่างนางกับหนานกงหลิงเยว่ มิได้ถามเรื่องหินก้อนนั้นให้มากความและมิได้ขัดขวางทุกเรื่องที่นางกระทำ
สองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจและเหมาะสมกันที่สุดแล้ว
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
มู่จวินฮานรู้ว่าอันหลิงเกอเหนื่อยแทบขาดใจ อีกทั้งนางเพิ่งกลับมาถึงก็มาตรวจอาการของเขาอีกซึ่งเป็นการแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อเขา
อันหลิงเกอมิได้ดื้ออยู่ต่อและกลับไปยังเรือนฝูหลิงทันที
เมื่อกลับถึงเรือนแล้วนางก็หยิบหินก้อนนั้นมาวางบนโต๊ะพลางหวนนึกถึงคำพูดของหนานกงหลิงเยว่ที่เคยบอกว่าหินก้อนนี้เป็นของมารดามาก่อน
หมายความว่ามันเคยอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่มานานหลายปีใช่หรือไม่ ?
อันหลิงเกอรู้สึกว่าทุกครั้งที่หยิบมันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลาย บางทีนี่อาจเป็นกระแสจิตรูปแบบหนึ่งกระมัง
แต่เมื่อซูโจวและมู่จวินฮานเห็นก็ล้วนมิกล้าแตะต้อง แสดงว่าหินก้อนนี้จะทำร้ายคนอื่นยกเว้นนางผู้เดียวหรือ ?
ตั้งแต่ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของแคว้นชิงเยว่ อันหลิงเกอก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกใบนี้มีเรื่องราวลึกลับมากมายเหลือเกิน
แม้แต่ฟางหลิงซู่และหนานกงหลิงเยว่แห่งหอพิษกู่ก็ล้วนเป็นคนที่นางมิอาจคาดเดาได้ นับประสาอะไรกับเรื่องแปลกประหลาดที่พบได้ยากยิ่งเหล่านี้