พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 527 ภัยธรรมชาติ
ตอนที่ 527 ภัยธรรมชาติ
มู่จวินฮานมักนำทัพออกรบอยู่บ่อยครั้งจึงรู้สถานการณ์ในภูมิประเทศรูปแบบต่าง ๆ เป็นอย่างดีและเขาเชื่อว่าจ้าวหลานหยู่ก็คงเตรียมตัวมาก่อนเช่นกัน เวลานี้พวกเขาคงมิเกิดอันตราย
การนอนหลับในครานี้ของอันหลิงเกอมิได้ราบรื่นนักเพราะในห้วงความฝันแล้วทั่วสารทิศล้วนเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายที่มิอาจควบคุมได้
“ท่านแม่…”
ดูเหมือนในฝันนางสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มของมารดา แต่มิว่าเป็นเยี่ยงไรก็มิสามารถสัมผัสได้จริง
“ท่านแม่…”
ตอนนี้น้ำตาของนางไหลรินลงอาบหมอน เสียงร้องไห้สะอื้นปลุกให้มู่จวินฮานที่อยู่ด้านข้างตื่นขึ้น
ทว่าเพราะอาการบาดเจ็บบนแขนขวาของตน กอปรกับในเวลานี้ถูกนางนอนทับทั้งคืนจึงมิอาจขยับได้ เขาทำได้เพียงยกแขนซ้ายขึ้นมาเบา ๆ แล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง
“เกอเอ๋อ เกอเอ๋อ…” ครั้นเห็นนางทุกข์ใจเยี่ยงนี้เขาทำได้แค่ต้องปลุกนาง
“จวินฮาน ข้า…”
พอนางตื่นขึ้นมาและรู้ว่าตรงหน้าคือผู้ใด นางก็โผเข้าหาอ้อมกอดของเขาทันที แต่จู่ ๆ นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดจึงรีบเงยหน้าขึ้น
“ท่าน…”
นางยังมิทันได้ถามก็เห็นหมอนที่เปื้อนไปด้วยเลือด ดูเหมือนนางพยายามนึกย้อนไปในช่วงเมื่อคืนและก็คิดได้ในที่สุด
“เหตุใดท่านจึงมิยอมทำแผลสักหน่อย”
นางรีบปลดผ้าคาดเอวของตนออกมาแล้วทำการห้ามเลือดบนแขนของเขา จากนั้นหยิบยาจากเอวออกมาทาให้เขา
แขนข้างนี้เสียเลือดมากตั้งแต่เมื่อคืนและถูกนางนอนทับตลอดทั้งคืนด้วย เวลานี้จึงบวมแดงอย่างมิอาจทนมองได้
“ข้ามิเป็นไร”
มู่จวินฮานพูดพร้อมยกมือลูบผมของนางอย่างเบามือ เขามิได้ใส่ใจบาดแผลนัก เพียงแต่นึกเสียใจที่มิควรพานางมาที่นี่
เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วความหวาดกลัวของนางก็ปรากฏอยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น อันหลิงเกอมีจิตใจบริสุทธิ์ทั้งยังมิเคยประสบอันตรายเยี่ยงนี้จึงมีความรู้สึกค่อนข้างไวและทำให้นางหวาดกลัว
อันหลิงเกอเห็นมู่จวินฮานกำลังกล่าวโทษตนเองอยู่นั้น นางจึงยื่นมือไปจัดผมที่ปรกบนหน้าผากของเขา
“ที่แห่งนี้ทำให้ข้าได้เรียนรู้มากขึ้นและทำให้ท่านได้เห็นมุมน่าขบขันอย่างที่มิเคยเห็นมาก่อนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเอ่ยอย่างวางใจและมั่นใจว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งนางต้องสงบกว่านี้
และการที่นางช่วยจัดการบาดแผลให้มู่จวินฮานโดยมิทันสังเกตว่าเสื้อผ้าของตนเปิดออกเพราะปราศจากผ้าคาดเอว ส่งผลให้เห็นหัวไหล่เพียงเล็กน้อย
เป็นเหตุให้มู่จวินฮานอดสูดลมหายใจเข้าลึกมิได้ เวลานี้ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว มิได้ มิได้…
เขาจึงเมินหน้าไปทางอื่นเพื่อรอให้อันหลิงเกอจัดการบาดแผลจนเสร็จ เขาก็รีบลุกขึ้นทันที
“ข้าจะออกไปตักน้ำ” เรื่องเหล่านี้ในช่วงนำทัพมู่จวินฮานมักชอบทำด้วยตนเองเสมอ
“เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอก็สังเกตเห็นเสื้อผ้าของตนในระหว่างทำแผลให้มู่จวินฮาน แต่นางมิได้ใส่ใจเพราะเขาเป็นสามีของนาง ตอนนี้เห็นมู่จวินฮานรีบเดินออกไปแล้ว นางก็อดยิ้มมิได้
เขาช่างดีกับนาง ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่หาได้ยากยิ่ง อันหลิงเกอรู้ว่านอกจากครอบครัวแล้วยังมีอีกคนที่จริงใจกับนางเยี่ยงนี้
“มู่จวินฮาน”
นางอดเรียกชื่อเขามิได้และในเวลาเดียวกันอวี๋หมิงหลันก็เปิดม่านเข้ามาเพื่อปลุกนางพอดี ครั้นเห็นอันหลิงเกอยิ้มอย่างมีความสุข ในใจของอวี๋หมิงหลันก็หวั่นไหวทันใด
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดนางมักมาอยู่ในช่วงเวลาเยี่ยงนี้เสมอจึงอดอิจฉาอันหลิงเกอมิได้
นางติดตามจ้าวหลานหยู่ก็มิเคยมีความรู้สึกได้รับความสุขและเขินอายเยี่ยงนี้มาก่อน
“เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ ? ”
“มิมีอันใด เพียงแต่ข้าเห็นเจ้ายังมิตื่นจึงมาดู แผ่นดินไหวเมื่อคืนมิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอส่ายหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเวลานี้อวี๋หมิงหลันก็เพิ่งสังเกตเห็นเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
“ข้าจะออกไปรอเจ้าข้างนอก ประเดี๋ยวเจ้ามาอีกกระโจมหนึ่งก็แล้วกัน เราจักไปทำอาหารทานกัน”
อันหลิงเกอเพิ่งสังเกตเห็นแววตาและใบหน้าที่แดงระเรื่อของอีกฝ่าย
“ดี อืม ดี…”
จากนั้นอันหลิงเกอก็ก้มหน้ามองการแต่งกายของตนจนทำให้ผู้อื่นที่เห็นหลงคิดไปไกล
นางพลันนึกถึงมู่จวินฮานโดยมิรู้ตัว
ความใกล้ชิดเมื่อครู่ นางไม่ได้รู้สึกว่ามิเหมาะสมแต่อย่างใด ตรงกันข้ามคือเป็นการใกล้ชิดที่สมควรแล้ว
คิดเยี่ยงนี้มิได้ ! อันหลิงเกอส่ายหน้าและอยากกำจัดเขาออกจากสมองของตน
หลังแต่งกายเสร็จแล้ว อันหลิงเกอก็เดินมายังกระโจมที่อวี๋หมิงหลันบอกไว้ คาดมิถึงว่าคุณหนูตระกูลอวี๋จักมีฝีมือในการทำอาหารยอดเยี่ยมเพียงนี้
“จริงสิ เหตุใดจึงมิเห็นกองทัพเลยเล่า ? ”
อันหลิงเกอเกิดความสงสัยเล็กน้อย พวกเขาต้องออกไปสู้รบข้างนอกแล้วเหตุใดมิเห็นกองทัพมาพร้อมกันเลย ?
“ครานี้ไร้กำลังเสริม แต่ให้ใช้ประโยชน์จากพลทหารประจำการเท่านั้น”
น้ำเสียงของจ้าวหลานหยู่ที่ตอบออกมาแฝงไปด้วยความมิพอใจ คาดมิถึงว่าฮ่องเต้ทรงตระหนี่เยี่ยงนี้ แม้แต่ขนสักเส้นก็มิให้ถอน
ในเมื่อตกลงกันแล้วยังมิยอมให้พวกเขายกทัพออกไปสองทัพ ตั้งพระทัยเตรียมการป้องกันเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่มู่จวินฮานเข้าใจเหตุผลนี้ดีเพราะเวลานี้พระชนมายุของฮ่องเต้ก็มากแล้วจึงกังวลมากเป็นพิเศษ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เขาเองก็พอคิดได้
“เช่นนี้ เราต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น”
อันหลิงเกอก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านั้นนางก็รับรู้ถึงความหวาดระแวงของฮ่องเต้อยู่แล้ว
เพียงแต่นางยังกังวลเพราะหากไร้กองกำลังทหารก็อาจทำให้พวกเขาเกิดอันตรายได้
หากเผ่าปิงชวนโดนโจมตีโดยมู่จวินฮานและจ้าวหลานหยู่ แต่ฝ่ายเราเกิดแพ้เผ่าปิงชวนขึ้นมาก็เกรงว่าศัตรูคงบุกไปทำลายเมืองหลวงทันทีและล้อมฮ่องเต้เอาไว้
เรื่องนี้หรือว่าฮ่องเต้มิเคยคิดไว้ ?
สงครามในครานี้จักแพ้มิได้
“ระวัง ! ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของชิงเฟิงดังขึ้นนอกกระโจม
“เกิดอันใดขึ้น ด้านนอกเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ ? ”
ดูเหมือนจ้าวหลานหยู่กระวนกระวายใจมากทีเดียวจึงรีบลากตัวอวี๋หมิงหลันมายืนอยู่ด้านหลังของมู่จวินฮานทันที เขาชะเง้อมองออกไปตามรอยแง้มของกระโจม
เวลานี้พวกเขาถูกล้อมไว้หมดแล้วแม้อยู่ห่างจากเผ่าปิงชวนมิน้อย ตามความเป็นจริงแล้วศัตรูมิมีทางหาที่นี่เจอ
“พวกเจ้าเป็นผู้ใด ? ”
มู่จวินฮานเดินออกมาแล้ว อันหลิงเกอก็ตามมาด้วย นางมิได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกระโจม
“ข้าคือองค์ชายน้อยแห่งเผ่าปิงชวน เหตุใดพวกเจ้าจึงบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตเผ่าปิงชวนทั้งยังซ่อนตัวอย่างเงียบ ๆ อีกด้วย ? ”
ดูท่าแล้วชาวปิงชวนมิเป็นมิตรสักเท่าไร
เวลานี้อันหลิงเกอมิทันสังเกตเห็นจึงถูกคนที่อยู่ด้านหลังพุ่งชน ครั้นนางได้สติก็พบว่าเป็นจ้าวหลานหยู่ที่วิ่งหนีอย่างมิคิดชีวิต
จ้าวหลานหยู่ผู้นี้รักตัวกลัวตายเกินไปแล้ว
“ช่างเถิด พวกเจ้าสี่คนจงตามข้ามา”
องค์ชายน้อยแห่งเผ่าปิงชวนมิได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด เพียงมองไปยังอันหลิงเกอ มู่จวินฮาน ชิงเฟิงและอวี๋หมิงหลัน ก่อนผายมือเชื้อเชิญเป็นสัญญาณ
มู่จวินฮานมิกังวล ส่วนอันหลิงเกอก็คอยปกป้องอยู่ข้างกายอวี๋หมิงหลัน
“เข้าไปในเผ่าปิงชวนในฐานะแขกย่อมเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยก็มีองค์ชายคอยนำทาง”
หลังกล่าวจบมู่จวินฮานก็แอบเขียนตัวอักษรบางอย่างลงบนฝ่ามือของอันหลิงเกอและเดินนำไปขึ้นหลังอาชา
ลงมือเมื่อสบโอกาส
อันหลิงเกอเข้าใจความหมายของเขา จากนั้นก็ขยิบตาส่งสัญญาณไปทางอวี๋หมิงหลันแล้วทั้งสองคนจึงขึ้นควบอาชาตัวเดียวกัน
“เจียงอ๋องหนีไปจริงหรือ ? ”
นางเอ่ยถามอวี๋หมิงหลันเบา ๆ
“ระหว่างเขากับฝ่าบาทเหมือนมีการตกลงบางอย่าง เขาพูดกับข้าแล้วก็จากไป”
ดูเหมือนอวี๋หมิงหลันก็รู้ว่าในใจของจ้าวหลานหยู่มิธรรมดา การมาเผ่าปิงชวนครานี้มิรู้ว่าคิดทำอันใด
“ข้าจำได้ว่าบ้านเกิดของมู่เหล่าหวางเฟยก็อยู่ที่เผ่าปิงชวน”
อันหลิงเกอได้สติจึงรีบควบม้าไล่ตามมู่จวินฮานไปทันที
เวลานี้นางสวมหมวกทรงสูงจึงมิมีผู้ใดจำสถานะของนางได้
“มีสิ่งใดหรือ ? ”
มู่จวินฮานเอียงคอพลางขยับเข้ามาใกล้นาง
เวลานี้องค์ชายน้อยแห่งเผ่าปิงชวนที่อยู่ด้านหน้ามีท่าทีหยิ่งยโสจึงมั่นใจว่าพวกนางมิสามารถทำอันใดภายใต้จมูกของพระองค์ได้จนมิได้หันมามองแม้แต่น้อย