พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 533 คืนดี
ตอนที่ 533 คืนดี
“ไม่ ไม่ใช่ ! ” ทัวป๋าหลิวลี่คิดได้จึงรีบถอยร่นไปด้านหลังทันที
“…” แต่มู่จวินฮานมิได้สังเกตเห็นว่าในเวลานี้อันหลิงเกอกำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยแววตาลึกซึ้งอยู่ตลอด
“ข้าเป็นถึงองค์หญิงที่ถูกส่งตัวมาเชื่อมสัมพันธ์ หากเจ้าไร้หลักฐานแล้วจักมากล่าวโทษข้ามิได้” ในขณะที่พูดนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็ประคองหน้าท้องของตนไว้อย่างระมัดระวัง
“ท่านอ๋องควรสงสัยนางสิเจ้าคะ แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า ? ” จากนั้นทัวป๋าหลิวลี่ก็ยิ้มเยาะอย่างเย็นชาโดยมิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด
ตั้งแต่ถูกจับมายืนตรงนี้ก็เหมือนกับเผยนิสัยแท้จริงออกมาเรื่อย ๆ
“เช่นนั้นหรือ ? ” อันหลิงเกอหันไปมองมู่จวินฮานและนางก็รู้ว่าเขาเริ่มสงสัยเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไปความโกรธเคืองภายในใจได้มลายหายไปหมดสิ้นและตอนนี้อันหลิงเกอก็บอกมิได้ว่าควรรู้สึกเยี่ยงไร
“เกอเอ๋อ…” มู่จวินฮานได้ฟังอันหลิงเกิดกล่าวออกมาเพียงสั้น ๆ ก็รู้สึกตื่นตระหนกและตอนที่เขาหันไปมองอันหลิงเกอก็พบว่านางเมินหน้าไปทางอื่นแล้ว
“ในเมื่อท่านอ๋องยังสงสัยในตัวข้า เช่นนั้นข้าก็จะมิขออยู่ที่นี่ต่อ”
เมื่อกล่าวจบ อันหลิงเกอก็เดินจากไปด้วยความขุ่นเคือง ส่วนปี้จูที่ติดตามไปก็คาดมิถึงว่าเรื่องจะกลายมาเป็นเยี่ยงนี้ เดิมทีนางคิดเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนคืนดีกัน ให้อันหลิงเกอกลับมาเชื่อมั่นในตัวมู่จวินฮานอีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าทั้งสองคนทะเลาะและตัดสินใจแยกจากกัน
มู่จวินฮานมิได้ไล่ตามนางไปเพราะรู้ว่าเวลานี้อันหลิงเกอกำลังคิดอันใดอยู่
“เหตุใดพระชายามิฟังท่านอ๋องอธิบายเจ้าคะ ? ” ปี้จูประคองอันหลิงเกอที่เดินก้มหน้าด้วยความปวดใจออกมา อันหลิงเกอเหมือนกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ราวกับว่าทุกคำพูดล้วนทิ่มแทงนางจนเป็นแผลฉกรรจ์
“มิจำเป็นหรอก” อันหลิงเกอไร้กะจิตกะใจพูดอันใดให้มากความ
ปี้จูก็มิได้คะยั้นคะยออีก ทั้งสองคนเดินมาจนถึงพระอุโบสถ
นักบวชที่อยู่หน้าประตูพระอุโบสถมิรู้จักอันหลิงเกอ ดังนั้นปี้จูจึงรุดหน้าเข้าไปแจ้งความประสงค์
หลังอันหลิงเกอออกจากจวนอ๋อง มู่จวินฮานก็เศร้าใจตลอดทั้งวัน ส่วนอาการป่วยของเหล่าหวางเฟยยังมิดีขึ้น และเขาก็เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณโดยมิรู้ว่าควรทำเยี่ยงไรต่อไป
เดิมทีเขาคิดว่าอันหลิงเกอจักตรวจสอบความผิดของทัวป๋าหลิวลี่หลังจากไป แต่ตอนนี้พอสูญเสียนางไปแล้ว เขาจึงรู้สึกวิตกกังวล
แม้ทัวป๋าหลิวลี่อยู่ข้างกายของมู่จวินฮานและบุตรในครรภ์ก็ค่อยๆ เติบใหญ่ทุกวัน ทว่านางมิอาจทำให้มู่จวินฮานเห็นความสำคัญกับตนได้เลย
ในที่สุดมู่จวินฮานก็สืบหาที่อยู่ของอันหลิงเกอพบ ที่แท้นางก็อาศัยอยู่ในพระอุโบสถนี่เอง เมื่อเขารับรู้จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากและครานี้ต้องพานางกลับมาให้ได้
วันนี้ปี้จูกลับจวนอ๋องจึงเหลือเพียงอันหลิงเกอที่นั่งเหม่ออยู่ในลานกว้างของพระอุโบสถ จากนั้นได้ยินนักบวชตัวน้อยบอกว่า “อ๋องมู่มารับตัวสีกาแล้ว เชิญสีกาเก็บของและกลับจวนไปพร้อมท่านอ๋องเถิด”
เมื่อนักบวชกล่าวจบก็รู้สึกว่ามิสมควรสนทนากับสตรีผู้นี้มากเกินไปจึงวิ่งหายไปราวหมอกควัน อันหลิงเกอจึงถามอันใดมิได้ เวลานี้นางยังไม่อยากเจอมู่จวินฮานเพราะยังไม่หายโกรธ เขาก็ตามมารับตัวนางแล้ว ช่างเอาเปรียบกันเกินไป
มู่จวินฮานก็ตามนักบวชน้อยเข้ามาในลานกว้างซึ่งความคิดของเขาแตกต่างจากอันหลิงเกอโดยสิ้นเชิงก็คือเขาเดินทางมาผู้เดียวเพราะกลัวว่าหากนำองครักษ์ติดตัวมาด้วยอาจถูกขวางอยู่หน้าประตูก็ได้
ครั้นมิเห็นร่างของอันหลิงเกอ มู่จวินฮานก็รู้สึกร้อนใจอย่างมากเพราะตอนนี้เขาคิดถึงนางจนแทบคลุ้มคลั่งและทนมิไหวแล้ว
หลังจากนั้นนักบวชน้อยก็เดินมาหามู่จวินฮานแล้วบอกเขาในสิ่งที่เห็น “ดูเหมือนสีกามิอยากพบท่านอ๋อง เมื่อครู่อาตมาเห็นนางวิ่งหนีไปหลังเขาแล้ว” มู่จวินฮานฟังจบก็รีบวิ่งไปยังหลังเขาทันที
เมื่อมาถึงหลังเขาก็เห็นอันหลิงเกอนั่งอยู่บนก้อนหินจากที่ไกล ในที่สุดเขาก็พบนาง มู่จวินฮานจึงเอ่ยเรียกออกไป “เกอเอ๋อ ข้ามารับเจ้าแล้ว”
อันหลิงเกอเห็นมู่จวินฮานรุดหน้าเข้ามาโดยมิคาดคิดและได้ยินเสียงเรียกของเขาก็รีบหมุนตัวและเดินหนีไปอีกทาง จากที่เดินอยู่ก็กลายเป็นวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยลืมไปว่าเบื้องหน้าของนางเป็นป่าของพระอุโบสถ
ส่วนมู่จวินฮานที่เห็นอันหลิงเกอกำลังหนีเข้าป่าจึงเกิดความกังวลฉับพลัน เขามิชอบที่อันหลิงเกอไม่ฟังเหตุผลและมิว่ากล่าวสิ่งใดนางก็มิหยุดเลยสักนิด จากนั้นทั้งสองคนก็วิ่งตามกันไปจนมาถึงส่วนลึกของป่า อันหลิงเกอเริ่มรู้สึกมิดีกับความมืดและก็รู้ว่ากำลังหลงทาง มิรู้ว่าต้องไปทางไหน
ในขณะเดียวกันมู่จวินฮานก็ไล่ตามอันหลิงเกอมาทันจนได้ ตอนนี้เขานั่งหายใจหอบเหนื่อยอยู่ด้านข้าง ซึ่งอันหลิงเกอก็เช่นกัน ทั้งสองคนจึงหันมาสบตากันด้วยท่าทางที่เหนื่อยแทบขาดใจ จากนั้นก็พากันหัวเราะออกมา
“ในที่สุดก็ตามเจ้าทัน เพียงแต่ข้าไล่ตามเจ้ามาถึงส่วนลึกของป่าแห่งนี้คงกลับไปมิได้กระมัง ? ” มู่จวินฮานกล่าวพร้อมหัวเราะออกมา
“ข้ามิได้ขอให้ท่านอ๋องวิ่งตามมาเสียหน่อย ท่านตามข้ามาเอง กลับไปมิได้ ข้าก็ไม่รับผิดชอบหรอกเจ้าค่ะ”
ตอนนี้อันหลิงเกอยังแสดงท่าทีหยิ่งยโสแต่น่ารักมากสำหรับมู่จวินฮาน เขาจึงรุดหน้าเข้าไปแล้วดึงนางมากอดเอาไว้ จากนั้นก็กระซิบข้างหูของนางเบาๆ ว่า “เกอเอ๋อ ข้าคิดถึงเจ้า”
ครั้นถูกมู่จวินฮานสวมกอดเอาไว้ ขอบตาของอันหลิงเกอก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาเพราะนางจะมิคิดถึงมู่จวินฮานได้เยี่ยงไร ?
“สมกับที่เป็นป่าหลังเขาของพระอุโบสถ แค่ในขอบเขตนี้ก็ทำให้ข้าไร้อำนาจใด” มู่จวินฮานหยอกล้อเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดระหว่างทั้งสอง แต่แล้วมันก็มิได้ผลเพราะอันหลิงเกอมิสนใจ
หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันเดินกลับออกมาได้ครึ่งทาง ทั้งสองแทบหมดแรงเต็มทน กระทั่งเห็นแผ่นหินขนาดใหญ่จากที่ไกล อันหลิงเกอจึงเดินนำหน้ามู่จวินฮานและนั่งลง จากนั้นก็เงยหน้ามองหมู่ดาวพร่างพราวบนฟากฟ้าไร้ขอบเขต ก่อนพึมพำออกมาว่า “งดงามยิ่งนัก”
มู่จวินฮานนำเสื้อคลุมยาวมาคลุมไหล่ให้อันหลิงเกอแล้วนั่งลงข้างกายของนาง อันหลิงเกอมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใดจึงถูกมู่จวินฮานสวมกอดอีกครา
“คืนที่หนาวเหน็บเยี่ยงนี้ข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะหนาว มาทำตัวให้อุ่นกันดีกว่า” จู่ ๆ มู่จวินฮานก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ในอดีตและสวมใส่หน้ากากชายกะล่อนทันที
“จวินฮาน ท่านอย่าได้คืบจะเอาศอกเชียว ข้ายังมิให้อภัยท่าน ! ” แม้อันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้แต่ก็ยังอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“อาการป่วยของหมู่เฟยเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ดีขึ้นบ้างแล้ว ข้าเชิญหมอพื้นบ้านมากมายมาผลัดเปลี่ยนกันดูอาการของหมู่เฟย” มู่จวินฮานได้ยินนางเอ่ยถึงอาการป่วยของหมู่เฟยก็ยิ่งเสียใจกับสิ่งที่ถามนางในวันนั้น
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็หันไปมองดวงดาวสุกสกาวอย่างจริงจัง
“ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย วันนั้นข้าเป็นห่วงหมู่เฟยมากจึงกล่าวเยี่ยงนั้นออกไป เป็นความผิดของข้าเอง”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องวันนั้น อันหลิงเกอก็รู้สึกมิสบายใจ มู่จวินฮานยังคงเอ่ยต่อไป “ที่ให้เจ้าไปอยู่ในเรือนร้างก็เพื่อให้เราทั้งคู่สงบลง คาดมิถึงว่า…”
น้ำเสียงที่กล่าวด้วยความจริงใจทำให้อันหลิงเกอสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปเนิ่นนาน ในที่สุดมู่จวินฮานคนเดิมของนางก็กลับมาแล้ว
“ข้ารู้ วันข้างหน้าต่อให้ท่านเปลี่ยนไป ข้าก็มิมีทางโกรธท่านโดยไร้เหตุผลอีกเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเอ่ยพร้อมเขินอายเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งสองได้คลี่คลายปมที่อยู่ในใจเรียบร้อยและกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น ชิงเฟิงส่งคนไปตามหาทั้งสองคนที่ป่าหลังเขาของพระอุโบสถก็หาพบในเวลาอันสั้น
ปี้จูที่กลับจากจวนอ๋องแล้วได้ยินว่าอันหลิงเกอเข้าป่าก็เริ่มกังวล แต่แล้วก็ได้ยินเสียงขององครักษ์กลับมาจึงรีบวิ่งไปหาทันใดจนเห็นชิงเฟิงพาทั้งสองมาด้วย เห็นอันหลิงเกอคลุมไหล่ด้วยเสื้อคลุมตัวนอกของมู่จวินฮาน นางจึงเข้าใจทันใดว่าทั้งสองคนกลับมาคืนดีกันแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปี้จูน้ำตาคลอเบ้า อันหลิงเกอเห็นปี้จูเป็นห่วงจึงเอ่ยขอโทษออกมา ชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างกายมู่จวินฮานกลับมิรู้เรื่องรู้ราวจึงพูดว่า “นางเป็นอันใดขอรับ สตรีนี่ก็แปลกจริงเชียว เจอเรื่องอันใดเป็นต้องน้ำตาตกตลอด”