พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 536 วิงวอน
ตอนที่ 536 วิงวอน
เมื่อได้ยินว่าอวี๋หมิงหลันมาเยี่ยม อันหลิงเกอจึงฝืนสังขารลุกขึ้นนั่งเพื่อพบอีกฝ่าย
“พระชายา เราสองสามีภรรยาต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” หลังเข้ามาด้านในแล้ว อวี๋หมิงหลันก็คุกเข่าร้องไห้น้ำตานองทันที ครั้นอันหลิงเกอเห็นเยี่ยงนี้ก็รู้สึกใจอ่อน ริมฝีปากที่ซีดเซียวเอ่ยเรียกสาวใช้มาช่วยประคองอีกฝ่าย “เจ้าจักทำอันใด รีบลุกขึ้นเถิด”
ครั้นนึกถึงเรื่องของเผ่าปิงชวนก่อนหน้านั้น อันหลิงเกอจึงได้ทลายความบาดหมางในอดีตที่มีต่ออวี๋หมิงหลันไปหมดสิ้น
อันหลิงเกอกล่าวจบก็ให้สาวใช้เตรียมสมุนไพรแก่อวี๋หมิงหลัน เพราะนางทนเห็นอีกฝ่ายมาอ้อนวอนเพื่อจ้าวหลานหยู่มิได้ คำพูดและการกระทำของอันหลิงเกอทำให้อวี๋หมิงหลันรู้ว่าอีกฝ่ายมิได้ถือโทษโกรธจ้าวหลานหยู่แต่อย่างใด
“ข้าแค่กลัวว่าความผิดที่เจียงอ๋องบุ่มบ่ามทำลงไปจักทำให้ท่านอ๋องลำบากใจ แม้เขามิได้ใส่ใจทัวป๋าหลิวลี่ แต่บุตรในครรภ์ของนางก็เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ หาก…” อันหลิงเกอกล่าวอย่างหนักแน่น
อวี๋หมิงหลันพยักหน้าพลางคล้อยตาม อันหลิงเกอจึงรับปากว่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมมู่จวินฮานเพื่อให้อภัยจ้าวหลานหยู่ นางรู้แก่ใจดีว่ามู่จวินฮานมิมีทางทำอันใดจ้าวหลานหยู่หรอก สุดท้ายก็เกลี้ยกล่อมอวี๋หมิงหลันให้คลายกังวล แค่รักษาสุขภาพให้ดีก็พอ
จ้าวหลานหยู่ยังมิวางใจ อวี๋หมิงหลันจึงเดินทางมายังจวนอ๋องมู่อีกครา
ครั้นเข้ามาภายในจวนก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นตามมาด้วยห่าฝนที่โหมกระหน่ำในชั่วพริบตา
ในความเป็นจริงแล้วจ้าวหลานหยู่เพิ่งนำโลหิตที่เปื้อนกริชไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้มินาน
อันหลิงเกอมีสายโลหิตเดียวกับมารดา ทั้งสองคนจึงมีคุณสมบัติที่มิธรรมดาเลย
นี่คืออาวุธดีที่สุดในการกำราบหอพิษกู่และแคว้นชิงเยว่ !
ดังนั้นการกลับมาจากเผ่าปิงชวนและรอดมาจนถึงตอนนี้ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของฮ่องเต้ทั้งสิ้น
พระองค์มอบหมายงานราชการต่าง ๆ ให้มู่จวินฮานและอนุญาตให้สองสามีภรรยาเข้าวังมาดูแลมู่เหล่าหวางเฟยได้อย่างอิสระ ทว่าอีกด้านคือวางแผนเรื่องหนึ่งไว้
ผ่านไปมิกี่วัน ในที่สุดอาการของมู่เหล่าหวางเฟยก็ดีขึ้น หลังจากมู่จวินฮานและอันหลิงเกอทราบข่าวนี้ก็พากันโล่งใจเป็นอย่างมาก
วันนี้หลังจากมู่เหล่าหวางเฟยดื่มยาแล้วก็รับฟังคนในวังเข้ามารายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด นางจึงอดสงสารอันหลิงเกอมิได้
เมื่อทานยาแล้วสภาพจิตใจของนางจึงค่อย ๆ ฟื้นตัวไปในทางที่ดี มู่เหล่าหวางเฟยจึงส่งคนไปเรียกมู่จวินฮานเข้ามา
“สุขภาพของหมู่เฟยดีขึ้นบ้างหรือไม่ขอรับ ? ” มู่จวินฮานเดินเข้ามาหาเหล่าหวางเฟย ทั้งที่ตัวยังมิปรากฏแต่เสียงนำมาก่อนแล้ว
“มิต้องเป็นห่วงหรอก แม่ดีขึ้นมากแล้ว” มู่เหล่าหวางเฟยมองไปทางมู่จวินฮานด้วยความรัก
“อากาศในยามดึกค่อนข้างหนาวมาก หมู่เฟยต้องดูแลรักษาสุขภาพให้ดี…” มู่จวินฮานครุ่นคิดและออกปากกำชับอีกครั้ง
“เอาล่ะ เอาล่ะ ที่หมู่เฟยเรียกเจ้ามาก็มิใช่อยากฟังคำบ่นของเจ้า” มู่เหล่าหวางเฟยตัดบทสนทนาของมู่จวินฮานเพราะฉุกนึกถึงจุดประสงค์ที่เรียกเขามาได้
“สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เจ้าย่อมรู้ชัดเจนยิ่งกว่าแม่ เกอเอ๋อ เด็กผู้นั้น…ไอหยา หมู่เฟยมิปรารถนาสิ่งใดอีก หวังแค่ให้เจ้ารับผิดชอบดูแลนางต่อไปในอนาคต”
มู่จวินฮานพยักหน้าเพราะนี่คือเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตนและอันหลิงเกอก็มีใจตรงกัน ทว่าเพื่อปลอบใจมู่เหล่าหวางเฟยจึงเอ่ยออกไป “หมู่เฟยวางใจเถิดขอรับ”
มู่เหล่าหวางเฟยได้ยินคำพูดของมู่จวินฮานก็วางใจ
นางรู้แก่ใจดีว่ามู่จวินฮานและอันหลิงเกออยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน รู้ว่าทั้งสองคนมีใจตรงกัน แต่ก็กลัวว่าดอกไม้ริมทางไร้ราคาจักเข้ามาทำให้หลงใหลเคลิบเคลิ้มจนมิลืมหูลืมตา
ฮ่องเต้วางแผนเรื่องการสมรสให้มู่จวินฮานซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความพยายามนั้นก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองคนจึงสนทนาเรื่องของอันหลิงเกออีกพักใหญ่ มู่จวินฮานก็อดคิดถึงนางมิได้ หลังกล่าวลามู่เหล่าหวางเฟยเขาก็กลับมายังจวนอ๋องแล้วตรงไปยังเรือนฝูหลิงทันที
“ท่านมาแล้ว” ครั้นอันหลิงเกอเห็นมู่จวินฮานเดินเข้ามาก็มิได้ทำความเคารพดั่งสามีภรรยาทั่วไป
“อืม” มู่จวินฮานพยักหน้าอย่างอ่อนโยนจากนั้นก็คลี่ยิ้มและมองไปยังสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความพึงพอใจ
“สุขภาพของมู่เหล่าหวางเฟยเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอคิดได้ว่ามู่จวินฮานเพิ่งกลับมาจากตำหนักมู่เหล่าหวางเฟยจึงเอ่ยปากถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“มิเป็นอันใดแล้ว…” มู่จวินฮานได้ยินอันหลิงเกอถามจึงอดนึกถึงคำพูดของมู่เหล่าหวางเฟยมิได้และยิ่งรู้สึกพึงพอใจต่อสตรีผู้นี้มากขึ้น
แต่มู่จวินฮานยังมิทันกล่าวจบก็โดนขัดจังหวะด้วยเสียงแหลมแสบหูของผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอก “เรียนท่านอ๋อง ทัวป๋าหลิวลี่ขอเข้าพบพระชายาขอรับ”
มู่จวินฮานขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความมิสบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกมิพอใจต่อทัวป๋าหลิวลี่ผู้นี้ด้วย “มิพบ”
อันหลิงเกอช่วยนวดคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของมู่จวินฮานให้คลายออกอย่างเบามือ แม้คิดทุกวันว่าทัวป๋าหลิวลี่มีเจตนาร้าย แต่ก็เพื่อมิให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านจึงเชิญนางเข้ามาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“เช่อเฟยมาหาข้า ท่านทำเยี่ยงนี้มิเป็นการทำให้ข้าลำบากใจหรือเจ้าคะ” อันหลิงเกอยิ้มและกล่าวกับองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูให้เชิญทัวป๋าหลิวลี่เข้ามา
เมื่อทัวป๋าหลิวลี่เข้ามาก็เหมือนคาดมิถึงว่ามู่จวินฮานก็อยู่ที่นี่ด้วย นางจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
หลังได้สติกลับมาก็เห็นสีหน้าที่ไร้ความสุขของมู่จวินฮาน นางจึงรีบทำความเคารพ “คารวะท่านอ๋องกับพระชายาเจ้าค่ะ”
“เจ้ามาทำอันใด ? ” มู่จวินฮานยังคงไร้สีหน้าที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
ครั้นทัวป๋าหลิวลี่เห็นมู่จวินฮานต่อต้านเยี่ยงนี้ก็อดปวดใจมิได้
โชคดีที่นางใช้ชีวิตอยู่ในจวนอ๋องมู่มาเนิ่นนานแล้วจึงค่อนข้างเก็บความรู้สึกได้ดี
“ข้ามาก็เพื่อขอบคุณพระชายาที่ช่วยชีวิตเมื่อคราวก่อน วันนี้จึงตั้งใจนำของบำรุงอย่างดีมามอบแก่พระชายาเจ้าค่ะ”
ทัวป๋าหลิวลี่เอ่ยกับมู่จวินฮานอย่างนุ่มนวล ครั้นเห็นใบหน้าของเขายังแสดงสีหน้ามิพอใจจึงไม่สนใจอีก แต่หันไปกล่าวกับอันหลิงเกอว่า “พี่สาวรับไว้เถิด อย่าได้รังเกียจกันเลยเจ้าค่ะ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ต้องขอบใจน้องสาวมาก” อันหลิงเกอกล่าวอย่างเกรงใจ
ทัวป๋าหลิวลี่อยากพูดอันใดบางอย่าง แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาที่เต็มไปด้วยการตักเตือนของมู่จวินฮาน คำพูดที่กำลังจะกล่าวก็หยุดชะงัก ทำได้เพียงเอ่ยลาและถอยออกไป
ทัวป๋าหลิวลี่กลับถึงเรือนก็กวาดสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงพื้นด้วยความโกรธเคือง
สาวใช้ล้วนได้ยินก็พากันคุกเข่าโดนมิกล้ากล่าวอันใด
“เรียนชายารอง องค์หญิงถิงฟางขอพบเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกได้เข้ามารายงาน
“ทัวป๋าถิงฟางหรือ ? ” แม้ทัวป๋าหลิวลี่สงสัยว่านางมาด้วยเหตุใด แต่ก็ยังจัดการกับอารมณ์ทางสีหน้า “เก็บของให้เรียบร้อยและให้นางเข้ามา”
“เจ้าค่ะ” บรรดาสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นต่างก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนเข้ามาเก็บข้าวของกันอย่างขะมักเขม้น
“ทัวป๋าถิงฟางขอคารวะพี่หญิงเจ้าค่ะ” ครั้นทัวป๋าถิงฟางเห็นสิ่งของที่แตกอยู่ในมือของสาวใช้ก็พอเดาได้บ้างว่าทัวป๋าหลิวลี่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่
“ลุกขึ้นเถิด” ทัวป๋าหลิวลี่นั่งลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พี่หญิงเพิ่งกลับมาจากเรือนพระชายาใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
สิ้นสุดเสียงของทัวป๋าถิงฟางแล้วทัวป๋าหลิวลี่ก็รีบปรายตามองด้วยความตักเตือน
“พี่หญิง อย่าหาว่าข้าพูดเลย พี่หญิงก็อาศัยอยู่ในจวนมาเนิ่นนานแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงปฏิบัติกับท่านเยี่ยงนี้ หรือพี่หญิงถูกหลอกเจ้าคะ ? ” ทัวป๋าถิงฟางทำเป็นมิเห็นท่าทางของอีกฝ่ายและยังกล่าวต่อ
“ที่เจ้าพูด…หมายความเช่นไร ? ” ทัวป๋าหลิวลี่ได้ยินคำพูดของน้องสาวก็เริ่มมิมั่นใจ
อย่างไรสตรีตรงหน้าก็คือน้องสาว แม้มิเคยไปมาหาสู่กันในวัง ทว่าพอมาถึงต้าโจวก็ถือว่าจริงใจต่อกันมิน้อย