พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 540 ภัยธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้น
ตอนที่ 540 ภัยธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้น
ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นเห็นอันหลิงเกอออกมา เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างกายของนางมิใช่เสื้อผ้าคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาจึงคิดเข้าไปชิงทรัพย์ในรถม้าแต่ยังมิทันได้สร้างปัญหาอันใดก็ถูกคนของมู่จวินฮานจัดการเสียก่อน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น ? ผู้ลี้ภัยมากมายมาจากที่ใดกัน ? ” มู่จวินฮานมองไปยังผู้ลี้ภัยที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหดหู่ใจ
ต้าโจวยังมีผู้ลี้ภัยมากมายเยี่ยงนี้อีกหรือ มู่จวินฮานสังเกตคนกลุ่มนี้อย่างละเอียดด้วยความมิสบายใจ
อันหลิงเกอเห็นเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมของคนเหล่านี้ ทั้งยังมีท่าทีอดอยากมากด้วยจึงให้ปี้จูและหมิงซินนำพวกธัญพืชออกมาจากรถม้า
นางต้องอาศัยจังหวะนี้เพื่อสอบถามเรื่องราว
“พวกเจ้ามาจากที่ใด ? ดูท่าทางของพวกเจ้าแล้วมิใช่โจร เหตุใดถึงมาปล้นเราในพื้นที่รกร้างไร้ผู้คนเยี่ยงนี้ ? ” อันหลิงเกอยื่นน้ำที่อยู่ในมือให้เด็กคนหนึ่ง จากนั้นก็ลูบศีรษะพลางถามเหตุผลจากเขา
“พี่สาว มิว่าอย่างไรพวกท่านก็อย่าไปยังเขตกวานจงเด็ดขาด” เด็กผู้นั้นดื่มน้ำอย่างระมัดระวังแล้วกอดมันไว้ในอ้อมแขนราวกับเป็นของล้ำค่า
ตั้งแต่เกิดโรคระบาดในเขตกวานจง เห็นได้ว่าพวกเขาล้วนมิได้ดื่มน้ำและมิได้ทานอาหารเป็นเวลานาน
“พวกเจ้าเป็นคนในเขตกวานจงหรอกหรือ ? ที่นั่นเกิดเรื่องใดขึ้น ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถาม
อันหลิงเกอได้ทราบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดจากปากเด็กน้อยซึ่งทำให้นางหนักใจมากทีเดียว
“เป็นอันใดไปหรือ ? ” ครั้นมู่จวินฮานเห็นสีหน้าที่มิค่อยสู้ดีของอันหลิงเกอก็เกิดความกังวลขึ้นมา
อันหลิงเกอเล่าเรื่องที่ได้ยินจากปากของเด็กให้มู่จวินฮานฟังทีละประเด็น
ที่แท้ในช่วงสองสามวันก่อน ในเขตกวานจงก็เกิดโรคระบาดร้ายแรง โรคระบาดนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมิอาจต้านทานได้
แต่ฝั่งนั้นกลับปิดบังราชสำนักไว้ รู้เรื่องแต่มิยอมรายงานจึงทำให้เรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม !
สำหรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้ พวกเขามิมีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจำใจจากบ้านเกิดไปหาลู่ทางอื่น
“ไร้เหตุผลสิ้นดี ! ” พอมู่จวินฮานได้ยินก็บันดาลโทสะจึงส่งเจ้าหน้าที่ออกไปแล้วสั่งให้ตรงไปยังเขตกวานจงโดยเร็ว
“ไร้ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เหตุใดจึงเกิดโรคระบาดได้ ? ” อันหลิงเกอรู้สึกมีบางอย่างมิชอบมาพากล เพียงแต่มิรู้ว่าความรู้สึกนั้นเกิดเพราะเหตุใดจึงเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนมิได้
ก็คงเหมือนโรคระบาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่มันกะทันหันเกินไป
มู่จวินฮานได้ยินเสียงพึมพำของอันหลิงเกอจึงได้เคร่งเครียด เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจมิได้ง่ายดาย
เจ้าหน้าที่น้อมรับคำสั่งและตรงไปยังเขตกวานจงทันที ทว่าหลังเดินทางไปคราวนั้นก็มิได้รับข่าวคราวใดอีกเลย อันหลิงเกอและมู่จวินฮานจึงรู้ว่าแท้จริงคณะเจ้าหน้าที่ก็ตายไปแล้ว
สถานการณ์ในเขตกวานจงอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ขุนนางที่ต้องออกไปราชการทุกวันล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ในกวานจงทั้งสิ้น คนในราชสำนักก็มักเก่งแต่ปาก แสดงท่าทีสง่าผ่าเผยแต่ความจริงแล้วข้างในเน่าเฟะ
ในตอนที่ส่งคนออกไป ทุกคนล้วนแต่อึดอัดใจจนพูดมิออกทั้งนั้น
กลับมาถึงจวนอ๋อง มู่จวินฮานที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็เอาแต่แสดงสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านอ๋อง ชิงเฟิงใคร่อยากนำหน้าไปยังเขตกวานจงก่อนขอรับ” ชิงเฟิงยืนขึ้นและอาสานำหน้ามู่จวินฮานไปก่อน
มู่จวินฮานมองไปยังบ่าวที่อยู่เคียงข้างตนมานานหลายปีผู้นี้โดยมิกล่าวอันใด
ชิงเฟิงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ผ่านไปชั่วครู่มู่จวินฮานจึงพยักหน้าอย่างช้า ๆ
หลังเสร็จงานแล้วชิงเฟิงก็เดินตามหลังของมู่จวินฮานอย่างตั้งใจ
“เจ้าควรรู้ว่าโรคระบาดในครานี้มิใช่เรื่องเล่น” มู่จวินฮานแสดงสีหน้าเคร่งขรึม
“บ่าวรู้ดีขอรับ การที่ขออาสานำไปยังพื้นที่เขตกวานจงเพราะบ่าวมีแผนการ ท่านอ๋องมิต้องกังวลหรอกขอรับ” ชิงเฟิงโน้มน้าวมู่จวินฮานและรู้ว่าอีกฝ่ายช่างดีกับตนมาก
แม้มู่จวินฮานยังลังเล แต่เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้ต้าโจวก็ไร้คนฝีมือดีสักคนเดียว
หากเป็นเยี่ยงนี้เขาก็ทำได้แค่รู้สึกผิดต่อชิงเฟิง
ครั้นเรื่องได้ถูกกำหนดแล้ว วันรุ่งขึ้นชิงเฟิงจึงออกเดินทางไปยังเขตกวานจงพร้อมปี้จู
ในตอนที่อันหลิงเกอได้รับข่าวนี้ ปี้จูก็เดินทางไปเขตกวานจงพร้อมชิงเฟิงแล้ว
“แยกทางกันเช่นนี้มิรู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด” อันหลิงเกอทอดถอนใจอย่างเงียบ ๆ
“พวกเขาต้องกลับมา” มู่จวินฮานก็มิรู้ว่าจะปลอบใจตนเองหรือปลอบใจอันหลิงเกอดี
เพียงแต่หลังจากนั้นมินานอันหลิงเกอก็ฉุกคิดได้ว่าต้องไปเยี่ยมท่านโหวอันจึงกลัวว่าจะมิสามารถเดินทางได้
“อีกสองวัน เจ้า…”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำได้ ท่านเองก็อย่าเหนื่อยเกินไป” อันหลิงเกอรู้ว่ามู่จวินฮานจะกล่าวอันใดต่อจึงพูดปลอบใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นนวดขมับให้เขาเพื่อบรรเทาอาการเหนื่อยล้า
ณ จวนโหวอัน
จวนโหวอันมีความสัมพันธ์อันดีกับมู่จวินฮานมาก่อน เดิมทีอันอิงเฉิงอยากล่าถอยและซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก แต่ผู้ใดจะคิดว่าต้าโจวกำลังเกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น
“เหตุใดอาการป่วยฉับพลันของเจ้ามิดีขึ้นเลย ? มิสู้ไปหาพี่สาวของเจ้าให้นางมาดูอาการดีกว่า” อันอิงเฉิงมองไปทางอันหลิงอีด้วยสีหน้าร้อนใจและเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
หลังจากที่หลี่ซื่อเสียสติ อันหลิงอีก็ได้แต่ปรนนิบัติดูแลอยู่ในจวน ผู้ใดจะรู้ว่านางก็ป่วยหนักเช่นกัน
อันหลิงอีกัดฟันและคิดปฏิเสธ แต่อาการป่วยก็ทรมานยากเกินกว่ารับไหวและมิรู้ด้วยว่าเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร จู่ ๆ ก็ติดเชื้ออย่างฉับพลัน
“มิได้การ อย่างไรก็ต้องไปหา…” อันอิงเฉิงกล่าวไม่ทันจบก็ออกไปด้วยความกระตือรือร้น
ว่าไปแล้วอันหลิงอีก็เป็นบุตรสาวของเขาเช่นกัน จักมิสนใจก็มิได้
หลังอันอิงเฉิงเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนโหวได้มินาน ด้วยความร้อนใจจึงชนกับผู้อื่นโดยมิทันระวัง
“ขออภัย ขออภัย ข้ามีเรื่องด่วน หากทำให้ขุ่นเคืองก็ต้องขออภัย”
แม้อันอิงเฉิงเป็นท่านโหว แต่เขาก็มีความนอบน้อมถ่อมตนมาก เขากล่าวขอโทษต่อชายที่เพิ่งเดินชน หลังกล่าวจบก็เตรียมไปยังจวนอ๋องมู่ด้วยความร้อนใจต่อ
“มีเรื่องอันใดให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่ขอรับ ? ” ชายผู้นั้นเอื้อนเอ่ยและสัมผัสได้ถึงแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของอันอิงเฉิง
แววตาของชายผู้นั้นเปล่งประกายอย่างมาก ก่อนกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ข้าน้อยเห็นท่านร้อนใจเยี่ยงนี้ กอปรกับกลิ่นยาที่ฉุนออกมาจากตัวของท่าน ข้าน้อยไร้ความสามารถ เรียนวิชาแพทย์ได้มิกี่ปี…”
ในขณะที่ชายผู้นั้นกล่าวก็เหมือนตระหนักได้ว่ามีบางอย่างมิเหมาะสมจึงได้รีบอธิบายออกไป “ข้าน้อยมิได้มีเจตนาทำให้มิพอใจขอรับ”
“เจ้าบอกว่าเป็นหมอใช่หรือไม่ ? ” อันอิงเฉิงยังมิเชื่อ
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ ครั้นเดินเที่ยวเล่นในเขตกวานจงได้มินานก็พอเข้าใจโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้บ้างขอรับ” ดูเหมือนชายผู้นั้นเอ่ยอย่างมีจุดประสงค์
ทันทีที่อันอิงเฉิงได้ยิน มือใหญ่ก็ตบขึ้นเสียงดัง จากนั้นก็เชื้อเชิญชายแปลกหน้าเข้าในจวนพลางส่งคนไปแจ้งข่าวแก่อันหลิงเกอ
พริบตาเดียวที่ชายผู้นี้เห็นอันหลิงอีก็แทบวินิจฉัยโรคของนางได้ทันที มิว่าหยิบจับตัวยาประเภทไหนก็จับได้อย่างชำนาญจึงทำให้อันอิงเฉิงมองอย่างชื่นชม
เพราะเป็นโรคที่เกิดขึ้นฉับพลัน ติดเร็วก็หายเร็วเช่นกัน
หลังจากอันหลิงอีได้ดื่มยาของชายผู้นี้ก็ดีขึ้นมิน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมา
“เป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก” อันอิงเฉิงมั่นใจว่าอันหลิงอีดีขึ้นแล้วจึงโล่งอก
“มิได้ มิได้ขอรับ ข้าน้อยแค่ทำสุดความสามารถเท่านั้น” คนผู้นี้กล่าวอย่างเกรงใจ
“ครานี้ข้าติดหนี้คุณชาย มิรู้ว่าคุณชายมีชื่อเสียงว่าอันใด ? ”
อันอิงเฉิงซาบซึ้งใจมาก อย่างไรอีกฝ่ายก็ช่วยเขาได้ทันท่วงทีและช่วยอันหลิงอีกลับมาด้วย เช่นนั้นเขาก็ยังมิรู้ว่าต้องรายงานต่อจวนอ๋องอี้เยี่ยงไร
“ข้าน้อยมีนามว่าหลิวเย่”
ยามนี้หลิวเย่ได้เงยหน้าขึ้นมาแต่กลายเป็นคนที่นำพวกไปไล่สังหารฟางหลิงซู่วันนั้น !
เพียงแต่อันอิงเฉิงมิรู้จึงยังเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาดื่มน้ำชาในจวนด้วยความเคารพ