พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 542 ขับไล่
ตอนที่ 542 ขับไล่
ภายในห้องของหลิวเย่เงียบสงัดไร้การเคลื่อนไหวใด วรยุทธของอันอิงเฉิงลึกล้ำมาก เขาสัมผัสได้ว่าหลิวเย่นอนหลับไปแล้วเพราะทั้งสองคนก็ดื่มสุราไปมิน้อย อันอิงเฉิงจึงทอดถอนใจและได้แต่ลังเลที่จะลงมือ!
หลังพังหน้าต่างเข้าไป แสงทอประกายอันเยือกเย็นได้สะท้อนออกจากคมดาบ ยามนี้หลิวเย่สัมผัสได้ถึงไอสังหารและดวงตาเรียวรีประดุจตานกอินทรีก็เปิดขึ้นอย่างฉับพลัน
เขารีบเด้งตัวขึ้นมาราวกับปลาที่เต้นอยู่บนผิวน้ำ ทั้งสองคนเริ่มต่อสู้กัน หมายคร่าชีวิตและมิมีผู้ใดยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
ทว่ายามนี้อันอิงเฉิงรู้สึกประหลาดใจมาก ตนผ่านสมรภูมิรบมาเนิ่นนาน เมื่อทั้งสองต่อสู้กันกลับมิมีผู้ใดส่อแววชนะเลยสักคน ดูท่าอีกฝ่ายจักซ่อนฝีมือเอาไว้ตลอด
ปัญญาชนที่ไหนกัน นี่มันทักษะของนักฆ่ามืออาชีพชัด ๆ
ส่วนหลิวเย่ยังอยู่ในความงุนงง ผู้ใดที่อยากสังหารตน ในตอนที่มิทันระวังตัวนั้นคมดาบของอันอิงเฉิงก็แทงเข้าที่หน้าอกของหลิวเย่
ทักษะการต่อสู้ของหลิวเย่มิได้อ่อนแอจึงรีบพุ่งตัววิ่งไปยังประตูทางออก แม้มิได้รับบาดเจ็บมากนักแต่ก็เข้าใจทันทีว่าฝืนสู้ต่อไปมิได้ หากเป็นเยี่ยงนี้คงมิเกิดผลดีแน่
อันอิงเฉิงมองหลิวเย่ที่กระโดดข้ามกำแพงออกไปโดยมิได้วิ่งไล่ตามจึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่บุตรีกล่าวไว้เป็นความจริง
“ท่านอ๋อง รายงานลับขอรับ” มู่จวินฮานยื่นมือไปรับรายงานแต่รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์มิดีบางอย่าง
“ออกไปได้ ! ” มู่จวินฮานโบกมือไปทางองครักษ์เพื่อบอกให้เขาออกไป
เรือนขนาดใหญ่เหลือเขาเพียงผู้เดียว ทันทีที่เปิดออก เลือดสีแดงสดที่เปื้อนอยู่บนรายงานลับได้สาดกระเซ็นใส่ดวงตาของเขา ครั้นมีคราบเลือดแปดเปื้อนเยี่ยงนี้ต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
‘เขตกวานจงถูกบุคคลลึกลับยึดครองแล้ว กำลังคนค่อนข้างมาก เราก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มิกล้าทำการบุ่มบ่าม ได้โปรดส่งทหารมาสมทบด้วย กำราบฝ่ายอธรรมนำพาความผาสุกแก่กวานจง’
เนื้อหาในรายงานลับทำให้มู่จวินฮานรู้สึกว่ามิง่ายเลย
ชิงเฟิงก็กล่าวเยี่ยงนี้ ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นและเรื่องนี้เริ่มจัดการยากเสียแล้ว
มู่จวินฮานก็ห่วงความปลอดภัยของราษฎรเช่นกัน การปราบปรามฝ่ายศัตรูเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว มีแค่ต้องกวาดล้างคนเหล่านั้นให้สิ้นซากจึงสามารถทำให้ทิวทัศน์ของกวานจงกลับมางดงามเช่นในอดีตได้
การประชุมราชสำนักในเช้าวันที่สองจึงมีแค่เรื่องเดียวคือการส่งกำลังทหารมุ่งหน้าไปปราบปรามศัตรูบนถ้ำภูเขา
“ช่วงนี้ศัตรูในเขตกวานจงเหิมเกริมมากขึ้น ครานี้ต้องส่งทหารไปปราบปรามให้สิ้นซาก” สุรเสียงของฮ่องเต้มิดังมากแต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจ
เรื่องนี้ต้องขอบคุณคำชี้แนะจากมู่จวินฮาน
หลังการประชุมเสร็จสิ้น เหล่าขุนนางก็พากันวิพากษ์วิจารณ์
“เจ้าสองคนบ้าบิ่นแบบมีแผนการ เช่นนั้นจงไปยังเขตกวานจงเถิด หวังว่าพวกเจ้าจะทำภารกิจนี้ได้อย่างลุล่วง”
มู่จวินฮานมีความกังวลในใจ ถึงอย่างไรฝ่ายศัตรูก็เป็นลัทธิใหญ่และมีผู้ติดตามมากมายจึงมิใช่เรื่องที่จะปราบปรามได้โดยง่าย
ทหารที่ฮ่องเต้ส่งออกไปมิรู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ ?
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมจักมิทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง กระหม่อมจะปราบปรามศัตรูให้ราบคาบพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพทั้งสองนายยกมือขึ้นทำความเคารพและกล่าวพร้อมกัน
ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังออกคำสั่งให้ทหารไปปราบปรามฝ่ายศัตรูนั้น อันอิงเฉิงก็คิดเช่นกันว่าแม้ตนมีอายุมากแล้ว ทว่าในใจก็ยังมีปณิธานเพื่อบ้านเมือง เพื่อความจงรักภักดีและเพื่อครอบครัว เขาจึงเสนอตัวทันที “กระหม่อมขอออกไปปราบปรามศัตรูเหล่านั้นพร้อมท่านแม่ทัพทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ ! ”
อันอิงเฉิงอายุมากแล้วมู่จวินฮานจึงเอ่ยออกไป “ท่านโหว ท่านผ่านสมรภูมิรบมาเนิ่นนาน บัดนี้ถึงเวลาพักผ่อน ให้พวกเขาไปก็ถือว่าเป็นโอกาสทดสอบฝีมือพวกเขาด้วย”
มู่จวินฮานกล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อความปลอดภัยของอันอิงเฉิง อย่างไรอีกฝ่ายก็อายุมากแล้วยังเป็นบิดาของอันหลิงเกอ หากเป็นอันใดขึ้นมา เขาจักบอกนางว่าเยี่ยงไร
“ใช่” ฮ่องเต้ก็มิยอมให้ท่านโหวที่สำคัญผู้นี้เป็นอันใดไป
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอวิงวอนให้ฝ่าบาทเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ” อันอิงเฉิงมองไปยังมู่จวินฮานด้วยความลำบากใจและลังเลใจเล็กน้อย จากนั้นก็ขอความกรุณาอีกครั้ง
“ได้ ก็เอาตามนี้เถิด ขอให้ทุกท่านกลับมาอย่างปลอดภัย” ในที่สุดฮ่องเต้ก็เห็นด้วย
เมื่ออันหลิงเกอได้ทราบว่าบิดาต้องไปปราบปรามศัตรูจึงไปยังจวนโหวทันที “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านต้องไปปราบศัตรูในเขตกวานจงจริงหรือเจ้าคะ ? ”
“จริงสิ เกอเอ๋อ พ่อมีปณิธานอยู่ในใจ เจ้าอย่าได้ขัดขวางพ่อเลย ! ” อันอิงเฉิงได้แสดงปณิธานในใจออกมา
ในเมื่อบิดากล่าวเยี่ยงนี้ก็ไร้ประโยชน์ให้คัดค้าน นางจึงทำได้เพียงอวยพรให้กลับมาอย่างปลอดภัย หลังแยกจากอันอิงเฉิงแล้วอันหลิงเกอก็ครุ่นคิดได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่รอบกายของอันหลิงอี นางจึงตั้งใจรับอีกฝ่ายมาอยู่ในจวนด้วยกัน
“จริงสิ จวินฮาน สองสามวันนี้หลิวเย่อยู่ที่ใดเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอเอ่ยถึงหลิวเย่ในยามนี้ มู่จวินฮานจึงรู้สึกมิสบายใจขึ้นมาทันที เพียงแต่เขาก็มิรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับหลิวเย่หรือไม่
“ข้าก็มิรู้” ดูเหมือนว่านางสัมผัสได้ถึงความมิสบายใจในน้ำเสียงของมู่จวินฮาน นางจึงยกยิ้มเล็กน้อย
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเยี่ยงนี้ ท่านรีบบอกข้าว่าหลิวเย่ปัญญาชนตัวจริงอยู่ที่ใดดีกว่าเจ้าค่ะ”
เห็นอันหลิงเกอมีท่าทีเคร่งเครียด มู่จวินฮานก็รู้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่
อันหลิงเกอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนโหวให้มู่จวินฮานฟังและก็ทำให้เขาตื่นตกใจอย่างมาก
มีคนลักษณะคล้ายหลิวเย่ด้วยหรือ ? คิดไปแล้วคงตั้งใจเข้ามาตีสนิทอย่างแน่นอน
“หลายวันมานี้ข้ามิได้พบเขาเลยจริง ๆ ”
มู่จวินฮานก็อยากช่วยเพราะมิแน่ว่าหลิวเย่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคระบาด แต่หลิวเย่มักเดินทางไปไหนมาไหนอย่างอิสระจึงมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
แม้หลิวเย่เป็นเพียงบัณฑิตแต่ก็สอบ*จอหงวนได้และอยู่ภายใต้การดูแลของมู่จวินฮานมาโดยตลอด
“วันนี้ข้าให้หมอหลวงมาตรวจอาการเจ้า” มู่จวินฮานรู้สึกว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมาตนให้อันหลิงเกอทำงานหนักเกินไป สีหน้าของนางจึงมิค่อยสู้ดี
“เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอตอบรับ
“ร่างกายของพระยาชาเย็นมาก อาจต้องปรับสมดุลอยู่บ่อย ๆ เกรงว่า…”
อันหลิงเกอรู้ชัดดี หมายความว่านางมิเหมาะสมมีบุตรเพิ่มในตอนนี้กระมัง
มิเป็นไร เพราะนางก็มีบุตร 2 คนแล้ว บัดนี้ก็มิได้อยากมีเพิ่มแล้วด้วย
“ช่างเถิด ท่านหมอออกไปได้”
บัดนี้เรือนทั้งหลังได้กลับมาเงียบสงบอีกครา แต่ในใจของอันหลิงเกอมิได้สงบแต่อย่างใด
ทุกครั้งที่เข้าวัง ตอนนางเจอกับจ้าวหลานหยู่ก็มักรู้สึกว่าเขากำลังจะพูดอันใดบางอย่างกับนาง
แต่ก็คิดมิออกจริง ๆ ว่าจ้าวหลานหยู่มีเรื่องใดอยากกล่าวกับตน
ทุกครั้งที่พบจ้าวหลานหยู่ ในใจของนางก็อยากถามว่าครั้งนั้นในหมู่บ้านเถาหยวนเผ่าปิงชวนเกิดอันใดขึ้น
เหตุใดฮ่องเต้ต้องตรวจสอบเรื่องของมู่เหล่าหวางเฟยด้วย ?
ในหมู่พวกเขา…
นางอยากปล่อยวางความเกลียดชังลง แต่น่าเสียดายที่มันมิง่ายเลย ไม่รู้ว่านางจะมีความสุขได้หรือไม่ ?
บางคำตอบอันหลิงเกอก็กลัวว่าถ้าระหว่างมู่เหล่าหวางเฟยและมารดามีอดีตร่วมกัน นางควรทำเยี่ยงไร ?
ในเวลาเดียวกันคนในหอพิษกู่ก็ไร้ความสุข
หนานกงหลิงเยว่มิได้ออกไปจากที่นี่นานแล้ว หลังเกิดเรื่องในวันนั้นนางก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มิได้มีความเชื่อมั่นในตนเองเฉกเช่นอดีตแต่หลบซ่อนตัวอยู่หลังฉากกั้น มิกล้าออกมาพบผู้ใดอีก
ก่อนหน้านั้นผู้คนในหอพิษกู่พากันหลบหนีกระจัดกระจาย แม้นางปกป้องตนเองได้แต่ขาทั้งสองข้างก็โดนทำลายจนนางสูญเสียความภูมิใจในตนเอง
หอพิษกู่ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง หน้าลานจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนานคึกคัก มีเพียงหนานกงหลิงเยว่ที่มิอยากเพลิดเพลินกับบรรยากาศนี้ นางจึงออกคำสั่งให้ลูกน้องพาตนไปซ่อนตัวเงียบ ๆ อยู่ด้านหลังลานจนกระทั่งเจอกับพื้นที่ห่างไกลไร้ผู้คน
จากนั้นนางก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องจากไปโดยทิ้งตนให้ชื่นชมดอกไม้บานสะพรั่งอยู่บนผืนหญ้าและดอกบัวในสระที่อยู่ไกลออกไปเพียงลำพัง
…
*จอหงวน คือ ตำแหน่งของบัณฑิตที่สอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกขุนนางของราชสำนัก