พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 566 ออกไปข้างนอก
ตอนที่ 566 ออกไปข้างนอก
ช่วงหลายวันมานี้มิได้มีแค่อันหลิงเกอที่รู้สึกเบื่อ แม้แต่เหล่าสาวใช้ที่คอยติดตามนางก็ยังไม่มีอันใดทำด้วยเช่นกัน
“ล่าสัตว์หรือเจ้าคะ ? ” หลังได้ยินมู่จวินฮานกล่าวเช่นนั้น ดวงตาของอันหลิงเกอก็เปล่งประกายทันทีและรีบเข้าไปดึงแขนเสื้อมู่จวินฮานด้วยความดีใจ “ประเดี๋ยวพวกเราจะออกไปกันหรือเจ้าคะ ? ”
อันที่จริงแม้อันหลิงเกอมีประสบการณ์ล่าสัตว์หลายครั้ง แต่เพราะมิชำนาญในการใช้ธนูยาวสักเท่าไร นางจึงมิได้สนใจการล่าสัตว์มากนัก
“อืม” มู่จวินฮานลูบศีรษะของนาง “อีกเดี๋ยวเจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จำไว้ว่าต้องเปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้าและให้ปี้จูใส่เสื้อคลุมให้ด้วย ข้าคิดว่าเสื้อคลุมที่เจ้าใส่อยู่ตอนนี้ก็มิเลว”
ใบหน้าอันหลิงเกอเผยความสดใสและนุ่มนวลออกมา ยิ่งทำให้มู่จวินฮานชอบมองเข้าไปอีก กล่าวกันว่าดอกกล้วยไม้เป็นหนึ่งใน*สี่สุภาพบุรุษแห่งบุปผา เป็นสิ่งที่เหมาะกับลักษณะนิสัยของนางที่สุด
“เจ้าค่ะ” ขอแค่ได้ออกไปเที่ยว จะใส่อันใดก็เป็นเรื่องรองทั้งนั้น อันหลิงเกอจึงตอบรับอย่างว่าง่าย
เพราะการที่นางอยู่แต่ในเรือนเพื่อพักฟื้นร่างกายทำให้รู้สึกเบื่อยิ่งนัก
ทักษะขี่ม้ายิงธนูของมู่จวินฮานยอดเยี่ยมมาก ขอแค่เขาได้ขึ้นหลังม้า บนร่างเขาก็จะมีกลิ่นอายของนักรบทันที
แค่ยิงออกไปไม่มีทางพลาดเป้าหมาย แต่อันหลิงเกอที่อยู่บนหลังม้ากลายเป็นส่วนเกิน
“เหตุใดมิควบม้าตามมา ? ” หลังเขายิงกระต่ายได้อีกหนึ่งตัวก็หันกลับมามองอันหลิงเกอที่กำลังทำหน้าผิดหวังอยู่ด้านหลังพร้อมเอ่ยถามนางขึ้นมา
“มีท่านเป็นคนล่าสัตว์แล้ว ข้าก็มิได้ทำอันใดเลยเจ้าค่ะ” เพราะอันหลิงเกอยิงธนูมิเก่งเท่ามู่จวินฮานจึงเป็นธรรมดาที่จะอารมณ์เสีย ดังนั้นนางจึงเม้มปากและเหลือบตามอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” มู่จวินฮานหัวเราะ “ขอเพียงข้ายิงอยู่ข้างหน้าเจ้าก็พอแล้ว” เขาทำใจปล่อยให้สาวน้อยมาทำเรื่องเยี่ยงนี้มิได้หรอก
“ท่านสอนข้ายิงธนูเพื่อฆ่าสัตว์หน่อยสิเจ้าคะ”
เมื่อออกมาแล้วก็ต้องมิทำเรื่องเปล่าประโยชน์และการยิงธนูก็เป็นสิ่งที่อันหลิงเกอสนใจมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงมองเขาด้วยสายตามีความหวัง
“มิได้” มู่จวินฮานปฏิเสธโดยมิต้องคิดสักนิด เขาทำใจให้พระชายาลำบากมิได้
“แต่ข้าจะเรียน ! ” พอได้ยินเสียงปฏิเสธ อันหลิงเกอก็รู้สึกมิพอใจขึ้นมาทันที สายตาที่มองมู่จวินฮานก็แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย
“เจ้าเพิ่งหายดี อย่างไรก็อย่าเพิ่งเรียนยิงธนูล่าสัตว์เลย” หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่จวินฮานก็ยังเลือกปฏิเสธอยู่ดี
“เช่นนั้นท่านก็อยู่ที่นี่ต่อไป ข้าหมดอารมณ์แล้ว ขอตัวกลับก่อน” อันหลิงเกอเอ่ยออกมาอย่างมิสบอารมณ์ ความคิดล่าสัตว์จึงจางหายและเปลี่ยนทิศทางม้าแล้วควบออกไปทันที
แท้ที่จริงตั้งแต่มู่จวินฮานไปหาเหล่าหวางเฟยเพื่อนาง ความโกรธในใจของอันหลิงเกอก็หายไปแล้ว
และนางมิเคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งก็จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวและทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้
มู่จวินฮานเห็นนางโมโห แววตาก็ค่อย ๆ มืดมน
“ท่านอ๋องขอรับ” องครักษ์ข้างกายยกสัตว์ที่เพิ่งล่าได้เมื่อครู่ขึ้นมาตรงหน้า แต่ขณะมองกระต่ายป่าและไก่ฟ้าพวกนั้น ดวงตาของมู่จวินฮานก็มืดมนกว่าเดิม
“ข้าจำได้ว่ามีโรงตีเหล็กบริเวณใกล้นี้ใช่หรือไม่ ? ” มู่จวินฮานยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง
“ใช่ขอรับ” ชิงเฟิงพยักหน้ารับ หลังจากนั้นก็มองมู่จวินฮานด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านอ๋องถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใดหรือขอรับ ช่วงนี้กองทัพก็มิได้รับอนุญาตให้ทำอาวุธสงครามขอรับ”
แม้โรงตีเหล็กเป็นของมู่จวินฮาน แต่ถ้าต้องการทำอาวุธสงครามยังต้องยื่นคำร้องขอราชสำนักก่อน
“อืม” มู่จวินฮานตอบอย่างมิแยแส คันธนูธรรมดาก็หนักมากอยู่แล้วแต่ถ้าหาช่างเหล็กฝีมือชั้นยอดมาทำคันธนูขนาดเล็กก็น่าจะได้ แต่ประสิทธิภาพของคันธนูและลูกศรต้องมิลดลงก็น่าจะเอาไปให้อันหลิงเกอใช้ได้
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นดวงตาของมู่จวินฮานก็เป็นประกายและรีบควบม้าไปจากตรงนั้นทันที
โรงตีเหล็กธรรมดามิสามารถทำได้เพราะต้องหาช่างฝีมือเก่ง ๆ ให้เจอเท่านั้น
สามวันหลังจากนั้น ณ เรือนฝูหลิง
เวลานี้มู่เหล่าหวางเฟยเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงมิกล้ามาทำร้ายอันหลิงเกออีก ทำให้นางได้อยู่อย่างสงบสุขไปชั่วขณะ
“พระชายา นี่ก็สายมากแล้ว ท่านรีบตื่นเร็วเจ้าค่ะ”
ปี้จูมองอันหลิงเกอที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างจนปัญญาเพราะตั้งแต่ตามพระชายาและท่านอ๋องไปล่าสัตว์ครั้งก่อน อันหลิงเกอดูไร้ชีวิตชีวา
“พระชายาเจ้าคะ”
ปี้จูวางงานในมือ เม้มปากและเข้าไปดึงผ้าห่มของนางออก “เมื่อครู่ท่านอ๋องส่งคนมาบอกว่าอีกสักครู่จะมาทานข้าวกับพระชายา ท่านรีบตื่นเถิดเจ้าค่ะ”
“หืม ? ” อันหลิงเกอลุกขึ้นมานั่งตัวตรงพลางเบิกตากว้าง นางมองปี้จูด้วยท่าทีตกตะลึง “ปกติเขามิได้งานยุ่งจนต้องทานข้าวที่ห้องหนังสือหรอกหรือ ? ”
ขณะมองท่าทางของเจ้านาย ปี้จูก็อดหัวเราะออกมามิได้ “พระชายาเลอะเลือนไปแล้วจริงหรือเจ้าคะ ท่านกับท่านอ๋องเป็นสามีภรรยากันนะเจ้าคะ”
สามีภรรยา…
คนที่โดนปลดจากตำแหน่งพระชายาเยี่ยงนางจักนับเป็นสามีภรรยาอันใดกัน
ช่างเถิด ในเมื่อมู่จวินฮานมิสนใจแล้วนางจะเยาะเย้ยตนเองไปด้วยเหตุใด
ปี้จูก็มิรอให้นางหายจากอาการตกตะลึงเพราะรีบดึงตัวอันหลิงเกอลงจากเตียงทันที
อันหลิงเกอมิได้ต่อต้านแต่ในใจยังคงหดหู่ ปี้จูเห็นนางค่อนข้างเศร้าสร้อยจึงมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก หลังช่วยอันหลิงเกอแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปทันที
หนึ่งชั่วยามต่อมา
“เชี่ยเซินคารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ” ขณะมองมู่จวินฮานเข้ามาในเรือน อันหลิงเกอก็กล่าวพร้อมมุ่ยปากใส่เขาและคารวะด้วยท่าทีรำคาญอีกฝ่ายยิ่งนัก
เมื่อมู่จวินฮานเห็นท่าทางมิพอใจของชายา เขาก็นึกเอ็นดูแต่มิได้กล่าวอันใดมากนัก เพียงเดินเข้ามานั่งข้างกายนาง
เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ เขาก็ค่อนข้างตกใจแต่ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“อาหารที่สาวใช้เตรียมให้เหมาะสมยิ่งนัก” เมื่อครู่มู่จวินฮานยังกังวลว่าปี้จูจะเตรียมอาหารมันเลี่ยนให้นางเสียอีก
“ข้าแค่ป่วยนิดหน่อยเท่านั้น ตอนนี้หายแล้วแต่ยังทานอาหารที่ชอบมิได้อีกเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมิชอบทานอาหารที่ทานอยู่ในทุกวันเลย แต่สุดท้ายก็จนปัญญาเพราะปี้จูเอาแต่กล่าวว่าต้องดูแลสุขภาพไว้ก่อน
พอนึกถึงตรงนี้นางก็อารมณ์เสียกว่าเดิม
เมื่อมู่จวินฮานเห็นท่าทางเยี่ยงนั้นก็ไม่คิดทำตัวอ้อมค้อมอีก เขารีบหยิบคันธนูขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้นางทันที
“ท่าน…” พออันหลิงเกอเห็นของที่อยู่ตรงหน้าก็ดีใจจนมิรู้จะกล่าวอันใดออกมา แต่หลังจากนั้นก็หันไปมองมู่จวินฮาน “ท่านบอกว่าจะไม่สอนให้ข้ามิใช่หรือ ? ”
เหตุใดตอนนี้จึงมอบให้นาง ?
แม้คิดเยี่ยงนั้นนางก็ยังเอื้อมมือไปหยิบมาถือไว้อย่างรวดเร็ว
“เจ้ามิได้บอกว่าชอบหรอกหรือ ? ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางแล้ว มู่จวินฮานก็รู้สึกว่าการที่ลงแรงไปมิได้เสียเปล่าจริง ๆ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข
“เอาเถิด เห็นแก่ที่ท่านจะสอนข้ายิงธนูล่าสัตว์ ข้ามิโกรธท่านแล้วก็ได้เจ้าค่ะ”
…
*สี่สุภาพบุรุษแห่งบุปผา ได้เเก่ ดอกเหมย, กล้วยไม้,ไผ่และเบญจมาศ โดยดอกเหมยคือตัวเเทนของฤดูหนาว ( งามเเละเข้มเเข็ง ) กล้วยไม้คือตัวเเทนของฤดูใบไม้ผลิ ( สดใสสง่างาม ) ต้นไผ่คือตัวเเทนของฤดูร้อน ( ซื่อตรงและใฝ่สูง ) ดอกเบญจมาศคือตัวเเทนของฤดูใบไม้ร่วง ( ซ่อนกลิ่น รูปงาม หมายถึงความถ่อมตัว ) ข้อมูลจาก ajarnyichinese.com