พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 568 ราวกับเสือและหมาป่า
ตอนที่ 568 ราวกับเสือและหมาป่า
ในขณะมองใบหน้ากระอักกระอ่วนของอันหลิงเกอ ซูเอ๋อก็รู้สึกงงงวยทันที มีผู้ใดบ้างที่รู้สึกมิสบายแล้วมิยอมเรียกหมอมาดูอาการ หากรั้งรอแล้วอาจรักษามิทันการ !
ส่วนปี้จูที่อยู่ตรงนั้นแค่นึกถึงเสียงร้องก็ทำให้นางหน้าแดงหูแดงและรู้สึกร้อนราวกับโดนไฟเผา เนื่องจากนางมีหน้าที่เฝ้าประตูตลอดทั้งคืนซึ่งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงจากในห้อง นางจะรู้สึกอายแต่ก็วิ่งหนีไปมิได้
“ปี้จู เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่” ซูเอ๋อเห็นแก้มปี้จูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและแววตายังแปลกประหลาด นางจึงยื่นนิ้วมือทั้งห้าไปกวัดแกว่งตรงหน้าปี้จู “เด็กคนนี้ เหตุใดถึงหน้าแดงเพียงนี้เล่า ? ”
มิรอให้อีกฝ่ายตอบกลับ ซูเอ๋อก็ยื่นมือเข้าไปสัมผัสก่อน
ปี้จูปิดบังใบหน้าอันแดงก่ำและรีบหมุนตัวหลบอย่างช่วยมิได้ อยู่ดี ๆ เหตุใดซูเอ๋อจึงหันมาสนใจตนเล่า ทว่าก็ต้องโทษที่นางหน้าบางเกินไป แค่เผลอคิดอันใดที่มิควรก็เผยสีหน้าเขินอายแล้ว
ยิ่งเห็นปี้จูทำตัวผิดปกติ ซูเอ๋อก็วิ่งไล่ตามเพื่อมองนางด้วยความอย่างรู้อยากเห็น ทำให้ทั่วห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลูบหน้าอกเพราะเหนื่อยแล้วหยุดอยู่กับที่
“พอแล้ว เจ้าเลิกแกล้งนางได้แล้ว นางหน้าบางจะตายไป” หลังจากทั้งสองคนหยอกกันได้พอสมควร อันหลิงเกอก็เอ่ยปรามและถือเป็นการผ่อนคลายสถานการณ์แทนปี้จูด้วย
ตอนนี้นางรู้สึกปวดตัวมากจึงมิอาจออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกับซูเอ๋อได้ นางจึงเลือกนั่งคุยเป็นเพื่อนกันในเรือนเท่านั้น
ส่วนปี้จูที่เห็นทั้งสองคนสนทนากันได้พักใหญ่แล้วจึงออกไปยกน้ำชามาให้ ผ่านไปมินานทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของชา
“นี่คือชาอันใด ? ” ซูเอ๋อก้มมองพลางเห็นน้ำชามีสีเหลืองและด้านบนมีกลีบดอกไม้ที่รูปร่างคล้ายผลไม้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนางจึงยกถ้วยชาขึ้นมาดูใกล้ ๆ อีกครั้ง “ท่านแม่ทัพก็เดินทางไปหลายพื้นที่และได้ใบชาล้ำค่ากลับมามิน้อย เหตุใดข้าจึงมิเคยเห็นใบชาเยี่ยงนี้มาก่อน ? ”
อันหลิงเกอคลี่ยิ้มออกมา หลังยกชาขึ้นจิบก็ตอบว่า “นี่คือชาผลไม้ที่ข้าคัดเลือกวัตถุดิบเอง จากนั้นก็ให้สาวใช้นำมาชง” หลังกล่าวจบก็ยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง
ซูเอ๋อที่มิเคยได้ยินชาเยี่ยงนี้มาก่อนจึงรู้สึกสนใจและเมื่อเห็นสีหน้าแดงระเรื่อกับผิวพรรณขาวผ่องเนียนละเอียดของอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเพราะดื่มชาบำรุงชนิดนี้เข้าไป ผิวพรรณจึงดูดีเยี่ยงนี้
ซูเอ๋อจึงเอื้อมมือออกไปจี้เอวอันหลิงเกออย่างหยอกล้อ “เจ้ามิต้องปิดบังข้าหรอก” จากนั้นพูดต่อด้วยท่าทางแสนงอน “นี่เป็นสูตรที่ท่านอ๋องหามาให้เจ้าใช่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอรู้สึกปวดเอวกว่าเดิมแต่ก็ทำเพียงประคองกายและฝืนฉีกยิ้มออกมาเพราะเวลานี้แม้แต่คำพูดก็ยังยากจะเอ่ย
“ข้ามีชาอยู่มิน้อย หากเจ้าชื่นชอบก็นำกลับจวนไปด้วยสิ” หลังหยุดไปครู่หนึ่งอันหลิงเกอถึงได้พูดอีกครั้งและใบหน้าที่เคยบิดเบี้ยวก็ค่อย ๆ กลับมาดูผ่อนคลาย
ทว่าเพราะซูเอ๋อยังรู้สึกกังวลกับท่าทางของอันหลิงเกออยู่จึงตะโกนออกไปด้านนอกอีกครั้ง
“พระชายารู้สึกมิสบายตัว พวกเจ้ารีบไปตามหมอมาดูอาการ ! ” พอหันมามองอันหลิงเกออีกครั้ง นางกลับรู้สึกผิดเล็กน้อย
เพราะตอนนี้อันหลิงเกอกำลังทำหน้ากลืนมิเข้าคายมิออก อยากห้ามแต่ก็มิกล้าอธิบายเหตุผลว่าเป็นเพราะอันใด คงมิดีถ้าจะให้เล่าเรื่องที่ตนกับมู่จวินฮานทำเมื่อคืนให้สหายฟัง !
เมื่อลองชั่งน้ำหนักแล้ว ท้ายที่สุดนางก็กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “เจ้ามิต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าพักผ่อนอีกหน่อยก็ดีขึ้นเอง”
แม้อันหลิงเกอบอกออกไปเยี่ยงนี้ แต่ก็มีสายตาที่น่าสงสัยจากซูเอ๋อส่งมา นางจึงยิ้มจนตาหยีส่งไปให้
ส่วนปี้จูที่เห็นอันหลิงเกอลำบากใจจึงดึงตัวซูเอ๋อมายังห้องฝั่งตะวันออกและเมื่อเห็นอันหลิงเกอมิเอ่ยปากห้ามจึงบอกซูเอ๋อว่า “ฮูหยินซูเอ๋อช่างไร้เดียงสาเสียจริงเจ้าค่ะ ท่านมองมิออกจริงหรือว่าเหตุใดพระชายาของบ่าวจึงดูอ่อนล้าเจ้าค่ะ”
แม้ปี้จูกล่าวออกมาถึงเพียงนี้แล้ว ซูเอ๋อก็ยังมิเข้าใจ
“พระชายาปรนนิบัติท่านอ๋องทั้งคืน แล้วจะมิเหนื่อยได้หรือเจ้าคะ ? ” ปี้จูหน้าแดงแล้วกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา หลังส่งสายตาให้ซูเอ๋อแล้วก็เดินออกมาทันที
ส่วนซูเอ๋อพอนึกถึงท่าทางเขินอายเมื่อครู่ของอันหลิงเกอก็เข้าใจขึ้นมา ทันใดนั้นเองมือน้อย ๆ ของนางก็ยกขึ้นปิดหน้าเพราะรู้สึกร้อนผ่าว
“เอ่อ…คือ ข้ากลับจวนก่อน วันหลังจะมาหาเจ้าใหม่” ซูเอ๋อรีบเดินและรีบบอกลา แม้แต่ชาผลไม้ก็ยังมิทันได้นำกลับไปด้วย
เด็กคนนี้ชอบทำอันใดมิคิดหน้าคิดหลังอยู่เรื่อย
อันหลิงเกอมองซูเอ๋อที่เดินออกไปจากจวนด้วยใบหน้าแดงก่ำ นางจึงได้แต่ส่ายหน้าจากนั้นก็บอกให้ปี้จูช่วยประคองกลับไปนอนพัก
ตกเย็น มู่จวินฮานยังเห็นนางปวดไปทั้งตัวและไร้เรี่ยวแรงจึงสั่งให้สาวใช้ไปนำยาทามาให้ เพราะเขาอยากนวดคลายปวดให้นางหลังอาบน้ำเสร็จ ทว่านางเอาแต่หลบอยู่ตรงมุมเก้าอี้และมิยอมให้เขาแตะต้องเด็ดขาด
“คืนนี้พวกเราแยกกันนอน หากท่านง่วงก็นอนก่อนได้เลยเจ้าค่ะ” ตอนนี้อันหลิงเกอพันตัวเหมือนบ๊ะจ่างที่ลมผ่านเข้าไปมิถึงพร้อมจ้องเขาด้วยสายตาหวาดระแวง
มู่จวินฮานเห็นแล้วก็รู้สึกขำขันมิน้อย “ข้ายังมิง่วง”
ไม่ง่วงเจ้าก็แตะข้ามิได้ !
อันหลิงเกอเขี่ยเท้าตนเอง เมื่อคืนนางโดนเขารังแกถึงเพียงนั้น ถ้าคืนนี้ต้องถูกรังแกอีก พรุ่งนี้นางคงมิสามารถลงจากเตียงได้แน่ และไม่เพียงขายหน้าสาวใช้ แต่ต้องทนกับความเจ็บปวดเข้ากระดูกดำอีกด้วย
“หากมิง่วงท่านก็ไปอ่านหนังสือสิเจ้าคะ” อันหลิงเกอชี้ไปที่โต๊ะและหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าอันใด “ท่านมิได้มีงานต้องจัดการหรือ ตอนนี้ยังไม่ดึก…”
คำพูดที่ติดอยู่ในลำคอยังมิทันได้หลุดออกมา ผ้าห่มที่พันกายเอาไว้ก็ถูกมู่จวินฮานดึงออกเสียแล้ว
การกระทำของมู่จวินฮานค่อนข้างหยาบคาย เขาใช้มือรวบตัวนางไว้แล้วเปิดฝายาทา “มิต้องหนี ! ข้าแค่จะทายาให้เจ้า มิได้จะกินเจ้าเสียหน่อย ต้องกลัวอันใดเล่า ? ” หลังกล่าวจบ ยาที่นิ้วของเขาก็ถูลงบนตัวนาง
“กลัวท่านเป็นเหมือนเมื่อคืนอีกน่ะสิเจ้าคะ”
ราวกับเสือและหมาป่าไม่มีผิด
อันหลิงเกอแยกเขี้ยวใส่ เดิมทีคิดปฏิเสธแต่มู่จวินฮานกดนางเอาไว้ ขณะที่ยาเย็น ๆ สัมผัสผิวกาย ลมหายใจที่อบอุ่นก็พัดผ่านข้างหูและต่อจากนั้นก็เป็นเสียงคมเข้มดังตามมา
“ข้าจักปล่อยเจ้าไปชั่วคราว” การเคลื่อนไหวที่มือหยุดลง ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็ยกยิ้มมุมปาก “ข้ามิชอบเห็นเจ้าร้องไห้เพราะความเจ็บ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ บริเวณลานกว้าง
“นี่คือพี่หญิงที่แสนดีของข้าหรือไม่ ? ” ในเวลานี้ทัวป๋าถิงฟางเริ่มทำตัวหยิ่งยโสขึ้นเรื่อย ๆ
“มิต้องสน พวกเราไปกันเถิด” ทัวป๋าหลิวลี่พาสาวใช้เดินเลี่ยงจากตรงนั้น
ทันใดนั้นไหล่ของทัวป๋าถิงฟางที่อยู่เบื้องหลังก็สั่นเล็กน้อย แววตาก็ดุดันราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ด้านใน “เพิ่งได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องก็กล้าไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาแล้ว ข้าจะรอดูว่าเจ้าทำตัวโอหังได้ถึงเมื่อไร ! ”
เพราะตอนนี้เพื่อปกป้องอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานมิได้ประกาศเรื่องความโปรดปรานออกไป ตรงกันข้ามยังใช้ทัวป๋าหลิวลี่มาเป็นโล่รับเคราะห์แทนอีกด้วย
“เช่อเฟยเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” การที่ทัวป๋าหลิวลี่มาหามู่เหล่าหวางเฟยต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของอันหลิงเกอแน่นอน
และกิริยาของสาวใช้ถือว่ายังพอมีมารยาทอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี
ต่อจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ต้องเดินผ่านทางเดินที่ทอดยาวและยังต้องเดินต่ออีกพักใหญ่ถึงจะมาในห้องโถงได้ ภายในห้องโถงแห่งนี้ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา จนวันนี้ที่ได้เข้ามาจึงรู้ว่าเรือนของนางเทียบมิติด
ม่านลูกปัดขนาดใหญ่ถูกแขวนอยู่หน้าเก้าอี้ชั้นยอด ระหว่างช่องว่างที่มีแสงรำไรลอดเข้าไปถึง นางสามารถเห็นร่างที่ทอดกายบนเตียงได้ลาง ๆ อีกฝ่ายมีดวงตาที่งดงาม แม้อายุมากแล้วก็ยังดูสง่างามมิเปลี่ยน
ผ่านไปพักใหญ่ คนผู้นั้นจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินออกมาข้างนอก
“คารวะหมู่เฟยเจ้าค่ะ” ทัวป๋าหลิวลี่คุกเข่าลงบนเบาะ ศีรษะก้มลงตามที่ควร “ขอหมู่เฟยอายุยืนหมื่นปีเจ้าค่ะ” หากยังมิได้รับอนุญาต นางก็ไม่กล้าลุกขึ้นมา
“ลุกขึ้นได้” มู่เหล่าหวางเฟยยกมุมปากขึ้นพร้อมจับจ้องผู้ที่อยู่บนพื้น “วันนี้เจ้ามาหาแม่ด้วยเรื่องอันใด มีสิ่งใดก็กล่าวออกมาตามตรงเถิด”
การที่มู่เหล่าหวางเฟยถามออกมาตามตรงก็ทำให้นางสะดวกขึ้นมาก
เมื่อนั่งบนเก้าอี้ที่สาวใช้ย้ายมาให้แล้ว ทัวป๋าหลิวลี่ก็กำผ้าเช็ดหน้าแน่น แต่ในขณะที่กำลังจะกล่าวออกมา คนที่อยู่ด้านบนก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน
“ช่วงนี้ท่านอ๋องโปรดเจ้า แม่ก็ได้ยินมามิน้อย” มู่เหล่าหวางเฟยกล่าวพร้อมวางถ้วยชาในมือลงแล้วเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสให้เห็น
มีเพียงผู้ที่รอบรู้เท่านั้นถึงจะเข้าใจคำกล่าวที่ไร้พิษภัยนี่ว่ามีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น ในเวลานี้มู่เหล่าหวางเฟยต้องการสื่อว่ากำลังหยั่งเชิงนาง
“ลูกมิกล้าเจ้าค่ะ” ทัวป๋าหลิวลี่รีบก้มหน้า ความหยิ่งผยองในอดีตหายไปจนหมด นางในเวลานี้เพียงอยากได้ความช่วยเหลือจากมู่เหล่าหวางเฟยเท่านั้น