พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 569 ตาต่อตาฟันต่อฟัน
ตอนที่ 569 ตาต่อตาฟันต่อฟัน
มู่เหล่าหวางเฟยยังมองนางต่อไปโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา
“หมู่เฟยล้อเล่นแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านอ๋อง เอ่อ…” ทัวป๋าหลิวลี่ยกมือปิดหน้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์น่าสงสาร
“วันนี้ลูกมาเพื่อบอกหมู่เฟยว่าสู้เพียงลำพังยังดีมิเท่ามีคนช่วยอีกแรง ท่านคิดเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” ทัวป๋าหลิวลี่กล่าวพร้อมเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมู่เหล่าหวางเฟยด้วยแววตาที่เด่นชัด
มู่เหล่าหวางเฟยก็มองหน้าอีกฝ่าย เป็นธรรมดาที่นางจะเข้าใจความหมายแฝงในคำพูด แต่นางจะกล้าตอบตกลงในทันทีได้เยี่ยงไร หรือคนอย่างนางอ่านใจคนมิเป็นกันเล่า ?
“ลูกเห็นว่าหมู่เฟยกับอันหลิงเกอมิได้ขัดแย้งกันแค่วันสองวัน ลูกถึงได้มีความคิดนี้ขึ้นมา อีกอย่างในจวนอ๋องแห่งนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับนางได้เจ้าค่ะ”
หลังหมุนตัวกลับ ทัวป๋าหลิวลี่ก็เผยท่าทางคิดหนักเพราะก่อนมาที่นี่นางมั่นใจว่ามู่เหล่าหวางเฟยจะตอบรับ เนื่องจากมีคนเพิ่มก็เท่ากับมีมือเพิ่มอีกมือ
ถึงจะแพ้ก็ยังมีคนร่วมรับโทษอีกหนึ่ง
มู่เหล่าหวางเฟยมิใช่คนโง่ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเข้าใจความคิดของทัวป๋าหลิวลี่ดี
“เอาเถิด ต่อไปพวกเราก็ถือว่าเดินบนเส้นทางเดียวกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว” จากนั้นมู่เหล่าหวางเฟยก็เรียกสาวใช้เข้ามา “พวกเจ้าไปส่งเช่อเฟย”
หลังออกจากเรือนของมู่เหล่าหวางเฟยแล้วทัวป๋าหลิวลี่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเพราะคิดได้ว่าตอนนี้ตนได้กลายเป็นพวกเดียวกับมู่เหล่าหวางเฟยแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกสบายใจมิน้อย
ผ่านไปอีกไม่กี่วันทางฝั่งมู่เหล่าหวางเฟยก็ส่งคนมาเชิญทัวป๋าหลิวลี่ไปพบ เมื่อไปถึงแล้วทัวป๋าหลิวลี่จึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องอันใด
“ที่เรียกเจ้ามาในวันนี้เพราะสาวใช้ในเรือนถูกสั่งไปทำงานอย่างอื่นหมดแล้ว หากเจ้าไม่มีเรื่องอันใดต้องทำก็มาช่วยกะเทาะ*เมล็ดซิ่งจึให้แม่ที” มู่เหล่าหวางเฟยผลักตะกร้าไปตรงหน้าอีกฝ่าย
ขณะมองเมล็ดซิ่งจึเต็มตะกร้า แม้ทัวป๋าหลิวลี่จะรู้สึกงุนงงแต่สุดท้ายก็ยิ้มรับ ในขณะที่กำลังจะบอกให้คนนำเครื่องมาช่วยกะเทาะ มู่เหล่าหวางเฟยก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เท่าที่แม่จำได้เหมือนว่าเครื่องมือพวกนั้นจะเสียหายจากการใช้ครั้งก่อน วันนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
แม้ทำได้เพียงส่ายศีรษะ แต่ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ใต้โต๊ะของทัวป๋าหลิวลี่ก็ถูกบิดเสียรูปนานแล้ว
นางเคยลำบากเยี่ยงนี้มาก่อนที่ไหนเล่า แต่พอคิดว่านางจะได้รับการสนับสนุนจากมู่เหล่าหวางเฟยก็จะไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่นอน !
กว่าที่ทัวป๋าหลิวลี่จะกะเทาะเมล็ดซิ่งจึเต็มตะกร้าหมดก็เกือบค่ำแล้ว นอกจากนี้นิ้วมือทั้งสิบของนางก็เต็มไปด้วยบาดแผล สาวใช้จึงเชิญท่านหมอมาดูบาดแผลด้วยความปวดใจ
ต่อจากนั้นไม่กี่วันมู่เหล่าหวางเฟยก็เปลี่ยนวิธีทำให้นางทนทุกข์อย่างเดิม หลังผ่านไปนานเข้า นางก็รู้สึกหมดสนุกจึงเก็บลูกไม้ต่าง ๆ นานาของนางเข้ากรุ
“เช่อเฟย เหตุใดท่านมิต่อต้านเจ้าคะ ? ” สาวใช้ถามด้วยความงุนงง
ทัวป๋าหลิวลี่ที่ได้ยินก็รีบส่ายหน้าพร้อมเผยแววตามุ่งมั่นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน “เจ้ามิรู้อันใด การอยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ได้ต้องรู้จักอดทน อย่างน้อยข้าก็แพ้ให้ทัวป๋าถิงฟางนั่นมิได้”
แม้โดนมู่เหล่าหวางเฟยรังแกมากเพียงใดก็ดีกว่าโดนทั้งสองฝ่ายเล่นงานพร้อมกัน
มีคนรักย่อมต้องมีคนเกลียด ทว่าทางฝั่งอันหลิงเกอกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อนที่นางหนีไปอยู่หอพิษกู่ อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าได้รับความรักจากมู่จวินฮานมากกว่าเดิม มิเพียงใส่ใจกับเรื่องที่นางเอ่ยถึง แต่มักถามขึ้นก่อนว่านางอยากได้หรืออยากทำสิ่งใดบ้าง
วันนี้ทั้งสองคนกำลังรับประทานอาหารอยู่ในเรือนตามปกติ
“ช่วงนี้เจ้าอยากทำสิ่งใดบ้างหรือไม่ หากมีก็บอกให้ชิงเฟิงหรือพ่อบ้านไปจัดการได้เลย” มู่จวินฮานรับผ้าเช็ดหน้ามาจากสาวใช้ จากนั้นก็เช็ดที่มุมปากตัวเองเบา ๆ
ส่วนอันหลิงเกอที่กำลังจะคีบอาหารมาทานก็ตกตะลึงเสียดื้อ ๆ มือค้างกลางอากาศมิรู้ว่าจะคีบต่อหรือเก็บมือดี แต่ในขณะที่นางกำลังตกตะลึงนั้นในชามก็มีเกี๊ยวกุ้งเพิ่มขึ้นมาหลายตัว
“ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ ? ”
มู่จวินฮานช้อนตามองนางเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นดึงตัวนางมานั่งอีกด้านหนึ่งแล้วมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบออกไปเที่ยวเล่น หากอยากได้ของหายากอันใดก็บอกข้าได้”
เดิมทีหน้าที่ซื้อของเข้าจวนล้วนเป็นพ่อบ้านทั้งนั้นจึงกลัวว่ามันจะดูล้าสมัย หรือมิเข้าตาตนเอง ดังนั้นเวลานางออกไปเที่ยวเล่นกับซูเอ๋อจึงมักซื้อของหายากกลับมาอยู่บ่อยครั้ง
แม้ตอนนี้อันหลิงเกอได้กลับมาอยู่ในจวนอ๋องอีกครั้ง แต่นางดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนอดีต
“พอท่านเอ่ยถึงเรื่องนี้ ข้าก็คิดออกอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ ! ” ขณะพูดนางก็มองสีหน้าจริงจังของมู่จวินฮานด้วยแววตามีความสุข หลังจากนั้นนางก็เล่าออกมา ดูเหมือนตอนนี้นางจะพูดมากขึ้นโดยมิรู้ตัว
เมื่อเห็นนางเป็นเยี่ยงนี้ มู่จวินฮานจึงมิพูดแทรก เพียงพยักหน้ารับและท่าทางกำลังรอฟังสิ่งที่นางจะกล่าว
“ช่วงนี้รู้สึกหนาวเล็กน้อย ข้าจึงอยากแช่น้ำร้อนสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“เจ้าอยากได้ที่แบบไหน ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปหา” ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็ลุกขึ้นมาอยู่ตรงหน้านาง “ถ้าตั้งใจหาจริง ๆ ก็ยังพอหาเจออยู่บ้าง”
“นี่เป็นบ่อน้ำที่ข้าอยากได้ ขนาดของบ่อใหญ่พอ ๆ กับเรือนหลังนี้ของเราและด้านในก็มีพื้นผิวเรียบทุกด้านเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอนำกระดาษมาวางตรงหน้าเขาแล้วกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
นางชอบเรียนวิชาแพทย์มาโดยตลอดและบ่อน้ำร้อนนี้ก็ดีต่อร่างกาย
มู่จวินฮานกวาดสายตามองกระดาษแผ่นนั้นอยู่นานสองนานและยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า “บ่อเยี่ยงนี้หาได้มิยาก รอให้ตกบ่ายแล้วข้าจะส่งคนออกไปหาในเมือง เกอเอ๋อแค่รอฟังข่าวก็พอ”
หลังคุยต่ออีกสองสามประโยคแล้วมู่จวินฮานก็ออกไปจากเรือนทันที
“หามิได้ก็ช่างเถิด ไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้เพราะข้าก็แค่เพ้อเจ้อไปชั่วครู่เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอแสร้งทำไม่สนใจ
มู่จวินฮานมิได้พยักหน้ารับ เพียงมองนางเงียบ ๆ แล้วถอนหายใจ “สถานที่ก็มีอยู่หรอก แต่ข้ามิค่อยพอใจเท่าไรจึงคิดว่าจะรออีกหน่อย”
เพราะหลังจากที่ฟังนางแล้ว เขาก็ครุ่นคิดถึงสถานที่จนพบว่าหากตั้งไม่ห่างไกลก็จะมีสิ่งแวดล้อมไม่ดีสักเท่าไร ถ้าสุดท้ายยังหาสถานที่ดี ๆ มิได้ เขาก็คงต้องละทิ้งเรื่องนี้แล้ว
ทำให้หลังออกจากเรือน มู่จวินฮานก็ตรงไปยังห้องหนังสือ เดิมทีคิดไปหยิบของบางอย่างแต่มีความคิดผุดขึ้นในหัว
เรือนแห่งนี้ตั้งอยู่ในตำแหน่งใจกลางจวน สวนอยู่ทางทิศตะวันออก ทิวทัศน์สี่ฤดูของสวนก็สวยมิแพ้ในวัง
“ชิงเฟิง เจ้าคิดว่าเรือนหลังนี้ของข้าเป็นเยี่ยงไร ? ” มู่จวินฮานมองไปโดยรอบและเห็นองค์ประกอบเหมาะสมทุกอย่าง ทิวทัศน์ก็ยอดเยี่ยมจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
มิรู้ว่าเขาถามด้วยเหตุใด ชิงเฟิงจึงได้แต่ตอบตามความจริง “เรือนของท่านอ๋องย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว ที่อื่นเทียบมิได้หรอกขอรับ ! ” แน่นอนอยู่แล้วเพราะท่านอ๋องเป็นนายของจวนหลังนี้ มิว่าเป็นสวนหรือห้องทำงานก็ต้องดีเหนือผู้ใด
ได้ยินเยี่ยงนั้นมู่จวินฮานก็พูดว่า “ดี” ต่อจากนั้นก็ไม่หยิบของอันใดอีกต่อไปและรีบกลับไปที่เรือนฝูหลิงทันที
พอเห็นฝีเท้าว่องไวและใบหน้ามีความสุขของมู่จวินฮานเดินเข้ามาในเรือนอีกครั้ง อันหลิงเกอก็เหลือบมองชิงเฟิงที่ตามหลังเขาด้วยความมึนงง “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ ? ”
เพิ่งออกไปแล้วเหตุใดกลับมาด้วยท่าทางมีความสุขขนาดนี้ หรือมีเรื่องมงคลอันใด ?
“เจ้ามากับข้าหน่อย ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” น้ำเสียงของมู่จวินฮานค่อนข้างร้อนรน ระหว่างคิ้วดูมีความสุขโดยมิอาจปกปิดได้ ขณะเอ่ยเขาก็ลากนางมายังเรือนของตนเอง
อันหลิงเกอเต็มไปด้วยความสงสัย ที่นี่ก็มิต่างไปจากเมื่อก่อนเสียหน่อย แล้วเขาจะลากนางมาที่นี่เพราะเหตุใด ?
“เรือนหลังนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” มู่จวินฮานถามโดยมิสนสายตาสงสัยของคนข้างกาย
อันหลิงเกอกวาดสายตามองให้ละเอียดอีกครั้ง หลังมั่นใจแล้วว่าไม่มีอันใดเปลี่ยนไป นางก็ตอบกลับ “ก็ดีเจ้าค่ะ” พอกล่าวจบ นางก็โดนลากกลับมาที่เรือนฝูหลิง
…
* เมล็ดซิ่งจึ หรือเรียกว่าเมล็ดเอพริคอตสามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรที่เรียกว่าเห่งยิ้ง