พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 587 เรื่องตลก
ตอนที่ 587 เรื่องตลก
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ถิงฟางเช่อเฟยสร้างเรื่องตลกแล้ว ก่อนหน้านั้นไปออดอ้อนขอให้ท่านอ๋องสร้างบ่อน้ำร้อนให้ ทว่าตอนนี้พอมาเทียบกับของพระชายาแล้วมิคุ้มที่จะกล่าวถึงด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
ฟางจูอยากทำให้มู่เหล่าหวางเฟยหัวเราะ แต่คาดมิถึงว่าหลังพูดจบสีหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยจักเปลี่ยนไปทันที
เดิมเข้าใจผิดว่าทัวป๋าถิงฟางได้รับความโปรดปรานแล้วจะสร้างปัญหาให้อันหลิงเกอได้บ้าง คาดมิถึงว่าสุดท้ายอันหลิงเกอก็เป็นคนโปรดหนึ่งเดียวดังเดิม
ถือเป็นเรื่องดีได้เยี่ยงไร !
เมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าหวางเฟยแล้ว ฟางจูก็ได้สติขึ้นมาทันที
“เหล่าหวางเฟยโปรดลงโทษ เมื่อครู่ฟางจูพูดผิดไปเจ้าค่ะ”
ขณะกล่าวนางก็จะคุกเข่าลง แต่ถูกมู่เหล่าหวางเฟยห้ามไว้ก่อน
“ในเมื่อเจ้ากับข้ารักกันดุจแม่ลูกก็มิต้องมากพิธีหรอก เรื่องนี้ข้าคิดได้นานแล้วว่าทัวป๋าถิงฟางจะเอาอันใดไปสู้อันหลิงเกอ แม้ตัวข้ายังทำอันใดมิได้ ถ้านางทำได้ก็แปลกแล้ว”
คิดมาถึงตรงนี้มู่เหล่าหวางเฟยก็มั่นใจกว่าเดิม ดูเหมือนนางต้องดึงหมากอีกตัวมาใช้โดยเร็ว
“ไปนำกระดาษมา” แม้ชนเผ่าทางฝ่ายมารดามิใหญ่มากแต่ก็เป็นหนึ่งในชนเผ่าเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับเผ่าปิงชวนและชำนาญที่สุดก็คือการยั่วยวน
หากเรียกคนในเผ่าผู้นั้นมาก็น่าจะดึงใจของมู่จวินฮานกลับมาได้
มู่เหล่าหวางเฟยคลับคล้ายคลับคลาว่าในบรรดาพี่น้องของนางมีหลานสาวอยู่หนึ่งคน แม้สายสัมพันธ์ค่อนข้างห่างไกลแต่ความงามโด่งดังไปทุกสารทิศ หากเรียกตัวเข้าจวน มิเพียงสามารถใช้ความงามหลอกล่อแต่ยังมีความฉลาดรอบรู้ด้วย ดังนั้นต้องทำให้จวินฮานออกห่างจากอันหลิงเกอได้แน่นอน
“เหล่าหวางเฟยกำลังคิดทำอันใดเจ้าคะ ? ”
เห็นมู่เหล่าหวางเฟยลุกขึ้นมาเขียนจดหมายโดยมิสนใจสุขภาพ ฟางจูก็รีบยกผ้าห่มมาห่มให้
“ไม่มีอันใด ขอแค่นางมาแล้วข้าก็มิกลัวว่าใจของจวินฮานจะอยู่ที่อันหลิงเกออีก” บุรุษทุกคนล้วนเจ้าชู้ แม้เป็นบุตรชายของตนก็มิยกเว้น
มู่เหล่าหวางเฟยเชื่อมั่นว่าหลังเรียกหลานสาวโฉมงามมาแล้วจะมัดใจมู่จวินฮานไว้ได้
ตอนนี้ร่างกายของนางเป็นเยี่ยงนี้ การเรียกใครสักคนมาดูแลก็ถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นมิน่ามีใครคิดมาก
ส่วนอันหลิงเกอในเมื่อมิลงมือเสียทีก็แปลว่าโดนจวินฮานผูกไว้ด้วยความสัมพันธ์จนลังเลที่จะมาแก้แค้นนาง
ดูเหมือนอาวุธที่ใช้ทำร้ายคนได้ดีที่สุดก็คือความรู้สึก
หากมิได้เป็นเพราะความรู้สึก ด้วยนิสัยของอันหลิงเกอแล้วคงมาแก้แค้นตั้งนาน ด้วยศาสตร์แห่งพิษและวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศ อยากทำอันใดก็คงเป็นเรื่องง่าย
ดูเหมือนบุตรชายจะช่วยนางไว้โดยมิได้ตั้งใจอีกครั้ง
ขอแค่หยุดอันหลิงเกอไว้ได้ นางก็สามารถทำเหมือนที่จัดการฮูหยินใหญ่อันเมื่อครั้งอดีตคือร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อจัดการบุตรสาวของศัตรู !
เจ้าที่อยู่ในยมโลกก็อย่าโทษข้าเลย
นึกถึงตรงนี้แล้วมู่เหล่าหวางเฟยก็ลอบยิ้มและมองมิเห็นท่าทางของคนป่วยแม้แต่น้อย
“มู่เหล่าหวางเฟย ท่านอ๋องมาเจ้าค่ะ” หลังได้ยินเสียงฝีเท้าที่หน้าประตู ฟางจูก็รีบกล่าวขึ้นมาทันที
“เอาจดหมายไปส่ง”
พอส่งให้ฟางจูแล้วมู่เหล่าหวางเฟยก็กลับไปนอนบนเตียงอีกครั้งพร้อมแววตาที่อ้างว้าง ท่าทางไร้ชีวิตชีวา
“หมู่เฟย วันนี้รู้สึกเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ”
ท้ายที่สุดมู่จวินฮานก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี เนื่องจากเป็นมารดาของตน แต่เพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวของเขาทำให้นางทรมานตนเองจนกลายเป็นเยี่ยงนี้ เขาจึงรู้สึกไม่ดีแม้แต่น้อย
มิว่ามู่เหล่าหวางเฟยตั้งใจก็ดีหรือจะบังเอิญก็ช่าง สุดท้ายเขาก็รู้สึกแย่
“ดีขึ้นบ้างแล้ว” ใบหน้ามู่เหล่าหวางเฟยยังเปื้อนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่มันทำให้มู่จวินฮานรู้สึกแย่กว่าเดิม
หากมิได้หมู่เฟยปกป้องเขาตั้งแต่เด็ก เขาก็คงไม่มีวันนี้
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ มู่จวินฮานก็จะรู้สึกขอบคุณมู่เหล่าหวางเฟยและซาบซึ้งใจด้วยเช่นกัน
สตรีตัวคนเดียวปกป้องกายอยู่ในเรือนหลังก็เป็นเรื่องยากแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นนางยังต้องพยายามปกป้องเขาด้วย
สถานการณ์ในเวลานั้นของมู่เหล่าหวางเฟยยากลำบากขนาดไหน ตัวเขารู้ดีแก่ใจ ฮ่องเต้มิยุติธรรมกับจวนอ๋องมู่จริง ๆ
“หมู่เฟยมิต้องกังวล ลูกจะมิพูดเรื่องเหลวไหลอีกแล้ว ลูกไม่ให้ท่านไปพักอยู่ที่เรือนอื่นแล้วขอรับ” หลังครุ่นคิดแล้วมู่จวินฮานก็ยังเลือกที่จะทำให้มู่เหล่าหวางเฟยมั่นใจ
ตอนนี้ดูเหมือนเกอเอ๋อคงไม่ตำหนิหมู่เฟยแล้ว แม้เขามิได้ตรวจสอบเรื่องมากมายภายในนั้น แต่ก็ดูจากท่าทีของเกอเอ๋อและเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าเช่นนี้ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีต่อทั้งสองฝ่ายก็เป็นธรรมดาที่จะทำ
ในขณะที่มู่จวินฮานกำลังคิดเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ได้บอกความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนและเป็นธรรมดาที่มู่เหล่าหวางเฟยจะรู้ว่าบุตรชายกำลังคิดอันใดอยู่
แต่น่าเสียดายที่อันหลิงเกอเป็นเหมือนมารดา ท้ายที่สุดก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต และนางก็ไม่มีทางอนุญาตให้บุตรชายอยู่กับบุตรีของฮูหยินใหญ่อันอย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้นนางก็กลัวว่าจะอยู่มิเป็นสุขไปชั่วชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้นคืออันหลิงเกอก็รู้ความจริงแล้วจึงยิ่งเก็บไว้มิได้เด็ดขาด การทำลายอีกฝ่ายก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“จวินฮาน แม่เหนื่อยแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยปากให้มู่จวินฮานออกไป
“ขอรับ ลูกจะออกไปเดี๋ยวนี้”
มู่จวินฮานมิได้คิดมากเนื่องจากคนป่วยต้องพักผ่อนและหมู่เฟยก็อายุมากแล้วจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ
หลังออกมาแล้วมู่จวินฮานก็พาอันหลิงเกอออกนอกจวนเพื่อเที่ยวเล่นในตลาด
เพราะในเวลานี้ไม่มีหอพิษกู่อยู่อีกจึงทำให้แผ่นดินต้าโจวกลับมาครึกครื้นและขุนนางใหญ่จึงมีอิสระกันมาก มิต้องกังวลว่าหอพิษกู่จะนำความลับของพวกตนไปเปิดเผยอีก ด้วยเหตุนี้จึงบรรเทาความกังวลของพวกเขาไปได้มาก
ทว่ามู่จวินฮานครุ่นคิดเรื่องนี้มาโดยตลอดเพราะต้องมีสักวันหนึ่งที่หอพิษกู่จะกลับมาใหม่ เพียงแต่มิรู้ว่าเป็นเมื่อไร
เมื่อเทียบกับผลกระทบเหล่านี้ที่เขากลัวยิ่งกว่าคือฟางหลิงซู่จะแย่งอันหลิงเกอไปจากตน
ในใจของเขามักมีความรู้สึกหนึ่งแฝงอยู่เสมอนั่นก็คือต้องมีสักวันที่ฟางหลิงซู่จะเข้ามาแย่งอันหลิงเกออย่างเปิดเผย
ใช่ว่าเขามิเชื่อใจ เพียงแต่…
ตอนนี้หมู่เฟยหาทางจัดการอันหลิงเกอทุกวิถีทาง หากมีวันใดทำร้ายใจเกอเอ๋อขึ้นมาแล้ว นางจะไปจากเขาหรือไม่ ?
“เป็นอันใดหรือเจ้าคะ ? ”
ยามมองท่าทางเหม่อลอยของมู่จวินฮาน อันหลิงเกอก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังคิดอันใดบางอย่าง
“ไม่มีอันใด” เขาไม่อยากแสดงออกต่อหน้านาง
“เจ้า เจ้าเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่อันใช่หรือไม่ ! ”
ในระหว่างนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งเข้ามาจับมือของอันหลิงเกอไว้ นางจึงหันไปมองก็พบว่าคนผู้นั้นเป็นหญิงชราใส่หมวกคนหนึ่ง
“เจ้าค่ะ…” นางมึนงงเล็กน้อย นี่ยังมีคนรู้จักมารดาอยู่หรือ
“ข้าเป็นคนของเผ่าหมอเทวดาและเป็นคนทำคลอดให้เจ้า ! ”
ขณะกล่าว หญิงชราก็มีน้ำตาคลอเบ้าเพราะคาดมิถึงว่าจะได้เจออันหลิงเกอที่นี่
“ท่านยาย พวกเราไปคุยกันด้านในเถิดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเห็นด้านข้างมีโรงน้ำชาอยู่จึงประคองอีกฝ่ายเข้าไปคุยที่นั่น
“นี่คือสามีของข้าชื่อมู่จวินฮานเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอได้พบคนที่รู้จักมารดาจึงมีความสุขมากเป็นพิเศษ ใต้หล้านี้ยังมีคนจดจำมารดาได้อยู่ ช่างดียิ่งนัก
“มู่…แต่ ตระกูลมู่มิใช่หรือ ? ”
หญิงชราชี้ไปที่ผนังด้านนอก
“ใช่เจ้าค่ะ แม้เป็นตระกูลมู่แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับสามีมิเลวเลยทีเดียว” อันหลิงเกอไม่ได้คิดมาก
“เด็กโง่ ! ” หญิงชราดึงตัวอันหลิงเกอไปอีกด้านหนึ่ง
“เจ้าอยู่กับคนตระกูลมู่ได้เยี่ยงไร หรือเจ้ามิรู้ว่า…”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ”