พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 590 ต้องการมีบุตร
ตอนที่ 590 ต้องการมีบุตร
อดีตใช้ทุกวิถีทางเพื่อสังหารมารดาของนาง ปัจจุบันยังยอมแลกชีวิตเพื่อจัดการนางอีก
มู่เหล่าหวางเฟยหนอมู่เหล่าหวางเฟย แม้ข้าอยากเห็นท่านตายมากเพียงใดก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก
อันหลิงเกอไม่เพียงแก้พิษทั้งสองชนิดแต่ยังสกัดจุดที่ทำให้มู่เหล่าหวางเฟยหมดสติไปเพื่อมิให้ตื่นขึ้นมาแล้วคิดวิธีจัดการนางอีก จากนั้นอันหลิงเกอก็แสร้งทำเป็นเหนื่อยล้า
“ท่านอ๋อง เรียกหมอหลวงมาตรวจชีพจรให้หมู่เฟยเถิด จะได้ดูว่ากำจัดพิษไปหมดแล้วหรือยังเจ้าค่ะ”
“พิษหรือ ? ” มู่จวินฮานขมวดคิ้ว
ฟางจูที่อยู่ด้านข้างก็สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ดูเหมือนอันหลิงเกอมองแผนการนี้ออกแล้ว ที่จัดการเยี่ยงนี้ก็คงแก้อุบายของมู่เหล่าหวางเฟยได้แล้วเป็นแน่
“หลังจากโดนฝ่าบาทวางยาพิษ หมู่เฟยก็ใช้พิษอีกชนิดกดพิษนั้นมาโดยตลอด และหากพิษเดิมกำเริบในเวลานี้ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานเข้าใจคำพูดของอันหลิงเกอ รู้แล้วว่าเหตุใดคราวนี้หมู่เฟยจงใจเรียกเกอเอ๋อมาตรวจอาการ ที่แท้ก็อยากโยนปัญหานี้ให้เกอเอ๋อนั่นเอง
“เด็กเด็ก ไปตามหมอหลวงมา” เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งต้องช่วยให้เกอเอ๋อบริสุทธิ์ที่สุด
“เรียนท่านอ๋องและพระชายา มู่เหล่าหวางเฟยมิเป็นอันใดแล้วขอรับ” ขอแค่มีประโยคนี้ นางก็ปลอดภัยแล้ว
อันหลิงเกอคลี่ยิ้ม ขณะมองหมอหลวงคนนั้นพยักหน้ายืนยัน
หลังจากนั้นมู่เหล่าหวางเฟยก็ฟื้นขึ้นมา แต่กำลังคิดจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นางกลับรู้สึกสบายไปทั้งกายราวกับไม่มีตรงไหนรู้สึกแย่
“หมู่เฟยรู้สึกเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ?”
“แม่ค่อนข้างอ่อนเพลีย”
มู่เหล่าหวางเฟยตอบออกไปพร้อมเห็นอันหลิงเกอยิ้มหน้าบานจึงรู้ทันทีว่านางเด็กคนนี้รอดตัวได้อีกแล้ว
“เจ้าค่ะ ในเมื่อหมู่เฟยอ่อนเพลียก็ควรพักผ่อน เยี่ยงนั้นเราสองคนขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานมองอันหลิงเกอและตระหนักได้ถึงความฉลาดของอีกฝ่ายที่ได้ช่วยชีวิตตนเองไว้อีกครั้ง แม้สถานการณ์เมื่อครู่นางจะอธิบายให้เขาฟังจนกระจ่างแล้วก็ตาม ทว่าเขาก็คงพูดอันใดมิได้อยู่ดี
ตอนนี้เขาได้สมรสกับชายาที่ชาญฉลาด แม้แต่การแย่งชิงในเรือนหลังก็ลดลงไปมาก
“เป็นเช่นไรบ้าง ท่านกำลังแอบชมข้าอยู่ในใจใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” ระหว่างทางกลับเรือน อันหลิงเกอก็เอ่ยถามด้วยท่าทียกยอตนเองซึ่งนานทีจะเห็นสักครั้ง
“แน่นอนอยู่แล้ว” มู่จวินฮานมิได้ปฏิเสธ เพียงแต่เขาก็ยังมีความสงสัยอย่างหนึ่ง
เพราะสิ่งใดกันแน่ เหตุใดหมู่เฟยต้องเล่นงานอันหลิงเกอครั้งแล้วครั้งเล่า ? หรือเพียงเพราะความหวงบุตรชาย ? หรือเพราะเขาโปรดปรานเกอเอ๋อคนเดียว ?
“เกอเอ๋อ” ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็หยุดเดิน
“เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอหันมองเขาพลางคาดมิถึงว่ามู่จวินฮานจะเรียกตน
“หมู่เฟยกับเจ้า ตอนนั้นเกิดอันใดขึ้นหรือ ? ” อันหลิงเกอเข้าใจว่ามู่จวินฮานกำลังถามถึงเรื่องที่นางออกจากจวนในครานั้น
สำหรับเรื่องที่มู่เหล่าหวางเฟยทำร้ายนางยังมีมากกว่านั้น
อันหลิงเกอยังมิอยากพูด หากมีวันใดมู่จวินฮานรู้ความจริงเข้าก็ช่างเถิด แต่ถ้าจะให้นางบอกเขาด้วยตนเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดจากตรงไหนดี ?
ให้ทำตัวผ่อนคลายก็คงทำมิได้ หรือจะให้ทำตัวเคียดแค้นก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน
“เพราะหมู่เฟยต้องการรักษาความสามัคคีของเรือนหลัง แต่ตอนนี้ท่านโปรดปรานข้าคนเดียวก็ต้องเป็นเรื่องไม่ดีอยู่แล้ว แม้ข้าจะคิดว่าดีมากเลยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอหาข้ออ้างไปเรื่อยและเป็นธรรมดาที่มู่จวินฮานจะรู้ว่านางโกหกเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว
ทว่าเขาก็ไม่ได้ถามอีกเพราะในเมื่อนางมิอยากพูดเขาก็จะปล่อยมันไป
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปข้าต้องระวังหน่อยแล้ว”
มู่จวินฮานเอ่ยออกมาพร้อมคลี่ยิ้มแล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะของอันหลิงเกอ วันนี้ถ้ามิได้ความฉลาดของนางช่วยไว้ ตัวเขาคงต้องลำบากเพราะเรื่องนี้แน่นอน
มู่จวินฮานรู้ว่าอันหลิงเกอสามารถปกป้องตัวเองมาได้ตลอด แต่ยิ่งนางเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ
ชายาคนนี้มักทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีด้วยตัวคนเดียว ปกป้องตัวเองได้ดีและทำให้เขายิ่งดูไร้ตัวตนเมื่ออยู่ข้างนาง แม้ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้มู่จวินฮานวางใจแต่ก็ทำให้มิสบายใจด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุดเขาก็กลัวว่าอันหลิงเกอจะไม่ต้องการสามีคนนี้และกลัวว่ามีสักวันที่อันหลิงเกอไปจากเขา
อันหลิงเกอเดินด้วยฝีเท้าว่องไวราวกับวันนี้มิได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเลย ส่วนมู่จวินฮานก็เดินอยู่ข้างกายพร้อมจูงมือนางเพื่อพากันกลับมาที่เรือนฝูหลิง
“เหล่าหวางเฟย ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อเจ้าคะ ? ” ฟางจูรู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยกำลังกังวลจึงเป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกมิสบายใจไปด้วย
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวหลานสาวของข้าก็มาถึงแล้ว ตอนนี้ใช้ทัวป๋าถิงฟางทำให้อันหลิงเกอโมโหไปก่อน” ดูเหมือนตอนนี้มู่เหล่าหวางเฟยกำลังหงุดหงิด แม้แต่ฟางจูก็ยังมองออก
“เจ้าค่ะ”
แต่พอนึกถึงว่าต้องกลับไปอยู่ข้างกายทัวป๋าถิงฟางแล้ว ฟางจูก็รู้สึกไม่อยากไปจากเหล่าหวางเฟยขึ้นมาทันที
“เจ้าคอยติดตามทัวป๋าถิงฟางให้ดี แล้วต่อไปข้าจักตกรางวัลให้อย่างงาม”
มู่เหล่าหวางเฟยแสร้งทำเป็นพูดดี แต่ฟางจูก็ติดกับโดยมิกล่าวอันใดอีก
“เจ้าค่ะ”
ฟางจูไม่มีครอบครัวมาตั้งแต่เด็กและมู่เหล่าหวางเฟยก็เป็นคนในครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของนาง อีกทั้งมู่เหล่าหวางเฟยยังให้ฐานะมีหน้ามีตาและที่พักอาศัยแก่นางด้วย แน่นอนว่าทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของอีกฝ่ายด้วยใจจริง
เมื่อกลับถึงเรือนของทัวป๋าถิงฟางแล้ว ฟางจูก็เหมือนเป็นผู้ช่วยชีวิตทัวป๋าถิงฟางขึ้นมาอีกครั้ง เพราะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมั่นใจว่ามู่เหล่าหวางเฟยยังมิทอดทิ้งกัน
“ฟางจูกู่เหนียง มู่เหล่าหวางเฟยกล่าวอันใดบ้างหรือไม่ ? ”
เมื่อได้ยินทัวป๋าถิงฟางเอ่ยถาม ฟางจูก็กลอกตาใส่จนทำให้นางและสาวใช้ข้างกายรู้สึกมิชอบใจยิ่งนัก
สาวใช้ของทัวป๋าถิงฟางก็กำลังจะกล่าวอันใดออกมา แต่ถูกทัวป๋าถิงฟางห้ามไว้เสียก่อน เพราะตอนนี้พวกนางจะล่วงเกินฟางจูมิได้เด็ดขาด
“มู่เหล่าหวางเฟยให้ข้านำสิ่งนี้มามอบแก่ท่าน”
ยาหนึ่งห่อ
“นี่คือ…”
“ท่านน่าจะเข้าใจว่าต้องมีทายาทเท่านั้น”
หืม ? ทัวป๋าถิงฟางกะพริบตาบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว
มิว่าในวังหลวงหรือในจวนอ๋อง ยาชนิดนี้ล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่มู่เหล่าหวางเฟยมีไว้ในครอบครองมันก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด
ดูเหมือนคราวนี้มู่เหล่าหวางเฟยตัดสินใจช่วยนางอย่างแท้จริง
ทำให้ตอนนี้ใจของทัวป๋าถิงฟางเริ่มผ่อนคลาย เป็นแบบนี้ก็ดี
“คืนนี้ท่านอ๋องจะมาหาท่าน เมื่อถึงเวลานั้นท่านแค่คิดหาวิธีและนี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว หากทำมิได้ข้าจะออกไปจากเรือนท่านทันที เข้าใจหรือไม่ ? ”
คำพูดนี้ฟางจูคิดเองเพราะมิอยากมาเสียเวลากับทัวป๋าถิงฟาง เนื่องจากไม่ว่าเยี่ยงไรหลานสาวของมู่เหล่าหวางเฟยก็จะมาแล้ว หมายความว่าทัวป๋าถิงฟางไร้ประโยชน์อีกต่อไป
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
ทัวป๋าถิงฟางก็รู้ดีว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่มู่เหล่าหวางเฟยจะช่วยตน ดังนั้นนางต้องคว้าโอกาสไว้ให้มั่น
“ท่านเข้าใจก็ดีแล้ว”
ฟางจูไม่ชอบทัวป๋าถิงฟางมาโดยตลอด โดยเฉพาะสตรีที่ต้องการต่อสู้เพื่อความโปรดปรานเยี่ยงนี้ นางเกลียดนัก
“เช่นนั้นข้ากลับไปรับใช้มู่เหล่าหวางเฟยก่อน”
ขณะเดียวกันในเมืองหลวงก็เกิดเรื่องที่ทำให้มู่จวินฮานปวดศีรษะนั่นก็คือมีโจรเด็ดบุปผาฉุดคร่าและข่มขืนสตรีออกอาละวาด
การปรากฏตัวของโจรเด็ดบุปผาทำให้มู่จวินฮานผู้มีหน้าที่ดูแลเมืองหลวงต้องงานยุ่งทันที
หลังฟังรายงานเรื่องนี้แล้ว มู่จวินฮานรู้สึกโมโหมาก แต่เขาก็มิได้ใจร้อนจนทำอันใดโดยไร้ระเบียบแบบแผน
“เรื่องในวันนี้พวกเจ้าห้ามพูดออกไปเด็ดขาด หากผู้ใดกล่าวออกไปก็อย่าคิดมีชีวิตอยู่ต่อ!” เนื่องจากในวังหลวงก็เกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น มู่จวินฮานจึงมิอยากทำให้จิตใจของชาวบ้านสั่นกลัวอีก
น้ำเสียงของมู่จวินฮานมิได้โกรธเคืองแต่น่าเกรงขาม ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกหวาดกลัวและขานรับทันที นอกจากนี้ยังมิกล้าให้เกิดความผิดพลาดขึ้นด้วย