พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 594 ก้อนเนื้อในอก
ตอนที่ 594 ก้อนเนื้อในอก
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
อันหลิงเกอรู้วิชาแพทย์จึงมิอาจวางยาได้โดยง่าย ดังนั้นมู่เหล่าหวางเฟยจึงต้องเสียแรงไปมากพอสมควร
นางจักปล่อยให้บุตรีของฮูหยินใหญ่อันกำเนิดทายาทตัวน้อยแก่ตระกูลมู่ได้เยี่ยงไร ?
ส่วนเด็กสองคนนั้นก็ช่างเถิด แค่ต่อไปจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก !
“หมู่เฟยวางกลยุทธ์ดียิ่งนัก ถิงฟางจะพยายามอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ”
ขณะที่พูด ใบหน้าของทัวป๋าถิงฟางก็เป็นสีแดงก่ำ ความเป็นจริงนางย่อมหวังว่าจะตั้งครรภ์อยู่แล้วเพราะท้ายที่สุดนี่ก็คือทายาทของท่านอ๋อง
“ขอบพระคุณหมู่เฟยมากเจ้าค่ะ”
ทัวป๋าถิงฟางยังรู้สึกขอบคุณมู่เหล่าหวางเฟยยิ่งนัก แม้อีกฝ่ายโหดเหี้ยมแต่อย่างน้อยก็ช่วยนางในเรื่องนี้
“ท่านอย่าได้คิดว่าตนเป็นทองคำ เพราะเหล่าหวางเฟยแค่มิอยากให้พระชายาได้จวนอ๋องไปครองก็เท่านั้น” ฟางจูพูดอยู่ด้านข้าง
นางมิอยากให้ทัวป๋าถิงฟางหลงคิดว่าตนมีประโยชน์มากเกินไป
นางหวังเพียงว่าเหล่าหวางเฟยจะมีความสุขก็เท่านั้น
“อืม ข้าเข้าใจ”
แม้ตอบอย่างว่าง่าย แต่ในเวลาเดียวกันทัวป๋าถิงฟางก็ก่นด่าฟางจูในใจมิรู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพราะฟางจูชอบทำตัวเย่อหยิ่ง ต้องมีสักวันที่ตนจะได้เห็นวันตายของอีกฝ่าย
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”
มู่เหล่าหวางเฟยก็มิอยากเห็นหน้าทัวป๋าถิงฟางไปตลอด เนื่องจากเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอันใดจำเป็นต้องสนทนาด้วยมาก
ในสายตาของมู่เหล่าหวางเฟยคือสตรีที่คู่ควรให้มองมีแค่อันหลิงเกอเท่านั้น
และก็มีเพียงอันหลิงเกอถึงจะถูกนางมองเป็นคู่ต่อสู้
“เจ้าค่ะ”
เวลานี้ทัวป๋าถิงฟางกำลังรู้สึกอับอายเพราะรู้สึกเหมือนตนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่มู่เหล่าหวางเฟยมิชายตามอง
แต่ในเวลาเดียวกันนางก็เข้าใจว่ามีเพียงความขมขื่นถึงจะได้มีโอกาสพลิกชีวิต
เมื่อถึงเวลานั้น บางทีแม้แต่ตำแหน่งพระชายาก็อาจจะเป็นของนาง
พึ่งพาวงศ์ตระกูลมิได้ก็พึ่งบุตร หลังออกจากเรือนมู่เหล่าหวางเฟยแล้ว ทัวป๋าถิงฟางก็กลับเรือนทันที
เวลาต่อมา หลังทอดสายตาไปยังเตียงหลังเดิม นางก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายมู่จวินฮานก็กลายเป็นของนางอย่างแท้จริง
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นางเฝ้านึกถึงฉากเยี่ยงนี้นับครั้งมิถ้วน ในที่สุดความฝันของนางก็กลายเป็นจริง
“นายหญิง ดื่มน้ำแกงเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
สาวใช้เตรียมต้มน้ำแกงไว้เรียบร้อยแล้ว นี่คืออาหารบำรุงครรภ์ แม้ตอนนี้จะเร็วไปหน่อยแต่ก็มิเสียหาย
นางเองก็หวังว่าทัวป๋าถิงฟางจักสามารถได้รับความโปรดปรานในเร็ววัน เมื่อเป็นเยี่ยงนี้พวกนางก็จะสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม
“อืม”
ทัวป๋าถิงฟางรู้สึกพอใจกับสาวใช้คนนี้มาก กอปรกับการสนทนาเมื่อครั้งก่อนก็ทำให้นางยิ่งรู้สึกเชื่อใจ
“นายหญิง วันนี้มู่เหล่าหวางเฟยกล่าวอันใดกับท่านหรือเจ้าคะ ? ”
มิเอ่ยถึงมู่เหล่าหวางเฟยยังถือว่าดีอยู่ ทว่าพอเอ่ยถึงแล้วในอกของทัวป๋าถิงฟางก็เต็มไปด้วยโทสะ
ทว่าก็ดีเหมือนกันเพราะนางเองก็จะได้ระบายให้สาวใช้ฟัง
ในจวนแห่งนี้ผู้ที่ทำให้นางระบายความในใจออกมาได้ก็มีเพียงสาวใช้เท่านั้น
“ต้องมีสักวันที่นางจิ้งจอกเฒ่ามิได้ตายดี”
เดิมทีทัวป๋าถิงฟางเป็นคนใจดำอำมหิต เพียงแต่สำหรับมู่เหล่าหวางเฟยนั้นแม้แต่อันหลิงเกอยังทำอันใดมิได้ นับประสาอันใดกับนาง
มู่เหล่าหวางเฟยอยู่ในสังคมวังหลวงมานาน ดังนั้นย่อมร้ายกาจกว่าพวกนางอยู่แล้ว
เหมือนดั่งขิงที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด
“ท่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าค่ะ ท่านลองคิดว่าการที่มู่เหล่าหวางเฟยมีวันนี้ได้ก็เพราะบุตร ท่านลองนึกถึงตอนที่นางอยู่ในจวนเวลานั้นสิเจ้าคะ บ่าวได้ยินว่านางเองก็โดนอดีตมู่เหล่าหวางเฟยรังแกมิน้อยเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ช่วยพูดให้ทัวป๋าถิงฟางใจเย็นขึ้น
“จริงสิ แม้มิชอบเหล่าหวางเฟย แต่หากคิดให้ดีแล้วยาที่มู่เหล่าหวางเฟยให้มาก็ช่วยเหลือข้าได้มิน้อย”
“ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ เพราะในอดีตมู่เหล่าหวางเฟยก็เคยเป็นคนของเผ่าหมอเทวดาเจ้าค่ะ”
หืม ?
เหมือนทัวป๋าถิงฟางนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ มารดาของอันหลิงเกอ…
หรือว่ารอยร้าวระหว่างทั้งสองคนจักมีสาเหตุมาจากบางอย่าง ? ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นก็เข้าใจได้
มู่เหล่าหวางเฟยทำตัว*ใกล้เกลือกินด่าง อันหลิงเกอรักใคร่กับท่านอ๋องขนาดนั้น นางดีต่ออันหลิงเกอหน่อยก็ได้แล้วมิใช่หรือ
ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง
บางทีมารดาของอันหลิงเกออาจเกี่ยวข้องกับมู่เหล่าหวางเฟยและการตายของนางก็อาจเป็นสาเหตุของเรื่องทุกอย่างในปัจจุบันนี้
ได้ยินว่าเวลานั้นอ๋องมู่ผู้เฒ่ากับท่านโหวอันแย่งชิงฮูหยินใหญ่อัน หรือว่า…
ฮึ สตรีมักริษยากันเอง ดูเหมือนมู่เหล่าหวางเฟยก็มิยกเว้น
“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ ? น้ำแกงจะเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม”
หลังตริตรองได้แล้วทัวป๋าถิงฟางก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
ในเมื่อจับจุดได้แล้ว เช่นนั้น…เฮ้อ ช่างเถิด รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วกัน
เมื่อตอนนี้นางและท่านอ๋องมีโอกาสให้กำเนิดบุตร ก็รอหน่อยเถิด
ทัวป๋าถิงฟางเชื่อมั่นในตนเอง นางทำไปมากขนาดนั้นจึงมิเชื่อว่าจะตั้งครรภ์มิได้ !
นางจ่ายไปมากเพียงนั้นก็ต้องได้อันใดกลับมาสักอย่าง
อีกด้านหนึ่ง อันหลิงเกอยังคงเผชิญหน้าอยู่กับมู่จวินฮาน
“จวินฮาน” อันหลิงเกอมองเขาด้วยแววตาจริงจัง
“หืม” มู่จวินฮานยังรู้สึกผิดเหมือนเดิม
“ท่านรู้หรือไม่ว่าทัวป๋าถิงฟางได้รับคำสั่งจากผู้ใดจึงใจกล้าเช่นนี้เจ้าคะ ? ”
ที่จริงมู่จวินฮานก็คิดได้แล้ว เพียงแต่มิอยากเพิ่มความเข้าใจผิดระหว่างหมู่เฟยกับอันหลิงเกอเท่านั้น เขาจึงมิอยากพูดออกมาให้กระจ่าง
“เกอเอ๋อ คือหมู่เฟย…”
“มู่จวินฮาน ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้ากับหมู่เฟยจึงมิอาจอยู่ร่วมกันได้ ? ”
ปัญหานี้คือปมระหว่างพวกนางมานาน ในที่สุดวันนี้อันหลิงเกอก็จะพูดออกมาเสียที
“เกอเอ๋อ…”
ขณะมองท่าทีของอันหลิงเกอ มู่จวินฮานก็ยังรู้สึกปวดใจ
นางมักทำตัวแบบนี้เสมอ มิว่าเรื่องใดก็แบกเองหมด
“เพราะหมู่เฟยของท่านมิอาจยอมรับในตัวข้าได้ ยังมิกล่าวถึงความเข้าใจผิดระหว่างพวกเรา หากนางคิดยอมรับข้าก็ไม่มีทางหนุนหลังทัวป๋าถิงฟางให้มาขัดแย้งกับข้าเช่นนี้ นางก็แค่อยากให้ข้ารู้สึกท้อแล้วยอมถอยออกไป แต่ข้าอันหลิงเกอไม่มีทางถอยก่อนเด็ดขาด”
คำพูดของอันหลิงเกอทำให้มู่จวินฮานตกตะลึง เขามิเคยคิดมาก่อนว่าในใจของนางจะคิดเยี่ยงนี้ มู่จวินฮานจึงรู้สึกผิดต่อนางขึ้นมาทันที
จวนอ๋องแห่งนี้ติดค้างนางมากเกินไปและสุดท้ายก็ยังสร้างเรื่องไร้ความยุติธรรมให้นางต้องแบกรับอีก
“หากท่านมีบุตรกับสตรีอื่น ท่านจักทำเยี่ยงไร ? ”
“ไม่มี…” มู่จวินฮานกำลังจะปฏิเสธแต่เขากลับพบว่าได้ทำพลาดไปแล้ว
“เมื่อคืนคือสิ่งใด ? ”
ใช่สิ ถ้าทั้งสองมีบุตรด้วยกันแล้วควรทำเช่นไร
เนื่องจากการมีโอกาสได้เปลี่ยนตำแหน่งในเรือนหลังแห่งนี้ก็คือการตั้งครรภ์
อันหลิงเกอต้องปกป้องผลประโยชน์ของบุตร
“เกอเอ๋อ พวกเราก็มีบุตรด้วยกันมิใช่หรือ ? ”
พอกล่าวถึงเรื่องนี้ อันหลิงเกอก็ขมวดคิ้วทันที
“มู่จวินฮาน หากบุตรของพวกเราอยู่ที่เรือนหมู่เฟยไปตลอด…”
“อย่าคิดมากเลย เช่นนั้นข้ามีกับเจ้าใหม่อีกสองสามคนก็ได้”
ขณะกล่าว ดวงตาของมู่จวินฮานก็ดูขี้เล่นทันที
“อย่ามากวนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอทนเขามิไหวขึ้นทุกวัน เขาชอบทำตัวแบบนี้ตลอด มิพูดมิจาอันใดก็…
ไม่กี่วันต่อมา
มู่เหล่าหวางเฟยกำลังเตรียมตัวต้อนรับหลานสาวของนาง สตรีคนนั้นพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมาถึงแล้วก็ต้องยอมรับคำแนะนำของนาง
เนื่องจากเผ่าปิงชวนเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ดังนั้นการได้มายังเมืองหลวงและสามารถอยู่ในจวนอ๋องมู่ได้ นางก็เชื่อว่าหลานสาวไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน
…
*ใกล้เกลือกินด่าง หมายถึง ไม่รู้ค่าหรือมองข้ามของดีใกล้ตัวแล้วไปหาสิ่งไกลตัวที่ด้อยค่ากว่า