พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 611 เกรงกลัว
ตอนที่ 611 เกรงกลัว
หลังจบเรื่องแล้วผิงฟางหนิงก็กลับไปที่เรือนอย่างพอใจราวกับผู้ชนะ
แต่หลังจากที่นางกลับไปแล้ว อันหลิงเกอก็ให้คนไปตามหมอหลวงมา
มู่เหล่าหวางเฟยทราบข่าวก็รีบมาดูอันหลิงเกอทันที เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นอีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง
แม้มู่เหล่าหวางเฟยมิได้เป็นห่วงอันหลิงเกอจริง ทว่าก็ต้องแสร้งทำเหมือนยังห่วงใย
แต่เมื่อผิงฟางหนิงรู้ข่าวก็โมโหและโกรธแค้นมาก นางมั่นใจว่านี่ต้องเป็นแผนที่อันหลิงเกอวางไว้แน่นอน โดนนางยั่วโมโหเพียงนี้ก็ล้มป่วยแล้วหรือ ?
ต่อให้คนอื่นเชื่อหรือมู่เหล่าหวางเฟยเชื่อ แต่คนเยี่ยงผิงฟางหนิงไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ก็แค่แผนแสร้งป่วยเท่านั้นเอง !
วันนี้ผิงฟางหนิงสั่งให้คนต้มซุปเม็ดบัวแล้วให้สาวใช้ยกตามไปที่เรือนฝูหลิง
ตอนนั้นมู่เหล่าหวางเฟยกำลังทานอาหารเป็นเพื่อนพระชายาอยู่พอดี พวกนางนั่งฝั่งตรงข้ามกัน คุยไปพลางหัวเราะไปด้วย พอดีกับที่ผิงฟางหนิงเดินเข้ามาเห็นภาพแห่งความสุขนั้น ภายในใจของนางจึงเกิดความเคียดแค้น อีกประเดี๋ยวข้าจักแย่งความโปรดปรานทั้งหมดมาจากเจ้าเอง ดูสิว่าเจ้ายังยิ้มออกหรือไม่
ก่อนที่ใบหน้าของนางจักเผยรอยยิ้มสดใสและเอ่ยอย่างสนิทสนม “คารวะมู่เหล่าหวางเฟยและพระชายาเจ้าค่ะ ! ”
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้อันหลิงเกอและมู่เหล่าหวางเฟยตกตะลึงไปชั่วอึดใจ
เมื่อหันไปมองก็เห็นผิงฟางหนิงยืนทำหน้าตาสดใสร่าเริงอยู่ที่ประตู แต่อันหลิงเกอรู้สึกสึกหดหู่ทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่มาคือผู้ไม่ประสงค์ดี
ทว่าใบหน้ายังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับไว้เช่นเคย
แต่ผิงฟางหนิงหาได้สนใจไม่ นางเดินเข้ามาในห้องพร้อมส่งยิ้มอ่อนหวานให้มู่เหล่าหวางเฟย
อันหลิงเกอมิได้ใส่ใจเรื่องที่ผิงฟางหนิงและมู่เหล่าหวางเฟยสมคบคิดกัน อย่างไรก็เป็นแค่การแสดงเท่านั้น นางต้องสนใจเพื่อเหตุใด
ตอนนี้แววตาของอันหลิงเกอก็ฉายแววร้ายกาจขณะมองผิงฟางหนิง และเป็นมู่เหล่าหวางเฟยที่เรียกให้อีกฝ่ายลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิด เจ้ามาได้อย่างไร ? ”
จู่ ๆ มู่เหล่าหวางเฟยก็นึกขึ้นได้ว่าเหมือนเป็นเพราะผิงฟางหนิงที่ทำให้พระชายาล้มป่วย แต่ตอนนี้มิอาจลงโทษผิงฟางหนิงได้ เพียงกังวลว่าจักก่อปัญหาขึ้นมาอีกจึงลอบตักเตือนทางสายตาเท่านั้น
ผิงฟางหนิงเข้าใจความหมายดีจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เชี่ยเซินทราบว่าพระชายาล้มป่วยจึงต้มซุปเม็ดบัวด้วยตนเองเพื่อนำมาให้ หวังว่าพระชายาจักหายป่วยโดยเร็วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก” อันหลิงเกอรู้อยู่แล้วว่าซุปเม็ดบัวนี้ผิงฟางหนิงมิได้ทำเอง แต่ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนทำ นางก็ไม่คิดจะทานทั้งนั้น
นางจึงโบกมือให้หมิงซินรับถ้วยซุปเม็ดบัวไว้
มู่เหล่าหวางเฟยเห็นดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจที่สองคนนี้กลับมาสงบศึกกันได้
และนางก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องที่ผิงฟางหนิงยั่วโมโหจนอันหลิงเกอล้มป่วยอีก อย่างไรเสียตอนนี้นางก็รู้สึกพอใจมิน้อยที่มันดำเนินไปเช่นนี้
“พี่สาว อาการป่วยของท่านจักดีขึ้นเมื่อใดหรือเจ้าคะ ? ” จู่ ๆ ผิงฟางหนิงก็เอ่ยถามขึ้นมา
อันหลิงเกอมิได้กล่าวสิ่งใด เมื่อกล้าถามเช่นนี้ออกมาก็คงมิได้เห็นตนอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นางจึงยิ้มอย่างห่างเหินเพื่อเป็นการดูแคลนคำถามที่เหมือนเป็นห่วงเป็นใยของผิงฟางหนิง
มู่เหล่าหวางเฟยกลับรู้สึกว่าคำถามของผิงฟางหนิงช่างน่าขัน “ฟังเจ้าพูดเข้าสิ เมื่อไรจักหายป่วยใช่เรื่องที่กำหนดเวลาได้ที่ไหนกันเล่า ! ”
ผิงฟางหนิงจึงตอบอย่างแง่งอนราวกับเด็ก “ลูกอยากให้พระชายาหายเร็ว ๆ เช่นนั้นท่านอ๋องจักได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อนลูกได้เจ้าค่ะ ท่านอ๋องมิอยู่ ลูกคิดถึงท่านอ๋องยิ่งนัก กลางคืนก็นอนมิค่อยหลับ ข้าวปลาก็ทานมิค่อยลง ใช่หรือไม่เจ้าคะหมู่เฟย ? ” นางเอ่ยออกมาพลางมองไปทางมู่เหล่าหวางเฟยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ! ” มู่เหล่าหวางเฟยหัวเราะออกมาอย่างพอใจกับการหยอกล้อของผิงฟางหนิง นางมักกล่าวเรื่องที่ทำให้มู่เหล่าหวางเฟยมีความสุขได้เสมอ คำพูดของนางเผยถึงความรู้สึกรักใคร่มู่จวินฮานเป็นอย่างมากและยังสะท้อนถึงอำนาจของมู่เหล่าหวางเฟยออกมาอีกด้วย
ผิงฟางหนิงหยอกล้อมู่เหล่าหวางเฟยไปพลาง อีกด้านก็แอบลอบยิ้มให้พระชายาเป็นการยั่วยุ
อันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่น นางพยายามกลับมาคืนดีกับมู่เหล่าหวางเฟย แต่ผิงฟางหนิงผู้นี้ก็มักมาทำให้เสียเรื่องอยู่เสมอ
อันหลิงเกอมองตามเงาร่างของพวกนางที่จากไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย มองมิออกว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
เป็นหมิงซินที่เอ่ยออกมาด้วยความโมโห “พระชายา นางทำเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปพวกเราจักทำเช่นไรดีเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอยกมือขึ้นมาห้ามทันที ก่อนจะกล่าวออกมาเบา ๆ ว่า “มิเป็นไร ข้าจัดการเอง” กล่าวจบนางก็หมุนตัวกลับเข้าห้อง
เช้าวันหนึ่ง ขณะประชุมในท้องพระโรง ฮ่องเต้ที่ประทับบนบัลลังก์มังกรก็ตรัสถามออกมาว่า “เรื่องน้ำท่วมทางตอนใต้ ทุกท่านมีความเห็นเช่นไร ? ”
เหล่าขุนนางแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันไป แต่มิมีผู้ใดมีข้อเสนอที่ทำให้ฝ่าบาททรงพอพระทัยได้แม้แต่คนเดียว ก่อนที่สายพระเนตรจักเบนไปที่มู่จวินฮานอีกครา
และก็ไม่ผิดหวังเมื่อมู่จวินฮานค่อย ๆ ก้าวมาด้านหน้าแล้วคำนับ จากนั้นก็ทูลเสนอว่า “กระหม่อมคิดว่าเรื่องอุทกภัยทางตอนใต้ เราควรส่งกำลังคนไปเพิ่มเพื่อสร้างเขื่อนที่ต้นน้ำ เช่นนี้จึงสามารถป้องกันการเกิดน้ำท่วมซ้ำได้ นอกจากนั้น…”
คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานยังมิทันกล่าวจบก็ถูกคนด้านข้างพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าวิธีนี้ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ! ” คนที่พูดขัดมู่จวินฮานก็คือลูกน้องขององค์ชายเจ็ด เขาเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจว่า “การสร้างเขื่อนมิเพียงสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน ยังใช้เวลานาน มิว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่วิธีการที่ดีพ่ะย่ะค่ะ ! ”
คนพวกนี้เชื่อมั่นในตัวองค์ชายเจ็ดมาก
เบื้องหลังขององค์ชายเจ็ดมิธรรมดา อีกทั้งยังแอบปูทางมาหลายปีและที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการเตือนมู่จวินฮาน
ก่อนหน้านี้ที่เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้มู่เหล่าหวางเฟยและอันหลิงเกอโกรธแค้นกันก็เพื่อปูทางให้ตนเองในขณะนี้
เมื่อขุนนางฝั่งองค์ชายเจ็ดมิเห็นด้วย สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ปรากฏความลังเลขึ้นมิน้อย
มู่จวินฮานจึงย้อนถามขุนนางท่านนั้นว่า “เช่นนั้น ท่านคิดว่ามีวิธีใดดีกว่าวิธีนี้หรือ ? ”
องค์ชายเจ็ดกล้ามางัดข้อกับเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ เขาเองก็อยากรู้นักว่าหากปัญหาเดียวกันนี้อยู่ตรงหน้าองค์ชายเจ็ดแล้วพวกนี้จักทำอย่างไร
ความสามารถแค่นั้น คิดว่าปิดบังผู้อื่นได้หรือ ?
เป็นไปตามคาด เมื่อขุนนางผู้นั้นโดนมู่จวินฮานถามกลับก็มิสามารถหาวิธีที่ดีกว่าได้จริง
เขาทำได้เพียงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางองค์ชายเจ็ด แต่จ้าวหลานหยู่ก็ไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้เช่นกันจึงทำให้ท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ
ในตอนนั้นเองฮ่องเต้ที่มิอาจทนต่อไปได้จึงหันไปตรัสถามขุนนางฝ่ายองค์ชายเจ็ดด้วยความสงสัยว่า “เจ้าหาข้อเสนอที่ดีกว่าอ๋องมู่มิได้แล้วหรือ ? ”
สุรเสียงที่แฝงไว้ด้วยอำนาจทำให้คนของจ้าวหลานหยู่ต่างก็เหงื่อตกไปตาม ๆ กัน
เหล่าลูกน้องพากันยืนตัวสั่นโดยมิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา และก็เป็นจ้าวหลานหยู่เสียเองที่ทนแรงกดดันมิไหวจึงทูลอย่างนอบน้อม “ทูลฟู่หวง ตอนนี้พวกกระหม่อมกำลังพยายามคิดหาวิธีที่ได้ผลลัพธ์ดี ๆ ด้วยกันทั้งสองฝ่ายอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“หืม เช่นนั้นหรือ ? ” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างมิอยากเชื่อเอาเสียเลย