พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 615 ให้กำเนิด
ตอนที่ 615 ให้กำเนิด
ผลงานในครั้งนี้ของเฉินเจียอวี๋ยิ่งใหญ่นัก ฮ่องเต้ทรงคิดว่าแค่การประทานรางวัลให้ยังมิพอจึงคิดเลื่อนขั้นให้แก่เฉินเจียอวี๋อีกด้วย
ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงอยากแต่งตั้งนางมาหลายครั้งแล้ว ทว่าก็โดนเรื่องอื่นมาขัดเอาไว้ตลอด
ทั้งเรื่องโรคระบาดครั้งก่อน เรื่องของแคว้นชิงเยว่รวมถึงโดนมู่จวินฮานคัดค้านด้วย
ข่าวนี้ไปเข้าหูของหลี่กุ้ยเฟยเสียก่อน นางจึงทั้งโกรธทั้งร้อนใจ คาดมิถึงว่าแค่เฉินเจียอวี๋คลอดบุตรในครั้งนี้ก็ทำให้ฝ่าบาทคิดเลื่อนขั้นให้เลยทีเดียว !
เมื่อก่อนก็เป็นแค่พี่เลี้ยงขององค์ชายเท่านั้น บัดนี้กลับหยิ่งผยองยิ่งนัก !
หลี่กุ้ยเฟยมิยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่แล้ว นางจึงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเอง แต่คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจักทรงเขียนราชโองการเสร็จเร็วเพียงนี้ ขาดแค่ประทับตราลงไปเท่านั้น
นางจึงรีบเกลี้ยกล่อมทันที “ฝ่าบาท ช้าก่อนเพคะ ! ”
“หลี่กุ้ยเฟยมีเรื่องอันใดหรือ ? ” ฮ่องเต้มิเข้าพระทัยว่าเหตุใดหลี่กุ้ยเฟยจึงมาพบพระองค์ในเวลาเช่นนี้
หลี่กุ้ยเฟยรีบเก็บสีหน้าทันที ก่อนจะทูลอย่างหนักแน่นว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาทจักเลื่อนขั้นให้เจียอวี๋ หม่อมฉันอยากให้พระองค์ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนเพราะการที่นางให้กำเนิดนั้นเป็นเรื่องดีก็จริง แต่การเลื่อนตำแหน่งควรมีการปรึกษากันให้ดีเสียก่อน หม่อมฉันคิดว่ารอนางฟื้นตัวแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ใหม่อีกทีน่าจักดีกว่าเพคะ”
“อืม…” ท้ายที่สุดฮ่องเต้ก็เห็นด้วยกับวิธีของหลี่กุ้ยเฟย เรื่องนี้ควรคิดให้ดีก่อนจริง ๆ
เมื่อฮ่องเต้ทรงยินดีเรื่องโอรสและธิดา ทั้งราชสำนักต่างก็ยินดีไปด้วย
ดังนั้นยามที่พระองค์ออกว่าราชการ พระพักตร์จึงเต็มไปด้วยความสุขและยังให้ความสำคัญต่อมู่จวินฮานดังเดิม
เพราะเรื่องที่เฉินเจียอวี๋ให้กำเนิดโอรสและธิดา รวมถึงเรื่องที่หลี่กุ้ยเฟยสูญเสียความโปรดปรานทำให้จ้าวหลานหยู่ถูกมู่จวินฮานกดไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้บอกว่าเฉินเจียอวี๋เป็นพี่เลี้ยงของจ้าวหลานหยู่ แต่ตอนนี้หลี่กุ้ยเฟยกลับมาแล้ว การที่พวกนางต่อสู้แย่งชิงกันในวังหลัง คนลำบากใจที่สุดก็หนีมิพ้นตัวของจ้าวหลานหยู่เอง
“สำหรับเรื่องนี้ ทุกท่านมีความเห็นอื่นหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ตรัสถามถึงสถานการณ์ของเมืองหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เหล่าขุนนางเสนอวิธีแก้ปัญหา
เป็นมู่จวินฮานที่กราบทูลอย่างสงบนิ่ง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าฮ่องเต้จักทรงรับฟังความเห็นของมู่จวินฮานเช่นทุกครั้ง ฮ่องเต้กลับกวาดสายพระเนตรผ่านเขาครู่หนึ่ง ก่อนหันไปทางจ้าวหลานหยู่แทน “จ้าวหลานหยู่ เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร ? ”
“พ่ะย่ะค่ะ ! ” จ้าวหลานหยู่รีบเดินออกมาด้วยความดีใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้ฝ่าบาทเริ่มมิสนใจมู่จวินฮานแล้ว
เหล่าขุนนางก็รู้สึกได้เช่นกัน เพียงแต่เรื่องของราชวงศ์ไม่มีผู้ใดกล้าคาดเดาเอาเอง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงสงวนท่าทีไว้เท่านั้น
จ้าวหลานหยู่เมื่อเห็นว่ามู่จวินฮานถูกเมินเฉยก็ดีใจเป็นอย่างมาก การแสดงความคิดเห็นในราชสำนักก็ทำได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงแบ่งความสนพระทัยส่วนหนึ่งไปไว้ที่จ้าวหลานหยู่
มู่จวินฮานหาได้ใส่ใจคำนินทาเหล่านั้นไม่ ในสายตาของเขานั่นเป็นเพียงการแสดงออกของพวกคนชั้นต่ำก็เท่านั้น มิควรค่าแก่การใส่ใจแม้แต่น้อย
ดังนั้นแม้รู้สึกว่าฝ่าบาทเมินเฉยตนมากขึ้น เขาก็มิได้สนใจและยังทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ตั้งใจทำทุกงานให้ออกมาอย่างดี
ฝ่าบาทต้องการแต่งตั้งเฉินเจียอวี๋ เมื่อมู่จวินฮานมิเห็นด้วยก็ทรงมิพอพระทัย ทว่าต่อหน้าก็มิได้กลั่นแกล้งอันใดมู่จวินฮานมากนัก
หลังเสร็จการประชุม เหล่าขุนนางต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งยังพากันตั้งข้อสงสัยว่ามู่จวินฮานอาจสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทแล้ว ทว่าคำกล่าวเหล่านั้นมิได้เข้าหูของมู่จวินฮานเลย
อันหลิงเกอที่เดินอยู่ในจวน จู่ ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา ปลายเท้าราวกับไร้น้ำหนักจนปี้จูต้องรีบเข้าไปประคองเอาไว้พร้อมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “พระชายาเป็นอันใดเจ้าคะ ? ”
“พระชายา ให้บ่าวประคองกลับไปพักดีกว่าเจ้าค่ะ”
แต่อันหลิงเกอส่ายหน้าให้ปี้จูปล่อยมือ ก่อนจะเดินไปนั่งที่ชุดโต๊ะหินด้านข้าง นางจับที่หน้าผากของตนแล้วปลอบปี้จูเสียงเบา “มิเป็นไร ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”
พูดแล้วก็อดรู้สึกแปลกใจมิได้เพราะช่วงนี้นางมักรู้สึกเหนื่อยง่าย แต่ทานอาหารได้มากขึ้นทุกวัน บางทีก็รู้สึกแน่นหน้าอก อีกทั้งอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นก็มิได้ลดน้อยลงเลย
อันหลิงเกอคิดว่าตนมิค่อยแข็งแรงก็เท่านั้น เรื่องพวกนี้จึงเป็นธรรมดาและแค่พักผ่อนให้เพียงพอก็คงมิเป็นไรแล้ว
วันต่อมา อันหลิงเกอยังคงฝึกวรยุทธที่เรือนกับมู่จวินฮานเหมือนเดิม เมื่อเห็นร่างกายที่แข็งแรงกำยำของมู่จวินฮาน นางก็อดชื่นชมอยู่ในใจมิได้ แต่คาดมิถึงว่าตอนหมุนตัวไป ฝ่าเท้าของนางจักมิมั่นคงจนเกือบล้มลงกับพื้น
อุบัติเหตุเล็กน้อยนั้นมู่จวินฮานย่อมมองมิออก แต่เป็นอันหลิงเกอที่เรียกเขาเอาไว้ “มู่จวินฮาน ! ”
มู่จวินฮานขมวดคิ้ว ก่อนถามออกมาอย่างสงสัย “เจ้ามิสบายหรือ ? ” เขาพิจารณาสีหน้าของอันหลิงเกออย่างละเอียดก็เห็นว่าริมฝีปากของนางซีดขาวจึงอดสงสัยมิได้ว่านางป่วย จากนั้นจึงเดินเข้ามาหาและประคองหน้าของนางเอาไว้พลางพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง นางดูอ่อนเพลียจริง แววตาก็ดูอ่อนล้า เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงกอดนางไว้แนบอก “ข้าจักให้คนไปตามหมอหลวงมา”
ช่วงนี้เขายุ่งมาก ดังนั้นจึงมิค่อยได้ใส่ใจสุขภาพของนางเท่าไรนัก
วันนี้พอดูดี ๆ แล้วจึงได้รู้ว่าหน้าตาของนางมิสู้ดีจนอดสงสารมิได้ เพราะเขามิได้ดูแลนางให้ดี ดังนั้นก็ควรตำหนิตัวเองไปด้วย
อันหลิงเกอได้ยินว่าเขาจะตามหมอหลวงมาก็รีบห้ามเอาไว้ “มิต้องไปตามหมอหลวงมาหรอก ข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น มิได้เป็นอันใดมาก ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ”
“ได้อย่างไร ถ้ามิตามหมอหลวงมา ข้ามิวางใจหรอกเพราะสีหน้าของเจ้ามิค่อยดีเอาเสียเลย” มิว่าอย่างไรมู่จวินฮานก็ไม่ยอมให้อันหลิงเกอละเลยสุขภาพเด็ดขาด
อันหลิงเกอยังยืนยันคำเดิมราวกับรังเกียจหมอหลวงก็มิปาน นางฝืนยิ้มออกมาขณะเกลี้ยกล่อมมู่จวินฮาน “ข้ามิเป็นไรจริง ๆ เจ้าค่ะ” เห็นท่าทางก้มหน้าลงน้อย ๆ ของนาง กอปรกับปากที่เชิดรั้นขึ้นก็รู้ว่านางมิอยากพบหมอจริง ๆ
เมื่อเห็นท่าทางฝืนใจของนางแล้ว มู่จวินฮานก็มิอยากบังคับอีก ในเมื่อนางไม่อยากพบหมอ เขาเองก็มิอาจบังคับได้จึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาพร้อมกอดนางไว้แนบอก “เช่นนั้น ต่อไปเจ้าต้องพักผ่อนอยู่ในเรือน เรื่องฝึกวรยุทธก็พักเอาไว้ก่อนแล้วกัน”
“มิเป็นไร เช่นนั้นข้าก็ไม่มีเรื่องอันใดให้ทำแล้วสิเจ้าคะ”
“อืม” มู่จวินฮานอดหัวเราะออกมามิได้
ภายในวังหลัง เฉินเจียอวี๋ให้ประสูติโอรสธิดาแล้วก็พักรักษาตัวอยู่ในตำหนักได้สามสี่วัน มินานร่างกายก็ฟื้นเป็นปกติ เมื่อทราบว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทจะทรงเลื่อนขั้นให้ตนแต่ถูกหลี่กุ้ยเฟยขัดเอาไว้ นางจึงรู้สึกโมโหหลี่กุ้ยเฟยมาก
โชคดีที่ฝ่าบาททรงโปรดบุตรทั้งสองของตนมาก โดยเฉพาะบุตรชายที่เกิดมาก็ได้เป็นถึงองค์ชายแล้ว
อีกทั้งยังเป็นบุตรชายคนแรกที่เกิดจากนาง ดังนั้นจึงทรงโปรดปรานและทะนุถนอมอย่างยิ่ง เฉินเจียอวี๋รู้สึกพอใจยิ่งนักจึงมิได้เก็บเรื่องที่หลี่กุ้ยเฟยขัดการเลื่อนขั้นของตนมาคิดอีก
เนื่องจากทารกทั้งสองเพิ่งคลอดได้มินาน เหล่านางกำนัลจึงคอยดูแลอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยเกรงว่าจักทำให้บุตรแสนรักของฝ่าบาทเป็นอันใดไป
“เหมือนข้าหรือไม่ ? ”
ย่อมเหมือนอยู่แล้ว ทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “เหมือนกันราวกับฝาแฝดเลยเพคะ ! ”
ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยอย่างมากแล้วโบกพระหัตถ์ขึ้น “ตกรางวัลให้พวกนาง ! ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ! ” ทุกคนเอ่ยออกมาอย่างยินดี
พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์มิหุบและทอดพระเนตรที่องค์ชายน้อยโดยมิให้คลาดสายตา เฉินเจียอวี๋เห็นฮ่องเต้ทรงโปรดปรานบุตรของตนเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างมีความสุข