พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 617 ข่าวดี
ตอนที่ 617 ข่าวดี
“เหตุใดทรงถามเช่นนี้เพคะ ? เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้วเพคะ ! ” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความขึงขัง “มิใช่ว่าส่งองค์ชายไปอยู่กับหลี่กุ้ยเฟยแล้ว หม่อมฉันจักมิวางใจหรอกเพคะ เพียงแต่สายสัมพันธ์แม่ลูกนั้นจะให้ตัดขาดได้อย่างไรเล่าเพคะ ? ”
“แต่วิธีของหลี่กุ้ยเฟยก็มีเหตุผล เจ้ามิคิดว่าหากอยู่กับหลี่กุ้ยเฟยแล้ว องค์ชายจักได้รับการดูแลที่ดีกว่าหรือ ? ” คำกล่าวของฮ่องเต้แฝงเอาไว้ด้วยการหยั่งเชิง
เฉินเจียอวี๋เอื้อมมือไปจับพระหัตถ์ของฝ่าบาท ใบหน้าเต็มไปด้วยการออดอ้อน “การดูแลดีที่สุดย่อมเป็นความรักจากมารดาผู้ให้กำเนิดเพคะ”
ฮ่องเต้เม้มพระโอษฐ์แน่นแล้วเงียบลง จากนั้นจึงหยิบฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาทอดพระเนตรแทน
พระองค์จะมิรู้ความคิดของหลี่กุ้ยเฟยได้เยี่ยงไร ? เรื่องนี้…
ความตื่นตระหนกได้เข้ามาโจมตีหัวใจของเฉินเจียอวี๋ นางจึงบีบน้ำตาพร้อมเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้น “ฝ่าบาทเพคะ หากลูกรักของหม่อมฉันถูกแย่งไป หม่อมฉันคงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกแล้วเพคะ ! ”
นางรู้ว่าเมื่อก่อนตนนั้นต่ำต้อย เป็นเพียงพี่เลี้ยงของจ้าวหลานหยู่เท่านั้น
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นางจักปล่อยให้คนพวกนั้นคอยควบคุมอีกมิได้ !
“เอาล่ะ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยสุรเสียงเข้มและปลอบนางด้วยความหนักแน่น “เรื่องนี้ข้าจักยอมให้เจ้า ส่วนหลี่กุ้ยเฟยนั้น ข้าจัดการเอง”
“หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!” เฉินเจียอวี๋ทำท่าออดอ้อนออกมาก่อนทูลอีกว่า “หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทดีกับหม่อมฉันที่สุดเพคะ”
ฝ่าบาทยื่นพระหัตถ์ไปปัดที่ปลายจมูกของนาง “เป้าหมายสำเร็จแล้วใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นก็รีบกลับตำหนักไปพักผ่อนเถิด”
อีกฝั่งหนึ่ง มู่จวินฮานกำลังยืนพิงหน้าต่างพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่น
สุขภาพของอันหลิงเกอช่วงนี้ทำให้เขาอดเป็นกังวลมิได้ นางมีอาการอ่อนเพลียตลอดทั้งวัน คอยแต่อาเจียนอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ข้าวก็ยังทานมิลง
ตอนนี้ก็ใกล้ยามอู่ ( 11.00 – 12.59 น. ) แล้ว ทว่านางยังนอนอยู่บนเตียงโดยไร้วี่แววจักตื่นขึ้นมา
หรือเขาทำรุนแรงกับนางมากเกินไป ? ไม่สิ เห็นได้ชัดว่าเขาเคร่งครัด…
มู่จวินฮานถอนหายใจออกมาอย่างช่วยมิได้ ก่อนเดินเอามือไพล่หลังกลับเข้ามาในห้องนอนและเห็นว่าอันหลิงเกอกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่
สาวใช้ยกสำรับเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะด้านข้าง
“เกอเอ๋อ” เขาเอ่ยเรียกนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็นั่งลงที่ข้างเตียงพลางยกอาหารขึ้นมา “ลุกขึ้นมาทานข้าวก่อนเถิด”
อันหลิงเกอยกมือขึ้นมาคลึงที่ดวงตาของตน ท่าทางขี้เซาของนางดูน่ารักมาก แก้มสองข้างก็เป็นสีแดงเรื่อเพราะเพิ่งตื่นนอน
“ขอนอนพักอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ข้ารู้สึกว่านอนมิเพียงพอเอาเสียเลย” นางเม้มปากพลางพึมพำออกมาเบา ๆ
ใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความอ่อนใจแล้วเอ่ยออกมาอย่างกังวล “อาการของเจ้าช่วงนี้ดูมิดีเท่าไร แต่อย่างไรก็ต้องทานข้าว ทานสักสองสามคำเถิด ข้าจักป้อนเจ้าเอง”
กล่าวจบ เขาก็มิยอมให้นางปฏิเสธได้อีก มู่จวินฮานยื่นมือไปประคองนางขึ้นนั่งอย่างอ่อนโยน
นางคงง่วงมากจริง ๆ อันหลิงเกอรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปหมด ทำได้เพียงเอนกายพิงไหล่ของเขาเอาไว้และอ้าปากขึ้นอย่างเกียจคร้าน
มุมปากของมู่จวินฮานเผยรอยยิ้มบางออกมา เขาตักข้าวขึ้นมาเป่าจนหายร้อนแล้วป้อนเข้าปากนางทีละคำ
ยังทานมิทันถึงครึ่ง จู่ ๆ อันหลิงเกอก็ขมวดคิ้วมุ่นและสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“เป็นอันใดหรือ?” เขารีบวางถ้วยลง ก่อนประคองนางเอาไว้
“ข้า…” ยังกล่าวมิทันจบนางก็รีบเอามือกุมท้องไว้แล้วอาเจียนออกมา แต่อาเจียนหลายครั้งก็ไม่มีสิ่งใดออกมา และสุดท้ายนางก็ทำได้เพียงเอนกายพิงอกของเขาอย่างหมดแรง
ใบหน้ามู่จวินฮานเต็มไปด้วยความสงสารจับใจจนนางต้องเป็นฝ่ายปลอบเขาแทน “มิเป็นไร แค่ท้องไส้มิค่อยดี มิแน่พักผ่อนอีกสักหน่อยอาจดีขึ้นก็ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้ายังพักผ่อนมิพออีกหรือ ? ” เขากล่าวพลางเคาะที่หน้าผากของนางเบา ๆ ราวกับกำลังลงโทษนางอยู่ แต่ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมามิได้
อาการของนางเหมือนคนตั้งครรภ์มาก หรือว่านางตั้งครรภ์แล้ว ?
“ข้าให้ท่านหมอมาตรวจอาการเจ้าดีหรือไม่ ? ” เขากล่าวขณะที่ลูบผมยุ่งเหยิงบนศีรษะนางอย่างอ่อนโยน
อันหลิงเกอได้ยินก็รีบล้มตัวลงนอนทันที ก่อนคลุมผ้าห่มเอาไว้จนมิด “ไม่เจ้าค่ะ ! ”
มู่จวินฮานอ้าปากจะกล่าวบางอย่างแต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยมันออกมา
เขาอยากบอกสิ่งที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้แต่ก็กลัวทำให้นางผิดหวัง เรื่องในครั้งก่อนทำให้เขาต้องคอยปกป้องนางจากแผลใจอย่างระมัดระวัง
ค่ำวันนั้น สุดท้ายมู่จวินฮานก็มิอาจวางใจได้จึงเชิญท่านหมอมา
“แค่ให้ท่านหมอตรวจครู่เดียว ไม่ดื้อนะ เด็กดี” เขากอดอันหลิงเกอที่กำลังจะหนีเอาไว้อย่างปลอบโยน
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ตรวจเจ้าค่ะ” นางขยับตัวไปมาอย่างต้องการขัดขืน แต่ก็โดนเขากอดรัดไว้แน่น เดิมทีนางก็มิค่อยมีแรงอยู่แล้วสุดท้ายจึงทำได้เพียงขืนตัวเอาไว้โดยมิยอมยื่นมือออกไปให้ท่านหมอตรวจชีพจร
มู่จวินฮานยิ้มอย่างอ่อนใจ ก่อนจับแขนนางยื่นไปให้ท่านหมอเสียเอง
ท่านหมอคำนับให้เขาแล้วเริ่มตรวจอาการของนาง
ในตอนแรกนั้นอันหลิงเกอยังขยับตัวมิเลิกจนเขาต้องก้มลงกระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “ถ้าเจ้ายังมิหยุด ข้าจักเริ่มรังแกเจ้าเดี๋ยวนี้”
ใบหน้าของนางแดงก่ำพร้อมนั่งนิ่งทันที
“ยินดีด้วยขอรับ ! พระชายาตั้งครรภ์แล้วขอรับ ! ” ท่านหมอตรวจอาการเสร็จก็ก้าวถอยหลังแล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
อันหลิงเกอตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนยิ้มออกมาอย่างดีใจเป็นอย่างมาก “จริงหรือ ? ”
อันหลิงเกอแม้ดีใจมากที่ตั้งครรภ์ แต่นางก็มิได้ดีใจจนถึงขั้นลืมทุกอย่างไป เมื่อคิดได้ว่าภายในจวนยังมีคนคอยจดจ้องอยู่ก็อดรู้สึกระแวงขึ้นมามิได้
เมื่อเห็นสีหน้าของอันหลิงเกอมิสู้ดีเท่าไร มู่จวินฮานจึงรีบถาม “เป็นอันใดหรือ ? เรื่องน่ายินดีเช่นนี้เหตุใดจึงทำหน้ามิสู้ดีเล่า ? ” เขากล่าวไปพลางกอดอันหลิงเกอไปด้วย
ตอนนี้มู่จวินฮานก็ดีใจมากเช่นกัน ไม่มีเรื่องใดน่ายินดีไปกว่าการที่สตรีอันเป็นที่รักกำลังจะมีทายาทให้อีกแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถอาศัยเรื่องนี้เพื่อพาบุตรคนอื่นคืนมาจากมู่เหล่าหวางเฟยได้
“อืม ดีใจสิเจ้าคะ” อันหลิงเกอปล่อยให้มู่จวินฮานกอดอยู่อย่างนั้น สีหน้าที่คล้ายกำลังฝืนยิ้มทำให้มู่จวินฮานคิดบางอย่างขึ้นได้แล้วรู้สึกตกใจขึ้นมา
“เจ้าคงมิได้กังวลเรื่องทัวป๋าถิงฟางและผิงฟางหนิงอยู่ใช่หรือไม่ ? ” มู่จวินฮานกระซิบถามนาง เขารู้ดีว่าอันหลิงเกอยังนึกถึงเรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้นตลอดเวลา ความจริงแล้วมิใช่แค่อันหลิงเกอที่ยังจำฝังใจเพราะตัวเขาเองก็มิเคยลืมเช่นกัน
เพียงแต่มู่จวินฮานลืมไปว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับมู่เหล่าหวางเฟยทั้งสิ้น
“ท่านมิรู้หรือ ? แม้การตั้งครรภ์เป็นเรื่องดี แต่ข้ารู้สึกมิสบายใจเอาเสียเลยเพราะเหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ทำให้ข้าอยากปกป้องบุตรคนนี้ให้ได้เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอก้มหน้าลงเล็กน้อย เดิมทีร่างกายนางก็อ่อนแออยู่แล้วจึงทำให้เสียงที่กล่าวออกมาสั่นเครืออย่างห้ามมิได้
มู่จวินฮานเข้าใจความรู้สึกของอันหลิงเกอดีจึงพยักหน้าให้ “เกอเอ๋อ เจ้าวางใจเถิด ข้าจักมิยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้ากับลูกได้อีกเด็ดขาด”
มู่จวินฮานเอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น ภายในใจของอันหลิงเกอก็รู้สึกสงบขึ้นมิน้อย
ทั้งคู่สนทนากันอยู่นาน ก่อนที่อันหลิงเกอจักพักผ่อนต่ออย่างสบายใจ มู่จวินฮานยังคงนั่งอยู่ข้างอันหลิงเกอจนเมื่อเห็นลมหายใจของนางสม่ำเสมอแล้ว เขาจึงผละออกไป
เนื่องจากตอนนี้พ่อบ้านกำลังรอเขาอยู่ที่โถงทางเดิน