พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 644 ฟางหลิงซู่เกิดเรื่อง
ตอนที่ 644 ฟางหลิงซู่เกิดเรื่อง
อันหลิงเกอรับเอาไว้แล้วเรียกเสี่ยวหยาเข้ามารับไปจัดการต่อ
“นี่คือสาวใช้ที่ซูฉางเฟิงจัดเตรียมให้เจ้าหรือ ? ”
มิรู้เหตุใดเวลาที่ต้องเอ่ยถึงบุรุษอื่น ฟางหลิงซู่มักมิค่อยพอใจเอาเสียเลย
“อืม”
อันหลิงเกอมิได้คิดอันใดมาก เห็นฟางหลิงซู่เป็นห่วงเพียงนี้นางเองก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของนางยังอ่อนแออยู่มากก็ต้องเข้ามาที่จวนอ๋องมู่แล้ว นางพักรักษาตัวยังมิถึงสิบวัน ร่างกายย่อมมิหายดี
“เจ้าดูแลตัวเองให้ดีด้วย” ฟางหลิงซู่ยังรู้สึกกังวลอยู่
“อืม”
เมื่อเห็นเขาจากไปแล้วอันหลิงเกอได้แต่นิ่งคิดว่าหลังจากนี้นางต้องไปอยู่ที่เผ่าพิษหนอนกู่และมิรู้ว่าเมื่อไรจะได้พบเขาอีก
ตอนนี้อยู่ในจวนอ๋องมู่ เขายังหานางพบ ทว่าถ้านางไปจากที่นี่แล้วแผ่นดินกว้างใหญ่เช่นนี้เขาจะหานางเจอได้หรือไร ?
“เสี่ยวหยา รินน้ำมาให้ข้าที”
จู่ ๆ อันหลิงเกอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เรื่องราวมากมายล้วนเปลี่ยนแปลงไปจนสิ้น
นางไม่มีมู่จวินฮานเคียงข้างอีกแล้ว สหายมากมายก็ไกลห่างจากนางเรื่อย ๆ
ในอดีต ต่อให้โดนกดดันมากมายจากราชสำนักแต่นางก็ยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับหอพิษกู่ ทว่าตอนนี้คงต้องห่างกันแล้วจริง ๆ
“นายหญิง ท่านเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ ? ”
เสี่ยวหยามองออกว่าอันหลิงเกอมีความรู้สึกบางอย่างให้ฟางหลิงซู่ ทว่าตอนนี้อยู่ในจวนอ๋องมู่จะมีจิตเสน่หาบุรุษอื่นได้อย่างไร
และอันหลิงเกอรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเข้าใจผิด
“เขาเป็นสหายคนหนึ่งในยุทธภพ ลาจากกันครั้งนี้เกรงว่าคงยากที่จะได้พบหน้ากันอีก ข้าจึงรู้สึกเศร้าใจเท่านั้น”
ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ เสี่ยวหยาก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจ
แม้เสี่ยวหยาเป็นคนที่ซูฉางเฟิงจัดไว้ให้ก่อนหน้านี้ แต่ก็มิได้คุ้นเคยกับฟางหลิงซู่ไปด้วย
“เอาล่ะ นอนพักเถิด”
หลังส่งฟางหลิงซู่ไปแล้ว อันหลิงเกอก็นอนพลิกตัวไปมาบนเตียง
นางมิรู้ว่าการตัดสินใจในตอนนี้ถูกต้องหรือไม่ ทว่าอันหลิงเกออดนึกถึงอดีตมิได้ นางคิดถึงมู่จวินฮานจนอยากเดินเข้าไปหาโดยมิต้องสนใจสิ่งใด แล้วบอกเขาว่านางคืออันหลิงเกอของเขา
“บังอาจ ! ” ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกและปลุกอันหลิงเกอให้ตื่นจากภวังค์
“สนมฟางช่างกล้ายิ่งนัก ถึงขั้นลักลอบพบบุรุษกลางดึกเชียวหรือ”
หลังกล่าวจบ มู่จวินฮานก็โยนร่างไร้วิญญาณที่ใบหน้าเละร่างหนึ่งลงเบื้องหน้าของฟางหย่าเกอ
ฟางหลิงซู่ !
เสื้อผ้านี้เป็นชุดที่นางเห็นเมื่อครู่ ตรงเอวยังห้อยป้ายของหอพิษกู่ไว้อีกด้วย
เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้หรอก
“ท่านสังหารเขาหรือ ! รู้หรือไม่ว่าทำอันใดลงไป ทั้งที่ท่านจำอันใดมิได้แล้วเหตุใดต้องสังหารเขาด้วย ! ”
ฟางหย่าเกอกล่าวจบก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที ฟางหลิงซู่ต้องตายเพราะนาง มิว่ามู่จวินฮานสังหารฟางหลิงซู่เพราะเหตุใดนางก็มิอาจทำใจได้อยู่ดี
“สนมของข้าลักลอบพบบุรุษอื่น ข้าขอสั่งกักบริเวณนางตั้งแต่บัดนี้”
เดิมทีฟางหย่าเกอคิดว่าเขาคงสังหารนางด้วย แต่คาดมิถึงว่ายามที่มู่จวินฮานสบตากับนางนั้น เขาก็หลบสายตาก่อนจะรีบเดินออกไป
หลังจากเรื่องคืนนั้นผ่านไปมิกี่วัน มู่จวินฮานก็ต้องออกรบ ทว่าเขากลับพาเฝิงเยว่เอ๋อและฟางหย่าเกอไปด้วย แน่นอนอันหลิงเกอมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาต้องพานางไปด้วย แต่นางก็ยอมทำตามโดยดี ส่วนเฝิงเยว่เอ๋อนั้นเพราะร่างกายมิแข็งแรงสุดท้ายจึงมิได้ตามมาและมีเพียงอันหลิงเกอที่ตามมู่จวินฮานไป
ในระหว่างสงคราม มู่จวินฮานก็ได้รับบาดเจ็บ
เขารู้สึกได้ถึงพิษที่ร้ายแรงบนมีดสั้นเล่มนั้น เขารู้สึกเหมือนว่าทั้งร่างกายถูกไฟเผาก็มิปานจนถึงขั้นทรุดลงกับพื้น
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องขอรับ” เมื่อเห็นเช่นนั้นแม่ทัพใหญ่ก็รีบเข้ามาประคองมู่จวินฮาน แต่มินานเขาที่ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อก็โบกมือให้แม่ทัพใหญ่เป็นสัญญาณว่าตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงกว่าเมื่อครู่มากแล้ว ราวกับว่าความเจ็บเมื่อครู่เป็นความฝันที่เพียงพริบตาก็มลายหายไป
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็ค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้น ตอนนี้อาการของเขาดีกว่าเมื่อครู่มากแล้วเพียงแต่เหงื่อที่ยังปรากฏอยู่บนใบหน้าเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาเคยได้รับ
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่…” สายตาของแม่ทัพใหญ่เต็มไปด้วยความกังวล เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่จวินฮานอย่างยิ่งเพราะหลายวันมานี้เขาได้รู้ถึงความสามารถของมู่จวินฮานเป็นอย่างดี
“ข้ามิเป็นไรแล้ว ท่านกลับไปที่ค่ายเถิด” มู่จวินฮานกล่าวจบก็เดินนำออกไป ส่วนทหารที่อยู่ด้านหลังทำได้เพียงสบตากัน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าควรทำเช่นไรดี
มู่จวินฮานเดินนำอยู่ด้านหน้า ขณะที่แววตาของเหล่าทหารด้านหลังจ้องมองเขาด้วยความเป็นห่วง ศึกนี้พวกเขาสามารถรบชนะได้ก็เพราะแผนการและความกล้าหาญของมู่จวินฮานทั้งสิ้น
ทว่าพอเห็นท่าทางเจ็บปวดของมู่จวินฮานเมื่อครู่ ทุกคนก็รู้สึกว่าตนช่างไร้ประโยชน์และทำได้เพียงเป็นห่วงเขาเท่านั้น
ทันทีที่มู่จวินฮานกลับถึงค่ายก็ตรงไปหาฟางหย่าเกอทันที ยามนี้นางกำลังหลับสนิท มู่จวินฮานที่จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของนางก็รู้สึกได้ถึงความสบายใจอย่างบอกมิถูก
เมื่อฟางหย่าเกอพลิกตัว มู่จวินฮานจึงรีบลุกขึ้นยืนเพราะเกรงว่าจักรบกวนการพักผ่อนของนาง แต่ดีที่ฟางหย่าเกอยังมิตื่น มู่จวินฮานจึงได้นั่งมองนางต่อ
ตอนนี้นางกำลังนอนหลับอย่างสบายราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง มู่จวินฮานมองนางอย่างใจลอยก่อนที่มุมปากจะค่อย ๆ ยกขึ้นจนเผยรอยยิ้มออกมา
ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อดวงอาทิตย์ทอแสงขึ้นจากขอบฟ้า มู่จวินฮานจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ทว่าตอนนี้ขาทั้งสองข้างรู้สึกชาไปหมดเหมือนกำลังไร้ซึ่งความรู้สึก
เมื่อลุกขึ้นยืนแล้วมู่จวินฮานจึงเซไปชนเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างจนเกิดเสียงดัง เดิมทีอันหลิงเกอก็มิได้หลับลึก บัดนี้พอได้ยินเสียงเก้าอี้จึงตื่นขึ้นมาทันที
“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอมิได้รู้ว่ามู่จวินฮานอยู่ที่นี่ทั้งคืน เมื่อเห็นเขาชนเข้ากับเก้าอี้จึงคิดว่าเขาเพิ่งเข้ามาเมื่อครู่
“ข้าจะมาหาสนมของตนมิได้หรือ ? ” มู่จวินฮานเห็นสีหน้ามิสู้ดีของฟางหย่าเกอก็คิดว่านางรังเกียจ เขาเองก็มิอยากลดศักดิ์ศรีจึงได้ปากแข็งเช่นนี้
“ท่านอ๋องมิต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ ตอนนี้ฟางหลิงซู่มิอยู่แล้ว ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเชี่ยเซินจะแอบหนีไปกับผู้อื่นและมิต้องยัดเยียดข้อหาคบชู้ให้ด้วยเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวออกมาพร้อมยิ้มอย่างเย็นชา ตอนนี้นางรู้สึกผิดหวังในตัวมู่จวินฮานมาก ทุกครั้งที่เห็นเขาแล้วนางก็มักนึกถึงสภาพที่น่าเวทนาของฟางหลิงซู่ มันทำให้นางปวดใจยิ่งนัก
“เจ้ามิต้องพูดยั่วโทสะข้าหรอก ที่วันนี้มาเพราะมีเรื่องจะบอกเจ้าว่าข้าให้คนจัดการร่างของฟางหลิงซู่โดยนำเขาไปฝังเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจักเดินทางกลับจวนอ๋อง เจ้าจัดการเก็บข้าวของเองแล้วกัน”
หลังกล่าวจบ มู่จวินฮานก็หันหลังเดินจากไป แต่ขาที่ชาเมื่อครู่ยังมิหายดีทำให้เวลาก้าวเดินจึงดูตลกมิน้อย ทว่ายามนี้อันหลิงเกอมิได้สนใจเรื่องนี้ แค่ได้ยินเขาบอกว่าฝังศพของฟางหลิงซู่แล้วภายในใจก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง
หลังออกมาจากกระโจมแล้วมู่จวินฮานก็เรียกนายทหารผู้หนึ่งเข้ามา ทหารผู้นั้นมีรูปร่างผอมบาง มิได้มีผลงานที่โดดเด่นในสนามรบ แต่เมื่อได้ยินว่ามู่จวินฮานเรียกพบแล้วภายในใจก็อดตื่นเต้นมิได้