พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 645 ฝังศพ
ตอนที่ 645 ฝังศพ
“เจ้ากลับไปเมืองหลวงตอนนี้เลย จงจำไว้ว่าอย่าให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด หลังกลับไปถึงแล้วก็ให้เจ้าสร้างหลุมฝังศพของฟางหลิงซู่ไว้ที่เนินเขาด้านหลังของวังหลวง จำไว้ว่าต้องสลักป้ายหินบนหลุมศพด้วย”
เมื่อได้ยินคำสั่งของมู่จวินฮานแล้ว แม้ทหารนายนั้นมิเข้าใจเหตุผลแต่ก็ยังพยักหน้ารับ
อย่างไรการที่มู่จวินฮานสั่งให้เขาทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล ซึ่งนายทหารแค่ได้รับคำสั่งจากมู่จวินฮานก็ดีใจมากแล้ว มิว่าให้เขาทำสิ่งใดก็ยินดีทั้งสิ้น
มู่จวินฮานมองนายทหารถอดชุดเกราะและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย จากนั้นอีกฝ่ายก็ควบม้าออกไป ภายในใจของเขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เมื่อครู่ที่เขาพูดกับฟางหย่าเกอเป็นเพียงข้ออ้างที่เพิ่งคิดได้ตอนนั้น แท้จริงแล้วเขายังมิได้จัดการเรื่องศพของฟางหลิงซู่และความจริงต้องบอกว่าหาศพมิพบถึงจะถูก
ตั้งแต่คืนนั้นศพของฟางหลิงซู่ก็หายไปราวกับมิเคยมีมาก่อน
เพียงแต่ถ้ามิบอกฟางหย่าเกอเช่นนั้นก็กลัวว่านางจะโกรธจนมิยอมกลับไปเมืองหลวงโดยง่าย
เขาพอมองออกว่าฟางหย่าเกอมีนิสัยเช่นไร แม้นางมิเรื่องมากแต่หากดื้อรั้นขึ้นมาก็ยากที่จะกล่อมได้ง่าย
จากนั้นมู่จวินฮานก็ออกคำสั่งให้เหล่าทหารเก็บสัมภาระและรื้อถอนค่ายเพื่อเตรียมตัวกลับเมืองหลวงทันที ทุกคนได้ยินข่าวนี้ก็ยินดีปรีดาอย่างยิ่งเพราะออกศึกมายาวนาน ในที่สุดก็จะได้กลับบ้านเสียที
ส่วนอันหลิงเกอตั้งแต่ได้ยินว่ามู่จวินฮานจัดการฝังศพฟางหลิงซู่แล้ว นางก็รู้สึกผิดต่อฟางหลิงซู่น้อยลง
อย่างไรก็เป็นนางที่ผิดต่อฟางหลิงซู่ นางติดค้างเขาแต่คงไร้โอกาสได้ชดใช้ให้แล้ว
อันหลิงเกออยากรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ประการแรกคือนางอยากไปให้ไกลจากดินแดนที่มีแต่การฆ่าฟันกันนี้ ประการที่สองนางอยากไปเยี่ยมหลุมฝังศพของฟางหลิงซู่โดยเร็ว ตอนนี้นางเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังมัดผมอยู่
เพราะตอนนี้ยังอยู่ในค่ายทหารนางจึงยังแต่งกายเป็นบุรุษ เพียงแต่ความองอาจที่มีมาในตอนแรกได้หายไปจนสิ้น หลงเหลือเพียงความเหนื่อยล้าและทุกข์ตรม
หลังเก็บของเสร็จแล้วอันหลิงเกอก็ส่งของให้องครักษ์ประจำกาย
มู่จวินฮานเดินเข้ามาก็เห็นฟางหย่าเกอเก็บข้าวของเสร็จแล้ว เมื่อได้ยินเสียง นางก็หันมามองเขาและเห็นว่าในมือของเขาถือห่อผ้าอยู่ แสดงให้เห็นว่าพร้อมออกเดินทาง
ทั้งคู่มิได้โต้เถียงอันใดกัน บางทีคงเพราะความโล่งใจหรือเพราะความเหนื่อยล้ามากเกินไปก็ได้
อันหลิงเกอเห็นมู่จวินฮานหยิบห่อผ้าของนางขึ้นมาแล้วเดินออกไปเงียบ ๆ นางจึงเดินตามหลังไปด้วย
นางเห็นเพียงมู่จวินฮานนำของวางไว้บนรถม้า จากนั้นก็มิได้เอาม่านลงแต่ยืนรออยู่อย่างนั้น
“คุณชายฟาง ท่านรออันใดอยู่ ท่านอ๋องให้ไปนั่งรถม้าคันเดียวกันเพราะดูท่านจะเหนื่อยล้ามิน้อย รีบตามท่านอ๋องไปเถิดขอรับ”
ทหารที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม อันหลิงเกอมิอาจยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นได้อีกจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหามู่จวินฮานที่เมื่อเห็นว่านางเดินมาก็ส่งยิ้มให้
ระหว่างทางทั้งคู่มิได้สนทนากัน อันหลิงเกอแต่งกายเป็นบุรุษและได้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมู่จวินฮานอย่างไม่เป็นมิตร
มู่จวินฮานก็รู้ความคิดของนางจึงมิได้ขยับเข้าใกล้และทำทีมองทิวทัศน์ด้านนอกรถม้าอย่างเงียบ ๆ แทน
เพราะคำสั่งของมู่จวินฮาน รถม้าจึงอ้อมไปตามเส้นทางสายเล็กด้านหลังวังหลวง แม้เส้นทางขรุขระไปบ้างแต่เพียงมินานพวกเขาก็มาถึงสถานที่ซึ่งมู่จวินฮานจัดการฝังศพของฟางหลิงซู่เอาไว้
“หยุด” เมื่อครู่กองทัพรวมทั้งแม่ทัพใหญ่ได้เข้าประตูเมืองไปก่อนแล้ว ตอนนี้คงกำลังได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านอยู่ ที่นี่จึงมีเพียงมู่จวินฮานที่พาฟางหย่าเกอมายังหลุมศพของฟางหลิงซู่เท่านั้น
รถม้าหยุดลงและคนขับรถม้าก็ลากรถไปหลบอยู่ด้านข้างเพื่อรอทั้งคู่อย่างรู้งาน ทันทีที่อันหลิงเกอลงจากรถม้าก็มองเห็นหลุมศพของฟางหลิงซู่
“อยู่ตรงนั้น” เดิมทีมู่จวินฮานแค่อยากให้ฟางหย่าเกอมาเห็นเพียงครู่เดียวว่าเขาได้จัดการตามที่บอกไว้เพื่อที่นางจะได้สบายใจ
แต่คาดมิถึงว่าฟางหย่าเกอจะลงจากรถม้าและเดินไปยังหลุมฝังศพ ตอนที่นางเดินผ่านมู่จวินฮานไปนั้น เขาเห็นดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาของนางอย่างชัดเจนราวกับพร้อมที่จะไหลรินได้ตลอดเวลา
เห็นท่าทางเช่นนั้นของนางแล้ว มู่จวินฮานก็อดเจ็บปวดใจมิได้
ทั้งที่เขามิรู้จักฟางหย่าเกอผู้นี้มาก่อนแล้วเหตุใดต้องปวดใจเพราะนางด้วย ?
…
ช่วงที่ผ่านมาเฝิงเยว่เอ๋อเฝ้ารอมู่จวินฮานกลับมาทุกเมื่อเชื่อวัน จวนอ๋องที่ใหญ่โตแห่งนี้หากไร้ซึ่งมู่จวินฮานแล้วทุกชีวิตก็เหมือนไร้จิตใจไปด้วย
อีกทั้งเดิมทีเฝิงเยว่เอ๋อก็ใช้ชีวิตหมุนรอบมู่จวินฮานอยู่แล้ว มาบัดนี้ยิ่งรู้สึกว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่ควรได้อยู่ข้างกายมู่จวินฮาน
เมื่อรู้ว่าทั้งสองคนจะกลับจวนวันนี้ เฝิงเยว่เอ๋อก็เตรียมพร้อมเพื่อรอพวกเขากลับมา มิว่าอย่างไรครั้งนี้นางจะทำให้ฟางหย่าเกอรู้ว่ามู่จวินฮานเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว
เฝิงเยว่เอ๋อออกไปยืนรอรับมู่จวินฮานอยู่ที่ริมสระน้ำในสวนข้างจวนอ๋อง
ทว่าความจริงแตกต่างจากที่เฝิงเยว่เอ๋อคาดการณ์เอาไว้เพราะเมื่อมู่จวินฮานมิปรายตามองนางแม้แต่น้อย เขากอดฟางหย่าเกอที่อยู่บนหลังอาชาตัวเดียวกันไว้แน่นและดูสนิทสนมกันอย่างมาก
เฝิงเยว่เอ๋อจึงทำได้เพียงมองมู่จวินฮานควบอาชาพาฟางหย่าเกอไปหยุดหน้าประตูจวนโดยมิหันมองนางแม้แต่น้อย
ภาพตรงหน้าทำให้เฝิงเยว่เอ๋อรู้สึกโมโหมิน้อย นางจึงเดินตามทั้งสองคนไปแต่มิทันระวังจึงเหยียบชายกระโปรงของตนเองและพลัดตกลงในสระน้ำที่เย็นยะเยือกพอดี
“ช่วยด้วย ! ” เฝิงเยว่เอ๋อยังมิทันตะโกนมากกว่านั้น น้ำที่เย็นเฉียบก็ไหลเข้าสู่ลำคอของนาง ทว่าตอนนี้ทั้งมู่จวินฮานและอันหลิงเกอห่างไปไกลเสียแล้วจึงไม่มีผู้ใดเห็นนางตกน้ำ
เฝิงเยว่เอ๋อรู้สึกราวกับทั้งร่างหนักอึ้งและจมลงไปเรื่อย ๆ
แม้สระนี้มิได้ลึกมากแต่เพราะมิได้ทำความสะอาดมานานจึงทำให้ก้นสระเต็มไปด้วยโคลนตม กอปรกับเฝิงเยว่เอ๋อนั้นว่ายน้ำมิเป็น
นางจึงรู้สึกราวกับหายใจมิออก เริ่มไม่ได้สติและจมดิ่งลงไปยังก้นสระ
เฝิงเยว่เอ๋อค่อย ๆ ไร้เรี่ยวแรงลงทีละน้อย ในขณะที่นางกำลังจะยอมแพ้ก็มีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาในน้ำ
เฝิงเยว่เอ๋อรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของน้ำโดยรอบก่อนจะมีมือที่อบอุ่นคู่หนึ่งมาจับที่เอวของนางเอาไว้และพากลับขึ้นมาบนผิวน้ำ
ทว่าเพราะโคลนตมที่มีเยอะมากจึงทำให้เท้าของคนผู้นั้นยังติดอยู่ในโคลนจนร่างของทั้งสองตกลงในน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากอดเฝิงเยว่เอ๋อเอาไว้แน่น มิทำให้นางจมลงด้านล่างอีกและทั้งสองก็ลอยอยู่บนน้ำจนได้
เฝิงเยว่เอ๋อได้สติขึ้นมาหลังจากสำลักน้ำและสามารถเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เห็นบุรุษที่กอดนางอยู่นั้นสวมอาภรณ์สีดำ ร่างกายกำยำ ใบหน้าสวมหน้ากากเหล็กที่เย็นเฉียบเอาไว้
ทำให้เฝิงเยว่เอ๋อรับรู้ได้ว่านี่คือองครักษ์เงาของมู่จวินฮาน และตอนนี้นางก็จ้องไปที่หน้ากากซึ่งกำลังสะท้อนแสงแดดของเขา ชั่วอึดใจนั้นมิรู้ว่านางเอาความกล้ามาจากที่ใดจึงกล้ากระชากหน้ากากของเขาออก