พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 648 อิ่งจือ
ตอนที่ 648 อิ่งจือ
แม้มู่จวินฮานมิรู้จักอิ่งจือ แต่เขารู้ว่าหลายวันมานี้ภายในเมืองหลวงมีอำนาจลึกลับเพิ่มขึ้นและแน่นอนว่านั่นก็คืออิ่งจือ
“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ ? ก็แค่สตรีผู้นี้จะทำลายโลงน้ำแข็งของข้า เกรงว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่มากพอแล้วกระมัง” อิ่งจือถามกลับ มู่จวินฮานถึงขั้นตกตะลึงไปราวกับมิเชื่อว่า ‘ฟางหย่าเกอ’ จักทำเช่นนั้นได้ เขาหันไปมองฟางหย่าเกอที่มองเขาราวกับตนเองคือผู้บริสุทธิ์
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็อดถอนหายใจออกมามิได้ เดิมทีมู่จวินฮานก็เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว แค่เห็นฟางหย่าเกอทำท่าออดอ้อน เขาก็มิสงสัยอีกและในสายตากลับกลายเป็นว่าพวกอิ่งจือรังแกฟางหย่าเกอแทน
ยิ่งตอนนี้เยว่หยาปลอมตัวเป็นฟางหย่าเกอแล้ว มู่จวินฮานย่อมเชื่อสนิทใจ
ขณะที่อันหลิงเกอในคราบซูฉางเฟิงกำลังจะเอ่ยปากนั้น อิ่งจือก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนพร้อมใบหน้าที่เย้ยหยันและการยกยิ้มที่มุมปาก เขาใช้นิ้วเคาะเบา ๆ ที่โลงน้ำแข็งราวกับมิได้สนใจคนจากจวนอ๋องทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย จากนั้นก็เดินมาหาอันหลิงเกอ
“หากท่านปกป้องนางมิได้หรือปกป้องนางได้ไม่ดีพอ ข้าจักทำแทนท่านเอง” จู่ ๆ อิ่งจือก็เอ่ยออกมาเช่นนี้ ส่งผลให้ทั้งสามคนที่เหลือต่างคิดไปคนละทางเพราะคำพูดของอิ่งจือมิหมายถึงฟางหย่าเกอเลย
เมื่อมู่จวินฮานได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวก็มิได้สนใจเรื่องของฟางหย่าเกออีก ทว่าหันไปมองอันหลิงเกอและอิ่งจือแทน เขามองทั้งคนไปมาราวกับต้องการที่จะเอ่ยบางอย่าง
“เจ้าคือ…” ผ่านไปนานกว่าที่มู่จวินฮานจะปริปากออกมาได้ แต่ก็ถูกอิ่งจือที่มองออกอยู่แล้วชิงตอบว่า
“มิว่าท่านยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ตาม ทว่าหากท่านยังทำให้นางเสียใจอยู่เยี่ยงนี้รวมทั้งมิสามารถปกป้องนางให้ปลอดภัยได้ เกรงว่า…”
น้ำเสียงของอิ่งจือเต็มไปด้วยการคุกคาม มู่จวินฮานจึงมิกล้าประมาทคนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวงเยี่ยงอิ่งจือ
ตั้งแต่มู่จวินฮานกลับจากออกรบก็ได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของอิ่งจือและรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี การที่อิ่งจือกล่าวเช่นนี้ย่อมแสดงว่าทำได้ตามที่เอ่ยออกมา มู่จวินฮานขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองซูฉางเฟิง
อันหลิงเกอเข้าใจความหมายในคำกล่าวของอิ่งจือดีจึงมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาทั้งยังมิกล้ามองหน้าเขาด้วย ดังนั้นนางจึงหันหน้าไปทางอื่นและก้มมองพื้นเท่านั้น ราวกับมิต้องการที่จะเห็นหน้ามู่จวินฮานด้วยเช่นกัน
มู่จวินฮานมิอาจคาดเดาความคิดของอันหลิงเกอได้จึงกังวลใจยิ่งนัก เขาอยากเดินเข้าไปถามให้กระจ่าง
แต่ฟางหย่าเกอที่ยืนอยู่จะปล่อยให้เป็นไปได้อย่างไร นางจึงแสร้งล้มลงกับพื้น
เสียงที่นางล้มกระแทกพื้นทำให้มู่จวินฮานหันไปมอง จึงพบว่าตอนนี้นางล้มไปที่พื้นด้วยท่าทีอ่อนแรงมาก
เนื่องจากพื้นเป็นน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ นางจึงนั่งอยู่บนนั้นพร้อมสีหน้าซีดเซียว
เมื่อครู่ ‘หย่าเกอ’ คงถูกอิ่งจือทำร้ายจึงทำให้มู่จวินฮานอดจ้องมองอิ่งจือด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นมิได้ มิหนำซ้ำยังใช้สายตาที่แฝงความหมายบางอย่างจ้องไปที่อันหลิงเกออีกด้วย จากนั้นจึงอุ้มฟางหย่าเกอขึ้นมาแล้วเดินออกจากถ้ำน้ำแข็งทันที
พอมู่จวินฮานจากไปแล้ว อันหลิงเกอก็เพิ่งสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของตนที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
วันนี้เยว่หยาได้เผยความชั่วร้ายต่อหน้าอันหลิงเกอโดยมิคิดปิดบังจึงทำให้อันหลิงเกอพอเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้บ้างแล้ว ความโกรธที่มีต่อมู่จวินฮานจึงลดลงไปด้วย มิได้รุนแรงเช่นก่อนที่จะรู้ความจริง
หลังจากอันหลิงเกอได้สติจึงเห็นว่าอิ่งจือจ้องนางอยู่นานแล้ว อันหลิงเกอจึงเบือนหน้าหนีเพราะทำตัวมิถูก
เพราะนางรู้ว่าท่าทางสับสนเมื่อครู่ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น ทำให้อันหลิงเกออดรู้สึกอับอายมิได้
“หากเจ้ายังมิให้ความสำคัญต่อตนเองแล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ผู้อื่นต้องการเช่นนี้ ต่อไปแม้แต่ตัวเองเจ้าก็จะปกป้องมิได้ แล้วจักปกป้องคนสำคัญได้เยี่ยงไร ? ” แม้อิ่งจือกล่าวกับอันหลิงเกอเช่นนั้น ทว่าประโยคเมื่อครู่คล้ายกำลังเอ่ยกับตัวเขาเองเช่นกัน
อันหลิงเกอได้ฟังก็ตกตะลึง นางคิดว่าอิ่งจือคงดูถูกสิ่งที่นางแสดงออกมาเมื่อครู่ แต่คำพูดของเขาแสดงความห่วงใยอย่างแท้จริง อันหลิงเกอจึงอดรู้สึกอบอุ่นหัวใจมิได้
อิ่งจือรู้สึกได้ถึงแววตาซาบซึ้งใจของอันหลิงเกอที่มองมาก็ทำตัวมิถูกไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติ อันหลิงเกอมองอิ่งจือที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้นางนึกถึงฟางหลิงซู่ขึ้นมาโดยมิรู้ตัวและหันไปมองเขาที่นอนอยู่ในโลงน้ำแข็ง
ฟางหลิงซู่ก็เคยอ่อนโยนกับนางเช่นนี้ ทว่าสุดท้าย…เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วดวงตาของอันหลิงเกอก็ฉายแววเศร้าโศกโดยมิรู้ตัว อิ่งจือรู้ดีว่านางกำลังคิดอันใดอยู่จึงได้แต่มองตามสายตาของนางไปเท่านั้น
ฟางหลิงซู่มีสีหน้าซีดขาว แม้มิได้ขยับกายแต่ไม่เหมือนคนที่ตายแล้ว นี่คงเป็นเพราะอุณหภูมิในโลงน้ำแข็งกระมัง อันหลิงเกอครุ่นคิดอยู่ภายในใจก่อนจะเงยหน้ามองอิ่งจือ
ครั้งนี้สายตาของทั้งคู่สบกันพอดี อันหลิงเกออยากหลบตาแต่ถูกเขาทักขึ้นเสียก่อน
“ข้ารูปงามเพียงนั้นเชียวหรือ ? ” อิ่งจือเอ่ยถามออกมายิ้มๆ ทว่าแววตาที่จ้องมองนางหาได้มีแววล้อเล่นไม่ สีหน้าของเขาทำให้อันหลิงเกออดสะท้านขึ้นมามิได้
“รูปงามมาก” อันหลิงเกอเอ่ยตามความจริงเพราะอิ่งจือนับว่ามีใบหน้าที่หล่อเหลามาก เป็นใบหน้าที่สตรีทุกคนได้เห็นล้วนพึงพอใจ กอปรกับรูปร่างที่ดูภูมิฐานก็ยิ่งทำให้เขาดูดีมาก
อิ่งจือมิรู้เลยว่าอันหลิงเกอได้พิจารณาเขาอยู่ในใจอย่างละเอียด
เมื่อลองย้อนไปแล้วอันหลิงเกอก็เรียกได้ว่ามีบุรุษรูปงามรายล้อมรอบกาย มิว่าจะเป็น มู่จวินฮาน ฟางหลิงซู่หรือแม้แต่คนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ล้วนดูดีอย่างหาตัวจับได้ยาก พูดก็พูดเถิดเพราะจ้าวหลานหยู่ก็ถือเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง ส่วนไป๋หลี่เฉินแม้ดูอันธพาลไปบ้าง ทว่าใบหน้าของเขาก็หล่อเหลามากเช่นกัน
“เหตุใดเจ้าต้องช่วยข้า ? ” แม้อันหลิงเกอคิดเตลิดไปไกลก็มิได้ลืมเรื่องสำคัญไป จากการไตร่ตรองตลอดหลายวันมานี้ทำให้นางคิดได้หลายเรื่องแต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต่อให้คิดเท่าไรก็ยังมิเข้าใจและหนึ่งในนั้นมีเรื่องของอิ่งจือรวมอยู่ด้วย
อิ่งจือมีความสามารถตั้งมากมายและสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นตัวอย่างได้ดี
แม้ว่าเขาสามารถเลือกผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพิษหนอนกู่มาช่วยได้ แต่เหตุใดเขาจึงเลือกนางแทน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อันหลิงเกอสงสัยมาโดยตลอดและวันนี้นางตามเขามาก็เพราะต้องการถามคำถามเหล่านี้
อิ่งจือรู้ดีว่านางต้องเอ่ยคำถามเหล่านี้ แต่คาดมิถึงว่าแค่เจอกันไม่กี่ครั้งนางก็เอ่ยถามเขาเสียแล้ว ทว่าเขาเองก็มิรู้ความรู้สึกของตนจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน
ตอนนี้อิ่งจือมิอาจบอกความสัมพันธ์อันแท้จริงระหว่างตนและมู่จวินฮานให้อันหลิงเกอรับรู้ได้ เพราะหากพูดออกไปแล้วนางอาจทนรับมิไหวก็ได้
“ข้าเคยรู้จักสตรีนางหนึ่ง” อิ่งจือเอ่ยขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมเล่าเรื่องที่เก็บซ่อนไว้ในใจให้ผู้อื่นฟัง
“สตรีคนนั้นเข้มแข็งเหมือนเจ้า แม้จำมิได้ว่านานเท่าไรแต่นางมักอยู่เคียงข้างข้าเสมอ” ดวงตาของเขาฉายแววปวดร้าวออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอเห็นสีหน้าเช่นนี้ของอิ่งจือ สตรีนางนั้นต้องพิเศษสำหรับเขามากแน่