พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 659 ระหว่างทั้งสองไม่มีอันใด
ตอนที่ 659 ระหว่างทั้งสองไม่มีอันใด
“มิใช่ เพียงแต่ข้า…” อันหลิงเกอเผชิญหน้ากับอิ่งจือและตกตะลึงจนพูดอันใดมิออกเพราะเมื่อวานนี้เขายังมีท่าทางน่าสงสารอยู่เลย เหตุใดวันนี้ถึงได้…
อันหลิงเกอเห็นเขาเป็นเช่นนี้จึงมิได้ตอบโต้ราวกับว่าไม่มีวิธีใดสามารถรับมือกับบุรุษตรงหน้าได้เลย
“เจ้ามีอันใดหรือ ? ” อิ่งจือขยับเข้าใกล้อีกนิด แม้แววตามิได้บ่งบอกว่ารักใคร่แต่เหมือนมีความปรารถนาบางอย่างซ่อนอยู่ อันหลิงเกอเห็นดังนั้นจึงทำตัวมิถูก
เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็มิอาจรู้ได้ที่นางทำตัวมิถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าอิ่งจือ เพราะเขาสามารถทำให้คนลุ่มหลงได้อย่างง่ายดาย
“ข้าไม่มีอันใด” อันหลิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เงยหน้าและแสร้งมองอิ่งจือนิ่ง ๆ ทั้งที่ตอนนี้หัวใจของนางเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมา การที่เขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ทำให้นางมิคุ้นเคยนัก
“สตรีเมื่อครู่เป็นของขวัญซึ่งเหล่าที่ปรึกษาของจวนอ๋องมู่มอบให้ข้า” อิ่งจือหัวเราะเล็กน้อยพลางมองอันหลิงเกอ เขาจ้องนางราวกับต้องการค้นหาบางอย่างภายในแววตาของนาง
“อืม” อันหลิงเกอแค่พยักหน้ารับรู้ หลังจากนั้นก็มิแสดงความคิดเห็นใดอีก อิ่งจือเหมือนมิพอใจการแสดงออกของนางจึงขยับเข้าใกล้นางอีกครั้ง
อันหลิงเกอเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ทว่าพอเขาขยับเข้ามาจริง ๆ นางก็ตกใจจนนิ่งไปเช่นเดิม ตอนนี้นางรู้สึกว่าใบหน้าของเขาและนางอยู่ห่างกันเพียงนิ้วมือเดียวเท่านั้น
อิ่งจือเห็นใบหน้าของอันหลิงเกอแดงเรื่อขึ้นมาในพริบตาและตอนนี้ร่างกายของนางถูกวงแขนของเขารัดไว้จนมิสามารถขยับตัวได้
ทั้งสองคนค่อย ๆ ขยับใกล้กัน ใกล้จนสามารถได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายและรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้
สถานการณ์เช่นนี้อันหลิงเกอรู้สึกว่าไม่เหมาะสมยิ่งนัก นางหายใจกระชั้นชิดและกำลังทำตัวมิถูก รู้ดีว่าตอนนี้ใบหน้าของนางคงแดงก่ำมากแน่
อิ่งจือมองท่าทางกระสับกระส่ายของอันหลิงเกอ มองนางที่กำลังหายใจแรงอยู่ในอ้อมแขนของตน มองแก้มทั้งสองข้างที่สุกปลั่ง มิรู้ว่าเหตุใดความรู้สึกที่มีต่อสตรีผู้นี้จึงเปลี่ยนไป
เมื่อคิดได้ดังนั้น อิ่งจือก็รีบผละออกทันที
ทว่าในขณะที่กำลังสับสนอยู่นั้น อิ่งจือก็มิทันระวังจึงเซหาอันหลิงเกอจนพากันล้มลงไปกองกับพื้น
อันหลิงเกอเห็นอิ่งจือกำลังจะลุกขึ้น และนางยังมิทันได้สติก็เห็นอิ่งจือล้มมาบนตัวนางอีกครั้ง
ร่างกายของอันหลิงเกอบอบบาง เมื่อถูกอิ่งจือกดไว้เช่นนี้จึงทำให้หายใจลำบากขึ้นมาชั่วขณะ
ส่วนอิ่งจือที่มองอันหลิงเกอใต้ร่างแล้วความรู้สึกที่มิเคยเกิดขึ้นมานานก็พลันบังเกิดในใจอีกครั้ง
“พวกเจ้ากำลังทำอันใดกันอยู่ ! ” ตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากทางเข้าถ้ำน้ำแข็ง อิ่งจือมิได้ลุกขึ้นยืนในทันที เขาเพียงหันมองไปทางปากถ้ำจึงพบว่าเป็นมู่จวินฮานที่ยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังก้าวเข้ามาหาทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ
“มิได้เป็นอย่างที่ท่านคิดเจ้าค่ะ ! ” อันหลิงเกอรีบอธิบาย นางอยากรีบผลักอิ่งจือออกไป แต่เขามิยอมขยับตัว เขาทำราวกับมองมิเห็นมู่จวินฮานเสียเยี่ยงนั้น
“เจ้ากลัวอันใดหรือ ? ” ตอนนั้นเองอิ่งจือได้ยื่นนิ้วไปปัดเบา ๆ ที่จมูกของอันหลิงเกอ การกระทำดูสนิทสนมจนเกินพอดีในสายตาของมู่จวินฮาน
มู่จวินฮานจึงรีบก้าวยาวๆ เข้าหาและยื่นมือไปให้อิ่งจือเพื่อหวังดึงเขาออกจากตัวของอันหลิงเกอ
อิ่งจือก็มิได้คิดที่จะฉกฉวยโอกาสอยู่แล้วจึงยอมลุกขึ้นเสียเอง
มู่จวินฮานเห็นว่าเขาออกห่างจากอันหลิงเกอแล้วจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เมื่อมองไปทางอันหลิงเกอแล้ว ในใจของมู่จวินฮานก็รู้สึกโกรธนางเหลือเกิน นางยอมอยู่ใต้ร่างของบุรุษผู้นี้ได้เยี่ยงไร หากเขามามิทันจักเกิดอันใดขึ้นระหว่างทั้งสอง
“จวินฮาน มันมิใช่อย่างนั้น…” แม้ตอนนี้อันหลิงเกอมิได้ใส่ใจความคิดของมู่จวินฮานมากเพียงนั้น แต่นางสนใจชื่อเสียงของตนมากกว่า หากนางมีความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกับบุรุษอีกคนก็ย่อมเป็นเรื่องไม่ดีต่อตัวนางเอง
“เราสองคนมิได้…” อันหลิงเกอรีบอธิบายอีกครั้ง แต่ชั่วขณะหนึ่งนางก็มิรู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไรดี นางมองไปทางอิ่งจืออย่างขอความช่วยเหลือและหวังว่าเขาจักช่วยพูดแทนนางบ้าง
แต่พอมู่จวินฮานเห็นทั้งสองคนส่งสายตาให้กัน ความโกรธก็ยิ่งปะทุรุนแรงขึ้น เขาคิดว่าทั้งสองกล้าเล่นหูเล่นตากันต่อหน้าอย่างเปิดเผยเหมือนมิสนใจการมีตัวตนอยู่ของเขาเลย
อันหลิงเกอที่ตอนนี้ยังมิรู้ว่ามู่จวินฮานกำลังเข้าใจผิดอยู่ก็ยังมองอิ่งจืออย่างขอความช่วยเหลือ ดวงตาเป็นประกายของนางทำให้อิ่งจือถึงขั้นตกตะลึงไปชั่วขณะ
แต่เมื่ออิ่งจือได้สติอีกครั้งก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของมู่จวินฮาน เขาได้แต่ลอบยิ้มเยาะออกมา ต่อให้มู่จวินฮานมิพูด เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายโมโหถึงขีดสุดแล้ว
“เมื่อครู่ข้ามิทันระวังจึงล้มลงไปและได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากท่านมิเชื่อก็คงช่วยมิได้” น้ำเสียงแข็งกระด้างของอิ่งจือราวกับจะบอกว่าหากเจ้ามิเชื่ออันหลิงเกอ ข้าก็ช่วยอันใดมิได้
มู่จวินฮานมองคนทั้งคู่ไปมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงหยุดมองแล้วเดินไปหาอันหลิงเกอก่อนจูงมือนางออกมาจากถ้ำน้ำแข็งทันที
อันหลิงเกอหันไปมองอิ่งจือครู่หนึ่ง เมื่อมู่จวินฮานเห็นดังนั้นก็ระงับความโกรธไว้มิไหวจึงลากนางให้เดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้อันหลิงเกอเข้าใจความคิดของมู่จวินฮานแล้วจึงมิหันไปมองอิ่งจืออีก นางแค่เดินตามมู่จวินฮานออกจากถ้ำโดยดี พอมู่จวินฮานเห็นนางมิได้อาลัยอาวรณ์อิ่งจืออีก ภายในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
อิ่งจือมองทั้งสองคนจากไปด้วยความรู้สึกมิพอใจเล็กน้อย ซึ่งความมิพอใจนี้คือไม่พอใจตนเองที่เสียการควบคุมเพราะอันหลิงเกอได้ถึงเพียงนี้
เมื่อครู่เขาอยากกดนางไว้ใต้ร่างมิให้นางจากไปไหน แต่สติสัมปชัญญะที่ยังพอมีอยู่ก็บอกเขาว่าตอนนี้นางเป็นสตรีของมู่จวินฮาน ซึ่งอีกฝ่ายคืออ๋องมู่ที่ผู้คนต่างนับถือและเขายังมิสามารถต่อกรได้ในเวลานี้
ฝ่ายมู่จวินฮานพาอันหลิงเกอกลับถึงจวนแล้วก็มิได้พูดตำหนินางแต่อย่างใด เขาแค่นั่งมองนางเงียบ ๆ
ผ่านไปนานเท่าไรมิทราบ จวบจนสาวใช้ยกอาหารเข้ามาอันหลิงเกอจึงได้รู้ว่ามู่จวินฮานเตรียมอาหารค่ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อครู่เขาคงเรียกหานางและหามิเจอจึงออกไปตามหาที่ถ้ำน้ำแข็ง
พอนึกถึงสาเหตุที่ตนไปถ้ำน้ำแข็ง อันหลิงเกอก็นึกถึงการกระทำที่สกปรกของเหล่าที่ปรึกษาขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้นางมิรู้ว่าควรบอกมู่จวินฮานดีหรือไม่
อันหลิงเกอเกิดความลังเลขึ้นมาชั่วขณะ หากมิพูดแล้วเก็บเอาไว้ในใจ นางต้องเสียใจภายหลังเป็นแน่
“ช่างเถิด มิเป็นไร” มู่จวินฮานคิดว่านางคงนึกถึงเรื่องเข้าใจผิดเมื่อครู่จึงเอ่ยปลอบนางเช่นนี้
เมื่ออันหลิงเกอได้ยินคำปลอบโยนของมู่จวินฮานก็ยิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นอีก นางจึงถลาเข้าไปซบที่อกของเขาพร้อมร้องไห้ออกมา มู่จวินฮานเห็นท่าทางเสียใจของนางก็สั่งให้คนมาเก็บอาหารออกไป