พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 670 เจ็ดเดือน
ตอนที่ 670 เจ็ดเดือน
ทั้งสองนั่งจมอยู่กับความคิดอยู่เนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดเอ่ยออกมาจนกระทั่งสาวใช้เข้ามาเตรียมอาหารค่ำ บรรยากาศจึงได้ผ่อนคลายขึ้น อันหลิงเกอรู้ว่าตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วจึงต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น
สาวใช้คนเมื่อครู่ก็ฉลาดมิน้อยเพราะรู้จักเตรียมอาหารรสอ่อนไว้ให้อันหลิงเกอ ระหว่างทานข้าวทั้งคู่พูดจากันมากขึ้น บรรยากาศอึดอัดจึงจางหายไปด้วย หลังมื้อค่ำมู่จวินฮานย้ำกับอันหลิงเกออีกมิกี่ประโยคก็เตรียมที่จะออกไป
เขามิได้กลับไปที่เรือนของเฝิงเยว่เอ๋อ แค่จะไปนอนนอกห้องเพราะเกรงว่าจักเผลอไปทับหน้าท้องของอันหลิงเกอเข้า แต่อันหลิงเกอรู้ว่าเขาคิดอันใดอยู่จึงยืนกรานให้เขาค้างในห้อง
อันหลิงเกอรู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสดีที่นางจักเหนี่ยวรั้งมู่จวินฮานไว้ นางไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ให้เฝิงเยว่เอ๋อแน่นอน
ยามค่ำคืนอากาศเย็นขึ้นมาก มู่จวินฮานจึงนอนมิหลับเกือบทั้งคืนเพราะต้องคอยห่มผ้าให้อันหลิงเกอตลอด อันหลิงเกอก็นอนหลับได้ไม่สนิทเท่าไรนักเพราะนางฝันร้ายจนเหงื่อออกเต็มไปหมด
ในความฝันของอันหลิงเกอเห็นว่าตนได้เสียบุตรไปและลิ้มรสความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง คล้ายมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมองนางอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด
ภาพสุดท้ายในความฝันเป็นเฝิงเยว่เอ๋อที่แสยะยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นราวกับปากจะฉีกออกจากกันด้วย
ความน่ากลัวนี้ทำให้อันหลิงเกอขนลุกจนตกใจตื่นขึ้นมา ส่วนมู่จวินฮานที่หลับมิสนิทก็รับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวของนาง เขาจึงรั้งนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ทำให้อันหลิงเกอขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่จวินฮาน ความฝันนี้ช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน นางกลัวว่าจะต้องเสียบุตรไปอีกครั้งจึงเล่าความฝันให้มู่จวินฮานฟัง
ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกมิสบายใจ แต่มู่จวินฮานยังคงปลอบอันหลิงเกอให้มิต้องคิดมาก อย่างไรตอนนี้เฝิงเยว่เอ๋อก็สติมิอยู่กับร่องกับรอย นางมิได้ออกมานอกเรือนจึงมิอาจทำร้ายอันหลิงเกอได้
แต่อันหลิงเกอรู้สึกว่าความไม่สบายใจนี้อาจมิได้มาจากเฝิงเยว่เอ๋อ นางมิแน่ใจว่าคนที่จับตามองอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้นเป็นผู้ใดกันแน่ นางเพียงรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวและมิสบายใจเท่านั้น รวมทั้งความเจ็บปวดแทบขาดใจจากการสูญเสียบุตรไป
วันรุ่งขึ้นมู่จวินฮานยังออกไปประชุมเช่นเดิม ส่วนอันหลิงเกออยู่แต่ในห้อง มิรู้ว่าเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่จึงทำให้นางขี้เซามากขึ้น
ตลอดทั้งวันเหมือนนางทำแค่ลุกมาทานข้าวจากนั้นก็นอนต่อ อันหลิงเกอหารู้ไม่ว่าที่นางเป็นเช่นนี้มิใช่เพราะนางตั้งครรภ์แต่เป็นเพราะเคล็ดวิชาของอิ่งจือที่วางไว้ต่างหาก
การที่อันหลิงเกออยู่ในสวนสมุนไพรแห่งนี้จะทำให้นางอ่อนแอและทำให้ร่างกายของนางดูดซับพลังชีวิตของบุตรในครรภ์มาใช้โดยมิรู้ตัว จากนั้นก็ถูกหนอนพิษกู่ช่วงชิงกำลังภายในไปอยู่ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางอ่อนเพลียตลอดเวลา แต่เรื่องน่ากลัวยิ่งกว่านั้นกำลังรอนางอยู่ อันหลิงเกอจะได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในความฝันและมิใช่เพราะเฝิงเยว่เอ๋อด้วย
วันเวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งเดือน ตั้งแต่วันที่อิ่งจือรับรู้ว่าอันหลิงเกอตั้งครรภ์ก็มิได้ไปเยี่ยมนางเลย เขามิรู้ว่าจะเผชิญหน้ากับนางเยี่ยงไร ทั้งนี้เพราะเขารู้ดีว่าเคล็ดวิชาส่งผลกระทบต่อร่างกายของนางรวมทั้งส่งผลต่อบุตรในครรภ์ของนางด้วย
ทว่าเขามิอาจบอกความจริงให้นางรู้ได้ หากบอกไปแล้วอันหลิงเกอก็ต้องโกรธแค้นและทำให้แผนการของเขาล้มเหลว เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขบกรามแน่นและต้องใจแข็งเข้าไว้ รอให้เรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้วทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น
แม้อิ่งจือรู้ว่าเคล็ดวิชานี้มิเพียงเป็นอันตรายถึงชีวิตของอันหลิงเกอเท่านั้น ยังอันตรายต่อบุตรในครรภ์ของนางด้วย แต่เขาก็มิได้ล้มเลิกแผนการและยังปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไป
จนตอนที่อันหลิงเกอตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือน อากาศในช่วงนี้กำลังร้อนระอุ แม้จวนอ๋องมู่เตรียมทุกอย่างไว้อย่างดีแต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผดเผาและทำให้อันหลิงเกอที่อยู่ในสภาพอากาศเช่นนี้รู้สึกไม่สบายตัวมาก
นางเอาแต่โทษว่าความรู้สึกมิสบายทั้งหมดเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว คิดว่าผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้วทุกอย่างคงจะดีขึ้น ทว่านางมิสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ หากอันหลิงเกอเอะใจขึ้นมาบ้างก็คงออกไปจากสวนแห่งนี้ตั้งนานแล้ว
สุดท้ายโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง วันนี้ขณะที่อันหลิงเกอกำลังนอนกลางวันอยู่ก็มิรู้ด้วยเหตุใดจู่ ๆ ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง ในอึดใจนั้นอันหลิงเกอก็คิดได้ว่าเมื่อตอนกลางวันเฝิงเยว่เอ๋อได้มาหานางที่นี่
มู่จวินฮานเป็นคนพาเฝิงเยว่เอ๋อมาเยี่ยมนางที่นี่เพียงเพื่อให้นางได้ผ่อนคลายบ้างเท่านั้น อันหลิงเกอจึงมิได้คิดอันใดมากนัก แต่ความเจ็บปวดรุนแรงในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
ช่างเหมือนในความฝันไม่มีผิดเพี้ยน ต่อมาทุกคนในจวนก็ถูกเรียกมารวมตัวกันเพื่อคอยดูอาการของอันหลิงเกอ ภายในกลุ่มคนเหล่านั้นมีคนแปลกหน้าปะปนอยู่ด้วยมากมาย แต่สุดท้ายสายตาของอันหลิงเกอก็หยุดนิ่งอยู่ที่อิ่งจือซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสุด
จากนั้นอันหลิงเกอก็หมดสติไป ตอนที่นางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเป็นระลอก
นางได้ยินเสียงมู่จวินฮานกำลังตำหนิใครสักคนด้วยความโมโหและได้ยินเสียงข้าวของตกแตก ได้ยินเสียงของสตรีที่กำลังร้องห่มร้องไห้
“เด็กคลอดก่อนกำหนด พระชายาออกแรงหน่อยเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอได้ยินเสียงของหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังบอกกับนาง หัวใจของนางเมื่อได้ยินดังนั้นจึงกระตุกขึ้นมาทันที คลอดก่อนกำหนดหรือ ? นางเพิ่งอายุครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้วจะคลอดออกมาได้เยี่ยงไร ?
แต่นางมิได้มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้อันหลิงเกออ่อนล้าเต็มทีจึงทำได้เพียงทำตามที่หมอตำแยคอยบอกเท่านั้น หลังออกแรงเบ่งอย่างแรงแล้วบริเวณท้องก็รู้สึกสบายขึ้นมาทันที มิได้เจ็บปวดเช่นก่อนหน้านี้อีก
แต่มิได้ยินเสียงเด็กร้องอย่างที่คิดเอาไว้ อันหลิงเกอฝืนกายลุกขึ้นก็เห็นหมอตำแยมองนางด้วยสีหน้าลำบากใจทว่ามิพูดอันใดออกมา หมอตำแยทั้งสองคนเหงื่อชุ่มไปทั้งกาย ห่อผ้าที่อยู่ในอ้อมกอดของหมอตำแยคงจะเป็นบุตรของนางนั่นเอง
“ส่งลูกมาให้ข้า” น้ำเสียงของอันหลิงเกอติดโมโหเล็กน้อย เด็กที่อยู่ในครรภ์มาเจ็ดเดือนยังตัวไม่ใหญ่มากจึงทำให้การคลอดมิได้ออกแรงมากนัก นางแค่รู้สึกเหนื่อยล้าเท่านั้น
หมอตำแยนิ่งงัน มิรู้ว่ากำลังตกใจหรือควรทำเยี่ยงไรดี แต่สุดท้ายหมอตำแยทั้งสองก็หันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็ก้มมองเด็กที่อยู่ในห่อผ้าอีกรอบโดยมิมีผู้ใดเอ่ยออกมาและไม่มีผู้ใดกล้าส่งเด็กให้อันหลิงเกอ
“ส่งลูกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ” เสียงนี้ของอันหลิงเกอดังก้องไปทั้งห้องจนทำให้หมอตำแยตกใจจนเหงื่อตกและทำให้มู่จวินฮานที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงของอันหลิงเกอเช่นกัน เขาจึงรีบผลักประตูเข้ามา มิได้สนใจคำห้ามปรามของเหล่าท่านหมอและเขาก็ได้รับบุตรมาจากหมอตำแยด้วยตัวเอง
“จวินฮาน ส่งลูกมาให้ข้า” น้ำเสียงของอันหลิงเกอแฝงไว้ด้วยความวิงวอน มู่จวินฮานยังมิทันได้เห็นหน้าบุตรก็รีบอุ้มไปที่ข้างกายของอันหลิงเกอทันที
เมื่อเห็นเพียงเด็กน้อยกำลังหลับตาและทั้งร่างมีเยื่อใสห่อหุ้มเอาไว้ อันหลิงเกอและมู่จวินฮานต่างก็ตกตะลึง ทว่าเพียงอึดใจเดียวอันหลิงเกอก็ได้สติก่อน สถานการณ์เช่นนี้นางรู้ดีเพราะมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่แล้ว นางจึงเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
แต่หากไม่มีผู้ใดวางแผนชั่วช้าใส่ บุตรของนางไม่มีทางเป็นเช่นนี้เด็ดขาด สิ่งที่บุตรของนางเป็นตอนนี้เรียกว่า ‘การปิดผนึก’ อย่างหนึ่ง
อันหลิงเกอค่อย ๆ เบาใจเพราะอย่างน้อยบุตรของนางก็มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่ยังมิตื่นขึ้นมาเท่านั้น