พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 692 ไปจากเขา
ตอนที่ 692 ไปจากเขา
บัดนี้อันหลิงเกอพยายามระงับความเกรี้ยวกราดเอาไว้ นางแค่อยากจัดการปัญหาเหล่านี้โดยเร็วเพื่อให้ได้มีเวลาอยู่กับมู่จวินฮานอีกสักพัก นางจึงมิต้องการเสียเวลาไปกับการโกรธแค้นคนเหล่านี้
“อันหลิงเกอ เจ้าอย่าอาศัยว่ารู้วรยุทธเล็กน้อยแล้วจะมารังแกพวกเราได้” กระนั้นก็ยังมีที่ปรึกษาคนหนึ่งมิได้คุกเข่าลง เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาสนับสนุนเขาแม้เพียงคนเดียว เพราะเมื่อเผชิญกับความตายทุกคนล้วนรักชีวิตกันทั้งนั้น
“รังแกเจ้า ? รังแกพวกเจ้าน่ะหรือ ? ข้ารังแกพวกเจ้าแล้วจะทำไม ตอนที่ข้ากลับเข้าจวนแห่งนี้อีกครั้ง พวกเจ้ามีผู้ใดดีต่อข้าบ้าง ? ”
อันหลิงเกอได้ยินคำพูดของที่ปรึกษาผู้นั้นก็รู้สึกขบขันยิ่งนัก
เมื่อนึกถึงเรื่องน่าเศร้ามากมายที่ได้เผชิญ นึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็ล้วนเกิดจากฝีมือของอีกฝ่ายทั้งสิ้น อันหลิงเกอจึงมิสามารถทำใจให้นิ่งได้และกำหมัดแน่น
“ข้ารังแกพวกเจ้าแล้วจะทำไม ! ” เมื่ออันหลิงเกอตวาดออกไปเช่นนั้นก็ได้ชักกระบี่และพุ่งตัวเข้าใส่พวกที่ปรึกษาทันที
อันหลิงเกอมิเคยคิดที่จะสังหารคนมาก่อน แต่พวกเขาก็บีบบังคับนางเองมิใช่หรือ ?
ทางด้านมู่จวินฮานเห็นภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมดจนมิสามารถเห็นว่าตอนนี้เกิดอันใดขึ้นบ้าง
ทว่าหลังจากที่ทุกอย่างสงบลงเขาจึงเห็นเพียงเสื้อคลุมสีขาวนวลราวกับแสงจันทร์ของอันหลิงเกอที่กลายเป็นสีแดงไปเสียแล้ว นางถอดเสื้อคลุมที่โชกไปด้วยโลหิตออกอย่างรังเกียจแล้วเดินตรงไปทางจวนอ๋องมู่
มู่จวินฮานเห็นด้านหลังของอันหลิงเกอก็เหมือนจะรู้แล้วว่านางคิดทำสิ่งใด
เพียงมินานอันหลิงเกอก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมนำร่างของฟางหลิงซู่มาด้วย
อันหลิงเกอวางร่างของฟางหลิงซู่ลงข้างมู่จวินฮาน ส่วนมู่จวินฮานในตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่า ฟางหลิงซู่ใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว
แม้มู่จวินฮานรู้สึกมิเต็มใจนัก แต่การที่เห็นว่าฟางหลิงซู่ใกล้ตื่นขึ้นมาก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะต่อไปก็ยังมีฟางหลิงซู่คอยปกป้องอันหลิงเกอ อย่างน้อยก็ทำให้เขาวางใจได้บ้าง
แต่อันหลิงเกอมิได้หยุดเพียงแค่นั้น เพราะนางเดินกลับไปทางจวนอ๋องมู่อีกครั้ง มู่จวินฮานที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้นย่อมมิรู้ว่านางคิดทำอันใดอีกจึงนั่งรออยู่เช่นนั้น
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ร่างกายของมู่จวินฮานก็เริ่มรู้สึกชาไปทั่ว ทำให้ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้บรรเทาลง แม้จะยังมิสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ตาม
ส่วนอันหลิงเกอที่เดินไปทางจวนอ๋องมู่ก็มาถึงประตูจวนแล้ว นางยืนมองอยู่อย่างนั้นพลางสาปแช่งมู่เหล่าหวางเฟยในใจ
นับแต่นี้ไปมู่เหล่าหวางเฟยต้องอยู่ในจวนที่ว่างเปล่าอย่างโดดเดี่ยว !
จากนั้นอันหลิงเกอก็ย้อนมาหามู่จวินฮาน ชายกระโปรงและเส้นผมของนางปลิวไปตามสายลมที่พัดผ่าน มือทั้งสองข้างยังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตของเหล่าที่ปรึกษา ในตอนนี้นางเหมือนมารร้ายก็มิปาน
นางเดินมาหามู่จวินฮานด้วยสีหน้าเย็นชา สภาพของนางตอนนี้จึงเหมือนเพิ่งต่อสู้กับจอมมารมาอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าแววตาของมู่จวินฮานไร้ความตำหนิ ตรงกันข้ามคือภายในใจของเขารู้สึกชื่นชมนางเสียด้วยซ้ำ
อันหลิงเกอทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการปกป้องบุตรเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็จะมีชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและไม่คิดสั้นหากเขาตายจากไปแล้ว
“เกอเอ๋อ” ใบหน้าของมู่จวินฮานแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มชื่นชม อันหลิงเกอรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังคิดเช่นไรเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาการปกป้องต้าโจวมิเพียงเป็นการปกป้องราษฎรแต่ยังเป็นการปกป้องบุตรของพวกตนด้วย
เดิมทีนางมิใช่คนโหดร้ายเช่นนี้เลย เพียงแต่ตอนนี้นางมีคนที่ต้องปกป้อง หากต้องสูญเสียมู่จวินฮานไปเช่นนี้นางก็จะเหลือแค่บุตรเท่านั้น
ทว่าเมื่อครู่เหล่าที่ปรึกษาชั่วช้าต้องการช่วงชิงบุตรของนางไปอย่างใจดำ ความผิดนี้จึงมิอาจให้อภัยได้ !
มู่จวินฮานกางแขนทั้งสองข้างออก จากนั้นอันหลิงเกอก็เดินเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขา มู่จวินฮานกอดนางไว้แน่นราวกับตอนนี้ระหว่างทั้งคู่เหลือเพียงความรักเท่านั้น
แม้ตอนนี้ร่างกายของอันหลิงเกอยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตทั้งยังเต็มไปด้วยไอสังหาร ทว่ามู่จวินฮานหาได้รับรู้ถึงมันไม่ บางทีเพราะเขาตั้งใจที่จะไม่รับรู้อันใดอีกก็เป็นได้เพราะคนที่รักคือสตรีตรงหน้านี้เท่านั้น เขาเข้าใจว่าเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้
นางทนทุกข์ทรมานอยู่ในจวนอ๋องมานานเกินไปและเป็นเขาเองที่ผิดต่อนาง
หากเลือกได้อีกครั้ง มิว่าเยี่ยงไร มิว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงได้อยู่กับนางก็เพียงพอแล้ว เขาจักขอให้ตนได้มีโอกาสปกป้องนางอีกสักครั้งและจะทำให้ดีที่สุด
“เกอเอ๋อ” สติของมู่จวินฮานเริ่มเลือนรางเต็มที เขารู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวคล้ายยื้อได้อีกมินาน แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่อยู่ในใจและยังมิได้บอกให้นางรับรู้
“เกอเอ๋อ ข้าผิดต่อเจ้า…ข้า…ขอโทษ เกอเอ๋อ หาก…หากเริ่มใหม่ได้ ข้า ข้าจะมิพาเจ้ามาที่นี่เด็ดขาด พวก…พวกเราไปใช้ชีวิตเยี่ยงคู่สามีภรรยาธรรมดา ดี…ดีหรือไม่ ? ”
น้อยมากที่มู่จวินฮานจะเอ่ยคำซาบซึ้งเช่นนี้ออกมา แต่ในเวลานี้เขามิต้องการพลาดโอกาสที่จะบอกนางไปแม้แต่อึดใจเดียว ทุกคำที่เอ่ยกับนางล้วนออกมาจากใจจริง อันหลิงเกอพยักหน้าส่วนน้ำตาก็รินไหลอย่างขื่นขมยิ่งนัก
“เกอเอ๋อ…จงดูแลลูกของเราให้ดีและมีชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อไปแทนข้าด้วย” เสียงของมู่จวินฮานแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนนางฟังมิได้ยินอีก แต่ดวงตาของเขาตอนนี้ยังมิได้หลับ ทว่าสติของเขากำลังจะดับลงเสียแล้ว
“จวินฮาน ! ” เสียงร้องของอันหลิงเกอน่าเวทนายิ่งนัก พริบตาเดียวก็มีฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก สายฝนเม็ดใหญ่สาดใส่ร่างทว่านางมิได้รับรู้อันใดอีกแล้ว เพียงกอดมู่จวินฮานเอาไว้แน่นเท่านั้น
“จวินฮาน ท่านมิเคย…มิเคยผิดต่อข้า” น้ำตาของอันหลิงเกอไหลลงมาผสมกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ มือที่บาดเจ็บของมู่จวินฮานคล้ายกำลังจะเน่าเปื่อย ภายใต้สายฝนที่เทลงมาเหมือนว่ามองเห็นถึงกระดูกของเขาได้อย่างชัดเจน
“จวินฮาน…” อันหลิงเกอร้องห่มร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปหมด นางพรมจูบใบหน้าของมู่จวินฮานอยู่อย่างนั้นมิหยุด ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาบัดนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด
อันหลิงเกอกอดเขาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงร้องของบุตร นางจึงพบว่าตอนนี้มู่เยว่ได้เปียกปอนไปหมด อันหลิงเกอจึงรีบพาลูกไปวางไว้ใต้ร่มไม้
จากนั้นนางก็หันมากอดมู่จวินฮานเอาไว้โดยมิคิดปล่อยมือแม้แต่อึดใจเดียว ตอนนี้ร่างของมู่จวินฮานซบอยู่ในอกของนางซึ่งลมหายใจของเขาอ่อนแรงยิ่งนัก
“จวินฮาน” อันหลิงเกอยังคงพร่ำเรียกชื่อของเขามิหยุด นางไม่เชื่อและไม่อยากเชื่อว่า เขากำลังจะจากนางไปเช่นนี้
ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็รู้สึกเหมือนเห็นคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายฝน สตรีที่ทำให้นางไร้ซึ่งความสุขมาเนิ่นนานแต่ก็เหมือนภาพมายาที่ทำให้นางได้เห็นมู่เหล่าหวางเฟยในเวลานี้
มู่เหล่าหวางเฟยเดินฝ่าสายฝนเข้ามาหาคนทั้งคู่ เสียงที่ฟังเลื่อนลอยนั้นอันหลิงเกอรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
“เขายังมิตายและยาถอนพิษอยู่ที่ข้า แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะไปจากที่นี่ ! ” เสียงของมู่เหล่าหวางเฟยไกลออกไปเรื่อย ๆ ร่างเมื่อครู่ก็เหมือนภาพมายาที่พริบตาเดียวก็มลายหายไป
ฝนเทลงมาและบดบังสายตาของอันหลิงเกอเอาไว้จนมิสามารถมองเห็นภาพเบื้องหน้าได้อีก รู้เพียงว่ามู่เหล่าหวางเฟยและฟางจูยังมิได้จากไปไหน
อันหลิงเกอหาได้มีความลังเลไม่ พริบตาเดียวนางจึงหลับตาลงก่อนจะปล่อยมู่จวินฮานให้นอนลงกับพื้น
พร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น หึ ให้นางไปจากเขาอย่างนั้นหรือ ?
ตอนนั้นก็มีมือคู่หนึ่งมาจากไหนมิทราบแล้วคว้าไหล่ของนางพร้อมเขย่าอย่างแรง นางจึงพยายามลืมตามอง ทว่าสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนักก็ทำให้มิสามารถลืมตามองคนตรงหน้าได้เลย