พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 697 งานเลี้ยงของฝ่าบาท
ตอนที่ 697 งานเลี้ยงของฝ่าบาท
ดูเหมือนงานเลี้ยงในครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ได้บรรลุเป้าหมายของพระองค์ เนื่องจากทั้งไป๋หลี่เฉินและฟางหลิงซู่ต่างก็ยังมิได้เลือกคนที่ตนชอบจากสตรีเหล่านี้เลย
สายตาของเขาทั้งสองเอาแต่มองไปที่อันหลิงเกอ นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้สังเกตได้อย่างชัดเจน
แม้เป็นเช่นนี้ท่าทีของฮ่องเต้ก็มิได้ดูผิดหวัง ทว่าทรงแย้มพระโอษฐ์เหมือนเป็นไปตามที่พระองค์ปรารถนาแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ทั้งสองคนก็คือศัตรูของมู่จวินฮานด้วย
อากัปกิริยาของฮ่องเต้ย่อมอยู่ในสายตาของคนที่มีความรู้สึกไวทั้งสี่อยู่แล้ว พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าฮ่องเต้ดำริอันใดอยู่ รู้ว่ามีพระประสงค์จะใช้อันหลิงเกอเพื่อให้พวกเขาแตกคอและเป็นศัตรูกันเอง
บุรุษทั้งสามที่นั่งอยู่ตรงนี้ มิว่าจะตำแหน่งหรืออำนาจล้วนไม่มีมีผู้ใดเทียบได้
แค่คนใดคนหนึ่งก็สามารถขัดขวางอีกคนเอาไว้ได้แล้ว การที่พวกเขามีความสัมพันธ์เช่นนี้ พระองค์ก็มิต้องหวาดระแวงว่าคนใดคนหนึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่อต้าโจวอีก
ส่วนอันหลิงเกอก็รับรู้ถึงแผนการในครั้งนี้ของฮ่องเต้เช่นกัน รู้ว่าในสายพระเนตรเห็นนางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นมิว่าอย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องใช้ประโยชน์จากนางให้จงได้ ทั้งบังเอิญที่บุรุษสามคนต่างก็มีใจให้นางเหมือนกัน
ส่วนอันอิงเฉิงก็เดาความคิดของฮ่องเต้ได้ ทำให้เขาอดเป็นห่วงอันหลิงเกอมิได้เพราะนางเป็นบุตรีที่เขารักที่สุดและเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเขามานาน จักมิให้เขาเป็นห่วงนางได้เยี่ยงไร
ทว่าเมื่อมองไปที่อันหลิงเกอและมู่จวินฮานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็เหมือนมิได้กังวลใด ๆ ทั้งสิ้น เขาจึงอดสงสัยมิได้ว่าทั้งสองรู้ถึงแผนการของฮ่องเต้หรือไม่ รู้สถานการณ์ของอันหลิงเกอหรือเปล่า ?
แท้ที่จริงแล้วอันอิงเฉิงกังวลมากเกินไป เพราะก่อนที่จะมาที่นี่ สตรีที่ฉลาดเช่นอันหลิย่อมคาดเดาแผนการของฮ่องเต้ได้แล้ว
สิ่งเดียวที่คาดมิถึงมีเพียงฟางหลิงซู่ที่นิสัยเปลี่ยนไปมากเท่านั้น
หลังงานเลี้ยงจบลง อันหลิงเกอและมู่จวินฮานก็นั่งรถม้าคันเดียวกันเพื่อกลับจวน ตลอดทางใบหน้าของมู่จวินฮานเคร่งขรึม เขามิได้เอ่ยสิ่งใด อันหลิงเกอเองก็มิรู้ว่าควรจะกล่าวเช่นไรจึงได้แต่นั่งเงียบ
“พระชายาของข้าช่างเป็นที่ชื่นชอบเสียจริง” มู่จวินฮานขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะมองหน้าอันหลิงเกอ มิรู้ว่าเหตุใดตอนนี้ความโกรธจึงได้ปะทุออกมา
“เจ้ามีเพียงข้าคนเดียวใช่หรือไม่ ! ” มู่จวินฮานเอ่ยถามแล้วก้มหน้าลงเพื่อกัดที่กระดูกไหปลาร้าของอันหลิงเกออย่างแรงจนนางอดร้องออกมาด้วยความเจ็บมิได้ มู่จวินฮานในตอนนี้จ้องนางเพื่อบังคับให้พูดออกมา
มิทันที่นางจะได้เอ่ยอันใด เสียงที่นุ่มนวลของอันหลิงเกอก็ถูกมู่จวินฮานปิดกั้นเอาไว้ในลำคอเสียแล้ว จากนั้นเสียงร้องหยาบโลนก็เกิดขึ้นภายในรถม้า
ตอนนี้อันหลิงเกอถูกมู่จวินฮานรังแกอย่างเอาแต่ใจจนร่างกายของนางกระแทกเข้ากับผนังรถม้าจนเจ็บระบมไปหมด แต่มู่จวินฮานหาได้หยุดการกระทำที่เอาแต่ใจนั้นไม่
ตอนนี้มู่จวินฮานราวกับเป็นคนละคนก็มิปาน เมื่อความปรารถนาที่ต้องการจะครอบครองของบุรุษปะทุขึ้นก็มิได้สนใจสิ่งอื่นใด
กระทั่งรถม้าได้หยุดลงตรงหน้าจวนอ๋อง ขณะที่อันหลิงเกอจะก้าวลงจากรถม้า นางก็ทรงตัวไม่มั่นคงจนเกือบล้ม มู่จวินฮานที่อยู่ด้านหน้าของอันหลิงเกอจึงใช้แขนข้างหนึ่งประคองนางเอาไว้และอุ้มขึ้นก่อนจะพาเข้าในจวน
ตลอดทางเดินนั้นมิว่าเป็นองครักษ์หรือสาวใช้ที่พบเห็นต่างก็พากันคุกเข่าเพื่อคำนับและมิกล้ามองหน้าของอันหลิงเกอกับมู่จวินฮานแม้แต่คนเดียว
ก่อนหน้าทุกคนในจวนรู้เพียงว่าอันหลิงเกอมิเป็นที่โปรดปรานของมู่เหล่าหวางเฟย แต่ตอนนี้ดูท่าความสัมพันธ์ของท่านอ๋องกับพระชายาจะดีขึ้น และมู่เหล่าหวางเฟยก็มิได้อยู่ที่จวนแล้ว ทุกคนจึงก็มิกล้าละเลยนางอีก
เดิมทีทัวป๋าถิงฟางตั้งใจออกมาต้อนรับมู่จวินฮานแต่เห็นภาพนั้นเข้าพอดี นางจึงมิกล้าออกไปและทำได้เพียงกระทืบเท้าพลางเดินจากไปเท่านั้น
ทั้งที่ภายในใจก็นึกถึงแต่ภาพที่มู่จวินฮานอุ้มอันหลิงเกอไว้แนบอก พวกเขามีความสุขกันถึงเพียงนี้แล้ว ตนหาได้มีความหมายอันใดไม่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงทำให้ทัวป๋าถิงฟางรู้สึกมิพอใจมาก
แม้นางรู้ดีอยู่แล้วว่าการที่ฮ่องเต้ประทานนางและทัวป๋าหลิวลี่ให้มู่จวินฮานมีจุดประสงค์ก็เพื่อต้องการควบคุมพฤติกรรมของมู่จวินฮาน ทว่าตอนนี้นางมิสามารถทำสิ่งนั้นได้เลย
ทางด้านมู่จวินฮานที่อุ้มอันหลิงเกอจนมาถึงหน้าประตูเรือนก็ใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก ปี้จูที่กำลังจัดเตียงอยู่ในห้องเห็นดังนั้นก็รีบถอยออกมาและทิ้งทั้งคู่เอาไว้โดยมิได้รบกวนอีก
เมื่อครู่ตอนอยู่บนรถม้าคล้ายยังมิถึงอกถึงใจ บัดนี้เมื่อเห็นริมฝีปากสีแดงเรื่อของอันหลิงเกอ เขาจึงประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ส่วนมือทั้งสองข้างก็เริ่มเคลื่อนไหวและตีตราลงบนร่างของนาง
ส่วนทัวป๋าถิงฟางเดิมทีคิดว่ามู่จวินฮานแค่ส่งอันหลิงเกอเสร็จแล้วจะมาหาตน คาดมิถึงว่าจวบจนฟ้ามืดไปจนฟ้าสางอีกครั้ง มู่จวินฮานก็ยังมิออกจากเรือนของอันหลิงเกอและมิได้ให้องครักษ์มาแจ้งข่าวแต่อย่างใด
อย่างไรอันหลิงเกอก็เป็นถึงพระชายาเอก นางจึงมิกล้าไปก่อเรื่องที่นั่นและทำได้เพียงขบกรามแน่นพร้อมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
ในใจของนางรู้สึกแค้นเคืองอันหลิงเกอยิ่งนัก เดิมที่นางก็เป็นคนที่ทะนงตนอยู่แล้ว แม้เป็นเพียงองค์หญิงนอกวังหลวงแต่ก็ได้รับการนับถือและความชอบจากผู้คน บัดนี้เมื่อมาอยู่จวนอ๋องมู่แล้ว มู่จวินฮานไม่ชายตามองนางเสียด้วยซ้ำ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความแค้นที่ทัวป๋าถิงฟางมีต่ออันหลิงเกอก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
นางรู้สึกมิพอใจอย่างยิ่งและมิเชื่อว่าตนจะแพ้ให้แก่สตรีที่บอบบางเยี่ยงอันหลิงเกอ
แม้ทัวป๋าถิงฟางมีรูปร่างอวบอิ่มแต่มิอ้วน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนเป็นลักษณะที่บุรุษชื่นชอบจึงทำให้นางมิเชื่อว่าจะแพ้ให้แก่อันหลิงเกอ !
แม้พ่ายแพ้ให้แก่ทัวป๋าหลิวลี่ก็ยังมิเท่าใด แต่จักแพ้ให้สตรีแห่งต้าโจวคนนี้ได้หรือ !
…
วันรุ่งขึ้น มู่จวินฮานตื่นขึ้นมาแต่เห็นอันหลิงเกอยังหลับสนิทอยู่ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นแต่มิได้กล่าวอันใดออกมา แค่เปลี่ยนชุดและออกไปจากห้องเท่านั้น
เมื่อคืนอันหลิงเกอเหนื่อยล้ามากจึงหลับใหลจนกระทั่งยามอู่ ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นปี้จูกำลังเตรียมอาหารให้และใบหน้าที่เขินอายของอีกฝ่ายทำให้อันหลิงเกอรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย เรื่องเมื่อวานนี้ปี้จูคงรู้แล้วกระมัง
“พระชายา ลุกขึ้นมาทานข้าวเถิดเจ้าค่ะ” หลังปี้จูจัดอาหารเสร็จก็รีบออกไปทันทีเพราะกลัวว่าหากอยู่กับอันหลิงเกอต่อก็คงจะอายจนหน้าแดงก่ำและรู้ดีว่าท่าทางของตนคงทำให้อันหลิงเกอทานมิลงเป็นแน่
เมื่อเห็นปี้จูรู้ใจถึงเพียงนี้ อันหลิงเกอก็ได้แต่ส่ายหน้า หลังจากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมา แต่เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อคืนนางก็อดรู้สึกอายขึ้นมามิได้ แม้หลายวันมานี้นางและมู่จวินฮานต่างก็ใกล้ชิดกัน ทว่าเมื่อคืน…
มู่จวินฮานราวกับโดนมนต์เสน่ห์ก็มิปานเพราะหลังจากเรื่องเมื่อคืนจนถึงวันนี้ยามประชุมราชสำนัก เขาก็ยังนึกถึงภาพของอันหลิงเกอมิหยุด
ทำให้ทันทีที่เลิกประชุมและกลับถึงจวนเขาก็รีบตรงไปที่เรือนฝูหลิง เมื่อเห็นอันหลิงเกอกำลังทานข้าวอยู่จึงเดินเข้าไปหา
เมื่อมู่จวินฮานเดินเข้ามาอย่างกะทันหันก็ทำให้อันหลิงเกอตกใจและรีบลุกขึ้นยืน
“เหตุใดมิรอข้ามาทานข้าวพร้อมกัน ? ” น้ำเสียงของมู่จวินฮานไร้แววของการตำหนิ เขาเพียงเอ่ยขึ้นมาเท่านั้น ก่อนจะเรียกปี้จูให้นำชามและตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด เขามิได้รังเกียจอาหารที่นางทานแล้วจึงลงมือทานไปพร้อมนาง
การตกแต่งภายในห้องของอันหลิงเกอช่างเรียบง่ายมิได้เหมือนห้องของพระชายาเอกเอาเสียเลย ทว่ามิสูญเสียความสง่างามไปแม้แต่น้อย