พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 705 งานอดิเรก
ตอนที่ 705 งานอดิเรก
ฟางหลิงซู่มิได้พาอันหลิงเกอกลับหอพิษกู่ แต่พานางไปยังโรงน้ำชาที่เมื่อก่อนทั้งคู่ชอบมานั่งฟังนิทานด้วยกัน
ที่นี่ยังคงเดิมและนักเล่านิทานยังพูดจาอย่างฉะฉาน
ทว่าตอนนี้อันหลิงเกอไร้กะจิตกะใจที่จะฟังนิทาน เพราะนางแค่นั่งใจลอยอยู่เช่นนั้นมิได้เอ่ยอันใดแม้แต่คำเดียว
ฟางหลิงซู่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังเสียใจจึงพามาที่นี่เพื่อหวังว่าพอจะช่วยได้บ้าง
เพราะอันหลิงเกอมักชอบเก็บความรู้สึกไว้ในใจ นางมิชอบแสดงความเจ็บปวดออกมาแต่ในตอนนี้นางดูอ่อนแอและเปราะบางยิ่งนัก
ฟางหลิงซู่มองอันหลิงเกอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วอยากกอดนางเอาไว้ อยากปลอบนางได้อย่างชอบธรรมแต่ก็มิอาจทำได้ เขากลัวว่าจะทำให้นางระแวงและกลัวว่านางจะปฏิเสธ
อันหลิงเกอรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด นางนึกถึงครรภ์ของทัวป๋าหลิวลี่และนึกถึงบุตรของตนที่ตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นึกถึงท่าทางเย็นชาที่มู่จวินฮานมีต่อนาง แต่อ่อนโยนกับทัวป๋าหลิวลี่ถึงเพียงนั้น
อันหลิงเกอรู้สึกขมขื่น เขาแบ่งแยกความรักและความเกลียดไว้อย่างชัดเจนเชียวหรือ ?
เขาเย็นชาและไร้ความรู้สึกต่อนางถึงเพียงนี้ แต่มีท่าทีอ่อนโยนให้คนอื่น ช่างแตกต่างเสียเหลือเกิน
เวลานี้อันหลิงเกอรู้สึกว่าตนช่างน่าขัน นางต้องการกลับไปหาเขาตลอด แต่เขาปฏิเสธและขับไล่นางทันทีที่ได้พบหน้า
ฟางหลิงซู่เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่นของอันหลิงเกอแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของนางได้ดี ตัวเขาเองก็มิได้ต่างกันเท่าไรนัก
ร้องขอแต่มิได้ รักแต่ต้องจากลา สิ่งที่อันหลิงเกอประสบอยู่ตอนนี้ เขาก็เคยประสบมาก่อนจึงรู้ดีว่าภายในใจของนางทรมานมากเพียงใด
แม้เขาสงสารมากเพียงใด แต่ก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป
หากมิใช่เพราะเขาทำเรื่องเหล่านั้น อันหลิงเกอก็คงมิได้อยู่ข้างกายเช่นในตอนนี้ หากเขามิทำก็เกรงว่าคงพรากจากนางไปแล้วไม่มีโอกาสได้พบกันอีก
ฟางหลิงซู่ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว ทว่าเรื่องความรักใครบ้างมิเห็นแก่ตัว ?
อันหลิงเกอยังมิรู้ว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะฟางหลิงซู่ ตรงกันข้ามคือนางยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย เรื่องในวันนี้เป็นเพราะนางจึงทำให้ฟางหลิงซู่ถูกกระทำที่จวนอ๋องมู่ไปพร้อมกับนางด้วย
อันหลิงเกอมิคิดว่ามู่จวินฮานจะทำกับตนเช่นนี้และยิ่งคิดมิถึงว่าทัวป๋าหลิวลี่จะตั้งครรภ์ มีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นมากมายทำให้นางตั้งรับมิทันจนตอนนี้แทบหายใจมิออก
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดของอันหลิงเกอแล้ว ฟางหลิงซู่ก็เจ็บปวดมิแพ้กัน แต่เขาก็ไม่อาจใจอ่อน แม้สงสารแต่ก็รู้ว่ามิอาจปล่อยให้ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า บัดนี้อันหลิงเกอรู้สึกผิดหวังในตัวมู่จวินฮานแล้ว แค่เขาพยายามอีกนิด นางก็จะสามารถละทิ้งมู่จวินฮานได้อย่างแท้จริง !
จากนั้นอันหลิงเกอและฟางหลิงซู่ก็อยู่ข้างนอกจนฟ้ามืดจึงได้กลับหอพิษกู่
หลังผ่านการใคร่ครวญมาตลอดช่วงบ่าย อันหลิงเกอก็เข้าใจความคิดของมู่จวินฮานว่าในเมื่อเขาไม่หย่าแต่ไม่ให้นางอยู่ที่จวนอ๋องมู่อีก เหตุผลเดียวก็เพราะฐานะของนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนนางก็ยังเป็นพระชายาเอกของเขาอยู่
เดือนหน้าจักมีงานฉลองในวัง ดูท่าแล้วมู่จวินฮานต้องพานางไปด้วย หลังจากนี้มิว่างานเลี้ยงน้อยใหญ่ก็จะไม่มีที่สำหรับทัวป๋าหลิวลี่อยู่ดี
มิรู้เพราะเหตุใดจู่ ๆ อันหลิงเกอก็รู้สึกเคียดแค้นทัวป๋าหลิวลี่ขึ้นมา นางไม่มีทางปล่อยให้มู่จวินฮานถูกแย่งไปเช่นนี้หรอก !
ฟางหลิงซู่ก็รับรู้ถึงแรงขับเคลื่อนทั้งหมดของอันหลิงเกอ ไม่เพียงแต่ความรักที่มีต่อมู่จวินฮานแล้วยังมีคำว่าศักดิ์ศรีคอยผลักดันอีกด้วย
เขาจักรอจนกว่าอันหลิงเกอถูกทำร้ายซ้ำ ๆ และเจ็บปวดจนถึงที่สุด ตอนนั้นนางก็จะเข้าใจว่ามู่จวินฮานมิใช่ตัวเลือกดีที่สุดสำหรับนาง
ความจริงแล้วฟางหลิงซู่หารู้ไม่ว่าระหว่างการแก้แค้นวันแล้ววันเล่านั้น ความรู้สึกที่ตนมีต่ออันหลิงเกอก็เลวร้ายขึ้นทุกวัน และเขาสูญเสียความเป็นตัวเองไปเพื่อการแก้แค้นมู่จวินฮาน
มินานช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและเป็นไปตามคาดว่าพอถึงวันที่มีงานเลี้ยง มู่จวินฮานก็มาที่หอพิษกู่เพื่อรับอันหลิงเกอกลับจวน
อันหลิงเกอเข้าใจการกระทำของมู่จวินฮานดีแต่ก็หาได้ปฏิเสธไม่ เพราะนางอยากให้ทัวป๋าหลิวลี่ได้เห็นว่าแม้ตั้งครรภ์ แต่คนที่ได้เชิดหน้าชูตาอยู่เคียงข้างมู่จวินฮานและเป็นตัวจริงมีเพียงนางเท่านั้น
…
เช้าวันต่อมา ทั้งคู่เดินทางเข้าวังตั้งแต่งานเลี้ยงยังมิเริ่ม หลังจากนั้นก็ได้พักผ่อนอยู่พักหนึ่งก่อนจะไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ในงานเลี้ยงเหล่าขุนนางคนสำคัญและตระกูลมีชื่อเสียงต่างก็มารวมตัวกัน มองแล้วคงมิใช่งานเลี้ยงธรรมดา
“รอดูเถิด”
อันหลิงเกอมิเข้าใจความหมายของมู่จวินฮาน แต่จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าทั้งสองคนได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของงานเลี้ยงเสียแล้ว ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
และผู้ที่ปรากฏตัวต่อมายิ่งเป็นเครื่องยืนยันความคิดของอันหลิงเกอได้ดี เพราะนางเห็นทัวป๋าหลิวลี่ที่กำลังท้องโตอยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย
ตอนนี้ทัวป๋าหลิวลี่มีท่าทางอ่อนแอ มองแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
แต่อันหลิงเกอมิเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมาปรากฏตัวที่นี่ และมิเข้าใจว่าเหตุใดมู่จวินฮานจึงพามาด้วย
ตามหลักแล้วงานเลี้ยงเช่นนี้จะมีเพียงชายาเอกเท่านั้นที่มาได้ แต่บัดนี้ทัวป๋าหลิวลี่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย
ฟางหลิงซู่ก็เหมือนจะเห็นถึงผิดปกติ เขาจึงรีบมองหาอันหลิงเกอและมู่จวินฮานทันที
“เจ้าจะพูดเองหรือให้ข้าพูดแทน” มู่จวินฮานพาอันหลิงเกอมาที่สวนด้านหลัง ก่อนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเย็นชาที่มิอาจปิดบังได้
ทว่ามีความเสียใจไหววูบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“พูดอันใด ? ” ตอนนี้อันหลิงเกอยังมิเข้าใจจึงย่อมไม่รู้ว่ามู่จวินฮานเอ่ยเรื่องใดกันแน่ นางจึงเอ่ยถามเช่นนี้
“หากเจ้าพูดเองก็ยังรักษาชื่อเสียงเอาไว้ได้ เนื่องด้วยพระชายารองตั้งครรภ์จึงตั้งใจหลีกทางให้เจ้า แต่หากให้ข้าเป็นคนพูดก็เกรงว่าเรื่องฉาวโฉ่ของเจ้าคงปิดไว้ไม่มิดเสียแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของมู่จวินฮานแฝงไว้ด้วยความข่มขู่
อันหลิงเกอหาได้มีความหวาดกลัวไม่ นางเงยหน้ามองเขา แววตาของนางกระจ่างใสไร้ความร้อนตัวอันใด แต่นางรู้ว่าหากมู่จวินฮานต้องการหย่าก็จะต้องโยนความผิดมากมายมาให้นางเป็นแน่
“ทุกเรื่องต้องมีหลักฐาน และการยกชายารองขึ้นเป็นชายาเอกเดิมทีก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ท่านอ๋อง ท่านลองชั่งน้ำหนักเอาเองแล้วกัน ! ” น้ำเสียงของอันหลิงเกอแม้สั่นเครือแต่ก็แฝงไว้ด้วยการข่มขู่
มู่จวินฮานคาดมิถึงว่านางจะกล้ายกเหตุผลเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้เขาเองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน
ขณะนี้ฟางหลิงซู่ที่อยู่ด้านหลังจึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสองอย่างชัดเจนและคิดว่าบางทีอันหลิงเกอคงถึงเวลาไปจากจวนอ๋องมู่ตลอดกาลเสียที
“อ๋องมู่ ท่านจะหย่ากับนางหรือ ? ” ทันใดนั้นเสียงของฟางหลิงซู่ก็ดังทำลายความเงียบในสวน อีกทั้งน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการถากถางจึงเป็นเหตุใหญ่ทั้งสองหันไปมองแล้วพบว่าฟางหลิงซู่กำลังก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่มู่จวินฮานและอันหลิงเกอมิอาจคาดเดาความคิดได้