พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 707 สมควร
ตอนที่ 707 สมควร
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรท่าทางของทัวป๋าหลิวลี่ เกรงว่าสิ่งที่นางจะกล่าวย่อมมิใช่เรื่องดีจึงสั่งให้เหล่านางกำนัลออกไปรวมถึงพระสนมทั้งหลายด้วย เวลานี้ในท้องพระโรงจึงเหลือเพียงฮ่องเต้ ทัวป๋าหลิวลี่ อันหลิงเกอและมู่จวินฮาน
ทว่าตอนนี้อันหลิงเกอยังตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารราวกับมิเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า จนเวลาผ่านไปพักใหญ่นางจึงวางถ้วยและตะเกียบลงอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้ามองไปกลางท้องพระโรง
“ทูลฝ่าบาท เป็นหม่อมฉันที่เสียมารยาทเองเพคะ ขนาดนี้แล้วยังมิรู้ว่างานเลี้ยงเสร็จสิ้น หืม ? ชายารอง เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่เล่า ? ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้ว อันหลิงเกอมักแสดงออกว่าเป็นคนจิตใจดีเสมอ อีกทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าฟังพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
อันหลิงเกอรู้ว่าเมื่อครู่ฮ่องเต้แสร้งจำทัวป๋าหลิวลี่ไม่ได้ต่างหาก เห็นได้ชัดว่าพระองค์รักหน้าตามากเพียงนี้ย่อมมิต้องการให้ผู้อื่นได้รู้ว่าพระองค์ส่งคนเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องมู่
แต่การที่ทัวป๋าหลิวลี่ก่อเรื่องเช่นนี้ ทุกคนย่อมคิดว่าฮ่องเต้ตั้งพระทัยเรียกนางมาจากแคว้นชิงเยว่เพื่อจัดการอ๋องมู่ ความคิดเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก พระองค์จึงทอดพระเนตรทัวป๋าหลิวลี่เชิงตำหนิ
ส่วนทัวป๋าหลิวลี่รู้ว่าตนเสียมารยาท แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้ตั้งครรภ์ทายาทของมู่จวินฮานอยู่จึงมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าลงโทษ นางจึงเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ทูลฝ่าบาท เนื่องจากพระชายาเอกขาดคุณธรรม ท่านอ๋องจึงเตรียมหย่าขาดจากนางเพคะ” เสียงของทัวป๋าหลิวลี่สะท้อนก้องอยู่ในท้องพระโรงเป็นเวลาเนิ่นนานแต่หามีผู้ใดเอ่ยออกมาไม่
เมื่อครู่มู่จวินฮานเห็นทัวป๋าหลิวลี่ก้าวออกมาก็รู้ว่านางต้องข่มอารมณ์มิอยู่เป็นแน่จึงหันไปมองอันหลิงเกอที่ยังมีท่าทีสบาย ในใจจึงคิดได้ว่าความจริงแล้วอันหลิงเกอเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาเอกมากกว่าอีกฝ่าย
“พระชายาเอกลอบคบชู้กับบุรุษอื่นจนถึงขั้นมีทายาทด้วยกัน มิทราบว่าตามกฎของต้าโจวแล้วควรจัดการเช่นไรเพคะ ! ” น้ำเสียงของทัวป๋าหลิวลี่ก้องกังวาน หาได้สนใจสีหน้าและท่าทางของมู่จวินฮานและยังคงเอ่ยต่อไป
อันหลิงเกอได้ยินก็แค่หัวเราะออกมาแต่มิได้เอ่ยสิ่งใด ทั้งยังนั่งฟังอยู่ตรงนั้นโดยไม่ร้อนตัวเพราะมิเคยทำเรื่องที่ผิดประเพณีกับผู้ใดทั้งนั้น ไยต้องกลัวด้วยเล่า
“บังอาจ ! เจ้าเป็นเพียงชายารองแต่กล้าใช้อุบายเพื่อใส่ร้ายพระชายาเอกเชียวหรือ”ประโยคนี้มิใช่ฮ่องเต้ตรัสออกมา แต่เป็นมู่จวินฮานที่รีบยืนขึ้นเพื่อขอประทานอภัย
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสั่งสอนนางมิเข้มงวดจึงเกิดเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ขึ้น หวังว่าฝ่าบาทจะนึกถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างต้าโจวและชิงเยว่ โปรดละเว้นนางสักครั้งแล้วกระหม่อมจะสั่งสอนนางให้มากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป มู่จวินฮานจึงรีบเอ่ยขึ้นเพราะไม่อาจทนเห็นทัวป๋าหลิวลี่โดนกล่าวโทษได้จึงรีบยกแผ่นดินเกิดของทัวป๋าหลิวลี่ขึ้นมาอ้าง
“ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท คงเพราะชายารองกำลังตั้งครรภ์จึงบังอาจเช่นนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นแก่ที่นางกำลังมีทายาทให้จวนอ๋องมู่ โปรดละเว้นนางเถิดเพคะ”
อันหลิงเกอก็ลุกขึ้นพูดแทนทัวป๋าหลิวลี่ซึ่งเป็นเรื่องที่มู่จวินฮานคาดมิถึงอย่างยิ่ง ทั้งที่ตอนนี้อันหลิงเกอมีโอกาสกำจัดทัวป๋าหลิวลี่ได้แท้ ๆ แต่ก็มิทำ มู่จวินฮานจึงอดมองนางในอีกแง่มุมหนึ่งมิได้
เพราะอันหลิงเกอเข้าใจฝ่าบาทดี นางรู้ว่าในเมื่อฝ่าบาทส่งทัวป๋าหลิวลี่มาอยู่ข้างกายของมู่จวินฮานย่อมประสงค์ใช้ประโยชน์จากนาง พระองค์ไม่มีทางกำจัดนางไปโดยง่ายแน่นอน
อีกทั้งฮ่องเต้ทรงรักหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด หากตอนนี้มิละเว้นทัวป๋าหลิวลี่แล้วทำให้นางโมโหขึ้นมาจนเอ่ยถึงเป้าหมายของฮ่องเต้ เช่นนั้นก็เท่ากับทุกอย่างที่ทรงพยายามมาจะไร้ความหมายทันที ทั้งยังโดนผู้คนหัวเราะเยาะอีกด้วย หากพลาดพลั้งยังจะทำให้มู่จวินฮานไม่ภักดีต่อพระองค์อีกต่างหาก เหล่านี้ล้วนเป็นผลลัพธ์ที่ฮ่องเต้ก็มิอยากนึกถึง
อันหลิงเกอเข้าใจถึงผลได้ผลเสียของเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงเลือกทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อให้ทางลงแก่ฮ่องเต้ และก็เป็นดังคาด เพราะฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์แสดงความปลาบปลื้มต่ออันหลิงเกอ
“วันนี้ชายารองไม่รู้กฎระเบียบ สตรีที่เหลวไหลเยี่ยงนี้ต้องลดขั้นให้เป็นเพียงสนม หากกำเนิดทายาทแล้ว ความดีความชอบก็ให้หักลบกับความผิดกันไป”
เมื่อตรัสจบ ฮ่องเต้ก็โบกพระหัตถ์ด้วยท่าทีเหนื่อยล้าเพื่อเป็นสัญญาณให้พวกเขาออกไปได้แล้ว มู่จวินฮานจึงพาอันหลิงเกอและทัวป๋าหลิวลี่ออกมาทันที แต่ระหว่างทางทัวป๋าหลิวลี่ก็จ้องอันหลิงเกอด้วยความเคียดแค้น
“แสร้งทำเห็นใจ หึ ! ” เพิ่งออกจากท้องพระโรงได้มิทันไร ทัวป๋าหลิวลี่ก็รีบมายืนอยู่ข้างกายของมู่จวินฮาน นางเดาว่ามู่จวินฮานจะต้องปกป้องตนอย่างแน่นอนจึงพูดกระทบอันหลิงเกออย่างเปิดเผย
‘เพียะ’
ทว่าสิ่งที่ทัวป๋าหลิวลี่นึกมิถึงก็คือทันทีที่นางกล่าวจบ ใบหน้าก็เกิดรอยประทับของนิ้วมือทั้งห้า เวลานี้หูของนางมีเสียงวิ้งดังก้องไปหมด นางเงยหน้ามองมู่จวินฮานอย่างมิเชื่อสายตา
มู่จวินฮานตบหน้านางจริง เวลานี้สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะและจ้องทัวป๋าหลิวลี่อย่างมิสบอารมณ์
แม้ในใจของมู่จวินฮานรู้มาตลอดว่าทัวป๋าหลิวลี่เป็นคนเช่นไร แต่ครั้งนี้นางไร้มารยาทเกินไปแล้ว
ส่วนทัวป๋าหลิวลี่ก็เบิกตากว้างมองมู่จวินฮานอยู่เยี่ยงนั้น นางมองเขาอย่างมิอยากเชื่อสายตา นางมิเชื่อว่ามู่จวินฮานจะกล้าตบหน้าตนเพื่ออันหลิงเกอ ทันทีที่ได้สติ นางจึงหันไปมองอันหลิงเกอด้วยสายตาเคียดแค้นกว่าเดิม
อย่างไรอันหลิงเกอในตอนนี้ก็ไม่เหมือนอดีตแล้ว มู่จวินฮานจะยังปกป้องไปเพราะเหตุใด ?
“นางสารเลว ! ” ทัวป๋าหลิวลี่จ้องหน้าอันหลิงเกอ จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่อันหลิงเกอมิทันตั้งตัวยกมือขึ้นแล้วสะบัดไปที่ใบหน้าของอันหลิงเกอ
ตอนที่อันหลิงเกอได้สติก็พบว่าฝ่ามือของทัวป๋าหลิวลี่ยื่นมาถึงหน้าจนหลบมิทันเสียแล้ว นางจึงทำเพียงหลับตาลงเท่านั้น แต่ความเจ็บที่คาดว่าจะได้รับกลับไม่เกิดขึ้น อันหลิงเกอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
แพขนตาของอันหลิงเกอปัดโดนหลังมือของมู่จวินฮานเบา ๆ เขาอดรู้สึกใจสั่นขึ้นมามิได้และหันไปมองนางที่สะดุ้งคล้ายกำลังตกใจ
เดิมทีอันหลิงเกอคิดว่ามู่จวินฮานคงไม่มีทางปกป้องตนเป็นแน่ แต่เวลานี้เห็นมือของเขาได้ยื่นมาขวางตรงหน้าและจับข้อมือของทัวป๋าหลิวลี่ไว้แน่น
“พอได้แล้ว ! ” มือข้างหนึ่งของมู่จวินฮานกระชากทัวป๋าหลิวลี่ออกและปล่อยให้ล้มลงกับพื้น เขามิได้สนใจนางอีก วันนี้การกระทำของนางมิรู้จักที่ต่ำที่สูงและทำให้เขาต้องอับอายขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนทัวป๋าหลิวลี่ก็ทำอันใดมิได้ นางมองตามมู่จวินฮานที่พาอันหลิงเกอจากไป แววตาของนางลุกโชนไปด้วยไฟแค้นแต่เมื่อคิดว่าการกระทำของตนเมื่อครู่ทำให้มู่จวินฮานโมโหมิน้อยจึงได้แต่ก้มหน้าลงและจำใจเดินตามทั้งสองไปอย่างเงียบ ๆ
ระหว่างทางทั้งสองมิได้มีผู้ใดหันไปสนใจทัวป๋าหลิวลี่ที่อยู่ทางด้านหลัง ส่วนทัวป๋าหลิวลี่ก็ทำได้เพียงเดินตามอย่างสงบเสงี่ยม ตอนนี้นางรู้ดีว่าการกระทำเมื่อครู่ทำให้ภาพลักษณ์ที่เคยมีในสายตาของมู่จวินฮานป่นปี้หมดสิ้น นางจึงทำได้เพียงด่าทออันหลิงเกอด้วยความเคียดแค้นอยู่ในใจและมิสามารถเผชิญหน้ากับคนทั้งสองได้อีก