พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 710 ซุ่มโจมตี
ตอนที่ 710 ซุ่มโจมตี
“ทะ ท่านอ๋อง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อันหลิงเกอก็หันไปตามสายตาของทัวป๋าหลิวลี่ที่ตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น มิรู้ว่าคำพูดของตนเมื่อครู่มู่จวินฮานได้ยินหรือไม่ และรู้เพียงเวลานี้มู่จวินฮานกำลังยืนอยู่ทางด้านหลังของอันหลิงเกอด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ส่วนอันหลิงเกอที่หันไปมองก็พบมู่จวินฮานอยู่ด้านหลังจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หากมิใช่เพราะมู่จวินฮานมาอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าวันนี้นางต้องโดนรังแกอย่างแน่นอน เพราะทัวป๋าหลิวลี่ตั้งใจมาแก้แค้นโดยเฉพาะ
“ไปให้พ้น” จากนั้นเขาก็เอ่ยปากไล่ทัวป๋าหลิวลี่ด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งนัก ไม่ได้รู้สึกอันใดต่อการที่ทัวป๋าหลิวลี่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ส่วนทัวป๋าหลิวลี่ก็มิได้พูดอันใดอีกเพราะตำแหน่งของนางตอนนี้ต้อยต่ำมากแล้ว หากยังทำอวดดีต่อมู่จวินฮานอีกก็เกรงว่าสุดท้ายคนที่เสียเปรียบจะเป็นนางเอง อีกทั้งนางรู้ว่าขอเพียงอดทนให้ผ่านตอนนี้ไปได้ อนาคตก็จะสามารถแก้แค้นอันหลิงเกอได้อยู่
เมื่อเห็นทัวป๋าหลิวลี่จากไปแล้ว มู่จวินฮานก็ขมวดคิ้วอีกครั้งก่อนจะมองอันหลิงเกอ แต่นางทำทีไม่ใส่ใจเขาและเตรียมเดินไปหาฟางหลิงซู่
“เมื่อครู่ข้าได้ยินหมดแล้ว” มู่จวินฮานกลับเอ่ยขึ้นมาแล้วเดินไปด้านหน้าเพื่อขวางนางเอาไว้ ส่วนอันหลิงเกอก็มองอย่างมิเข้าใจและรอให้เขาพูด
มู่จวินฮานยืนอยู่ด้านหลังของภูเขานานแล้วจึงได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของพวกนางและย่อมเห็นการกระทำของทัวป๋าหลิวลี่ด้วยเช่นกัน
“ท่านอ๋อง หากไม่มีอันใดแล้วข้าน้อยขอตัวไปทานข้าวก่อนเจ้าค่ะ” คำพูดนี้ของอันหลิงเกอเป็นความจริง เนื่องจากนางหิวมาทั้งวันแล้วตอนนี้ก็เริ่มทนมิไหว
“ข้าก็ยังมิได้ทานอันใด เช่นนั้นข้าไปกับเจ้าแล้วกัน” เมื่อได้ยินเขากล่าวเยี่ยงนี้อันหลิงเกอก็เงยหน้ามองนิ่ง ๆ นางจะมิรู้ได้อย่างไรว่ามู่จวินฮานทานมาแล้ว แต่ที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อไปเป็นเพื่อนนาง กำลังคิดอันใดอยู่แน่ ?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สีหน้าของอันหลิงเกอก็เย็นชาทันที จากนั้นนางก็สะบัดศีรษะเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินจากไปทันที นางมิอยากให้เขามาคอยเคียงข้างอีกเพราะคงทนรับความเจ็บปวดมิไหวแล้ว
แต่มู่จวินฮานคล้ายมองไม่เห็นสีหน้ายุ่งยากใจของนางและยังเดินตามไป
อันหลิงเกอเห็นมู่จวินฮานเดินตามมาเช่นนี้จึงมิอาจไปหาฟางหลิงซู่ได้และเปลี่ยนเส้นทางเดินไปหาของทานในป่าแทน
แต่นางมิรู้ว่าเวลานี้ในป่าได้ถูกฟางหลิงซู่วางกำลังคนซุ่มโจมตีไว้รอมู่จวินฮาน พวกเขาก็จะลอบสังหารทันที
ตอนนี้ทั้งสองเดินเข้าไปอยู่ในบริเวณที่มือสังหารซุ่มอยู่แล้ว แต่มู่จวินฮานอยู่กับอันหลิงเกอตลอดเวลา อีกทั้งฟางหลิงซู่ยังสั่งไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามทำร้ายอันหลิงเกอ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ
ส่วนอันหลิงเกอมิรู้ว่าต้องไปที่ใดจึงจะมีของให้ทานและตอนนี้ทั้งสองก็ไร้อาวุธติดกาย การล่าสัตว์ขนาดเล็กมาเป็นอาหารจึงมิอาจทำได้ ดังนั้นนางจึงเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงริมแม่น้ำ
“เจ้าไปหาฟืนเถิด ข้าจับปลาเอง” มู่จวินฮานเอ่ยขึ้น เวลานี้อันหลิงเกอรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาช่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ ต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ซึ่งอันหลิงเกอก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดพอได้ยินมู่จวินฮานเอ่ยเช่นนี้จึงมิได้ปฏิเสธ ทำเพียงพยักหน้าและเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาฟืน
ในตอนนั้นเองกลุ่มมือสังหารที่ซุ่มอยู่เห็นว่าอันหลิงเกอเดินเข้าป่าไปแล้วก็ส่งสัญญาณให้โจมตีมู่จวินฮาน
ทางด้านมู่จวินฮานยังไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาใช้มีดสั้นที่พกติดตัวมาด้วยทำความสะอาดปลาที่จับได้เมื่อครู่อยู่
ส่วนอันหลิงเกอก็กำลังหาฟืนอยู่ภายในป่า แต่ทันใดนั้นนางก็สังเกตว่าในป่าแห่งนี้มีรอยเท้าของมนุษย์เต็มไปหมด อีกทั้งเวลานี้นางเดินเข้ามาในป่าลึกพอสมควรจึงไม่สามารถรู้ว่าสถานการณ์ด้านมู่จวินฮานเป็นเช่น ทำให้นางเกิดความกังวลขึ้นมา
เนื่องจากตำแหน่งของมู่จวินฮานมิใช่ธรรมดาจึงมีผู้คนมากมายต้องการเอาชีวิตของเขาไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้ ความกังวลของอันหลิงเกอทำให้เรื่องมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงรีบเดินกลับไปทางริมแม่น้ำทันที
เวลานี้มู่จวินฮานกำลังจัดการกับปลาที่จับได้ และขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เขาต้องระวังตัวขึ้นมา เดิมทีใช่ว่าเขามิรู้ตัวเพียงแต่ในป่าแห่งนี้มีสัตว์อาศัยมากมาย เขาจึงมิได้คิดอันใดมาก
แต่เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงดึงคันธนูอย่างชัดเจนจึงทำให้ตื่นตัวขึ้นมา เวลานี้ศัตรูอยู่ในที่ลับส่วนเขาอยู่ในที่แจ้ง มู่จวินฮานยังหามิพบว่าคนที่ดักซุ่มอยู่ที่ใดกันแน่
อันหลิงเกอรู้สึกได้ถึงอันตรายก็กำลังจะเกิดขึ้นจึงรีบออกมาจากป่า ทางด้านมู่จวินฮานยังมิรู้แน่ชัดว่ามือสังหารอยู่ที่ใดจึงแสร้งทำเป็นมิรู้ตัวและยังจัดการกับปลาต่อไปเพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น
แต่เขาก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าน่าจะมีมือธนูซุ่มอยู่ประมาณสามคนเพราะฟังได้จากเสียงดึงสายธนู แม้มู่จวินฮานไม่ทราบตำแหน่งที่ชัดเจนแต่ก็สามารถคาดเดาจำนวนคนได้จึงพอที่จะวางใจบ้าง
ทว่าการลอบสังหารโดยการยิ่งธนูนั้นทำให้ตั้งรับได้ยากยิ่งเพราะตำแหน่งของธนูและโอกาสในการยิงโดนล้วนมิสามารถควบคุมได้ เวลานี้มู่จวินฮานจึงทำได้เพียงเลือกใช้วิธีศัตรูไม่ขยับเขาก็ไม่ขยับ แต่ภายในใจรู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันเขาก็มิเข้าใจว่าผู้ใดรีบอยากเอาชีวิตกันถึงเพียงนี้ บริเวณนี้เป็นเขตเชื่อมต่อระหว่างต้าโจวและชิงเยว่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกลอบโจมตีและหากบอกว่าแคว้นชิงเยว่ดักซุ่มอยู่ที่นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้
เมื่อคิดเช่นนี้มู่จวินฮานก็รู้สึกตื่นตระหนกจนเหงื่อชุ่มไปหมด หากแคว้นชิงเยว่ซุ่มโจมตีอยู่นานแล้วก็ชัดเจนว่าเป้าหมายของพวกมันคือตน แต่เหตุใดเมื่อครู่พวกมันจึงมิลงมือก็เป็นเรื่องที่มู่จวินฮานยังคงไม่เข้าใจ
เพราะในเวลานี้เขามิสามารถทำสิ่งใดได้จึงเป็นกังวลมาก พวกมันอยู่ในที่ลับทำให้ยากจะป้องกันได้ พลันเขาก็นึกถึงอันหลิงเกอพร้อมขมวดคิ้วมุ่น มิรู้ว่าเวลานี้นางอยู่ที่ใดและเขาได้แต่หวังว่านางจะไม่รีบกลับมา
เมื่อนึกถึงอันหลิงเกอแล้ว มู่จวินฮานก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อครู่ตลอดทางที่เดินมากับอันหลิงเกอ ในป่านั้นถือเป็นโอกาสเหมาะในการลงมือที่สุด นอกเสียจากว่าอีกฝ่ายมิอยากทำร้ายอันหลิงเกอ !
หรือคนพวกนี้เป็นคนที่อันหลิงเกอส่งมาลอบสังหารเขา นี่นางแค้นเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
มู่จวินฮานถึงขั้นคิดอะไรมิออก แต่เขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นอันหลิงเกอ
เกอเอ๋อ…
เพราะเมื่อครู่มีโอกาสลงมือมากมายแต่คนเหล่านี้เลือกหลบซ่อนตัวและมิลงมือ ตอนนี้ริมฝั่งแม่น้ำที่ว่างเปล่าหากมิทันระวังเขาก็จะสามารถหนีไปได้ ทั้งที่เป็นเช่นนี้พวกมันยังเลือกโจมตีตรงนี้แทน
มู่จวินฮานมิอาจคาดเดาอันใดได้อีกเพราะบัดนี้มีลูกธนูโจมตีมาแล้ว ดีที่ด้านหน้าของมู่จวินฮานยังมีไม้สำหรับย่างปลาที่สามารถนำมาป้องกันตัวได้บ้าง
มือสังหารเหล่านี้มีฝีมือยิงธนูที่แม่นยำยิ่งนัก แต่มู่จวินฮานก็ว่องไวมาก หลังการโจมตีผ่านไปครู่ใหญ่ก็มิเห็นว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบแต่อย่างใด
แม้การโจมตีในครั้งนี้ทำให้มู่จวินฮานใช้แรงไปมิน้อยแต่ทำให้สามารถคาดเดาตำแหน่งของมือสังหารได้แล้ว เขารู้ว่ามิอาจถ่วงเวลาต่อไปได้ ตรงนี้ห่างจากสถานที่ตั้งค่ายมาไกลพอสมควร หากกองหนุนของมือสังหารมาถึงเขาก็คงเอาชีวิตมิรอด