พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 714 มิตรภาพในอดีต
ตอนที่ 714 มิตรภาพในอดีต
“กระดานนี้เคยเป็นของพี่สาวข้ามาก่อน และนางเป็นคนสอนข้าเดินหมากตั้งแต่เด็ก” น้ำเสียงที่แหบพร่าบ่งบอกถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แม่เฒ่าตาบอดกำลังเล่าความทรงจำในอดีตของตนให้อันหลิงเกอฟัง มิว่าเป็นวัยเด็กของใครก็ล้วนควรค่าแก่การจดจำทั้งสิ้น
แต่สำหรับอันหลิงเกอไม่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เด็กมิเคยรู้สึกสบายใจและสนุกสนานตามประสาเลยสักครั้ง
แม่เฒ่ารับรู้ได้ถึงความเศร้าของอีกฝ่ายและตอนนี้ความคิดของอันหลิงเกอก็ฟุ้งซ่านยิ่งนัก ดังนั้นจึงมิอาจเดินหมากด้วยจิตใจที่ไม่สงบได้
อีกทั้งแม่เฒ่ายังรู้ว่าฟางหลิงซู่รักอันหลิงเกอมากเพียงใด นางจึงส่ายหน้าเพราะความจริงนางรู้ว่าสตรีผู้นี้มิได้มีความรู้สึกเยี่ยงชายหญิงกับประมุขหอพิษกู่ของพวกตน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฟางหลิงซู่และอันหลิงเกอคล้ายกันยิ่งนักก็คือนิสัยดึงดันและความดื้อรั้น
บางทีการที่คนสองคนคล้ายกันมากเกินไป ท้ายที่สุดพวกเขาก็มิอาจเคียงคู่กันได้
“เด็กน้อย ประมุขของเรามีเหตุผลของตน ดังนั้นเจ้ามิต้องกังวลเกินไปหรอก” แม่เฒ่ารู้ว่าที่ความคิดของอันหลิงเกอฟุ้งซ่านอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นเพราะฟางหลิงซู่ อันหลิงเกอกำลังเป็นห่วงเขา และแม่เฒ่าก็รู้ด้วยว่าอันหลิงเกอแค่เป็นห่วงฟางหลิงซู่ในฐานะสหายเท่านั้น
มิรู้เพราะเหตุใดอันหลิงเกอจึงรู้สึกว่าคำพูดของแม่เฒ่าท่านนี้ทำให้จิตใจของนางสงบลงได้ เพียงพริบตาเดียวเรื่องราวทั้งหมดราวกับถูกโยนทิ้งไปจากสมอง มิได้วุ่นวายใจเช่นเมื่อครู่นี้แล้ว
แม่เฒ่ารับรู้ได้ว่าจิตใจของอันหลิงเกอสงบแล้ว นางก็ได้ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา เด็กพวกนี้ยังเยาว์วัยนักจึงได้มีความหมกมุ่นมากมายเพียงนี้
หลายวันต่อมา แม่เฒ่ามักจะมาเดินหมากและสนทนาเป็นเพื่อนอันหลิงเกอเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความกังวลของนางที่มีต่อฟางหลิงซู่ วิธีนี้สำหรับอันหลิงเกอแล้วช่างได้ผลดียิ่งเพราะทำให้นางไม่ดึงดันที่จะไปหาฟางหลิงซู่อีก
ทางด้านฟางหลิงซู่อยู่ที่เผ่าปิงชวนแล้วได้รับจดหมายจากแม่เฒ่า เมื่อรู้ว่าอันหลิงเกอเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แม้สถานการณ์จะตึงเครียดแต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เขาจะมิสามารถรับมือได้
ฟางหลิงซู่มิใช่คนโง่ ในแผนการของเขาคือเผ่าปิงชวนเป็นเพียงบันไดที่จะก้าวไปข้างบนเท่านั้นเพราะเขาต้องการอาศัยกำลังจากเผ่าปิงชวนเพื่อกลืนกินต้าโจวไปทีละนิด ถึงเวลานั้นเขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับมู่จวินฮานและสามารถปกป้องอันหลิงเกอได้
นึกถึงตรงนี้ฟางหลิงซู่ก็อดยิ้มออกมามิได้ ตอนนี้เหล่าตัวตลกของเผ่าปิงชวนกำลังทำราวกับว่าสอนจระเข้ว่ายน้ำ มองแล้วช่างน่าขันยิ่งนักเพราะหลังจากที่ฟางหลิงซู่ได้ฟังแนวคิดของประมุขเผ่าจบ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อ
เนื่องจากเวลานี้เขาอยากพบหน้าอันหลิงเกอยิ่งนักจึงรีบร้อนกลับเมืองหลวง เพราะในใจมีเพียงหอพิษกู่ที่เขาเรียกว่าบ้านได้อย่างแท้จริง
ตอนนี้อันหลิงเกอได้รับข่าวว่าฟางหลิงซู่กำลังจะกลับมาแล้วเช่นกัน นางก็เฝ้ารอเขาโดยไม่รู้ตัว เพราะสำหรับนางแล้ว ฟางหลิงซู่มิได้เป็นเพียงสหายธรรมดาแต่ยังเป็นคู่คิดอีกด้วย
ในวันนี้เอง จู่ ๆ มู่จวินฮานก็มาที่หอพิษกู่เพื่อรับตัวอันหลิงเกอกลับไป
เดิมทีอันหลิงเกอมิได้อยากตามเขากลับจวน แต่เรื่องที่เขาบอกก็ทำให้นางมิอาจปฏิเสธได้
“ท่านพ่อของเจ้ากำลังลำบาก หากเวลานี้พวกเราไม่ไปก็เกรงว่าจะไร้โอกาสอีก” น้ำเสียงของมู่จวินฮานขึงขังยิ่งนัก สีหน้าของเขาแสดงถึงความวิตกกังวลอย่างชัดเจน
อันหลิงเกอเห็นท่าทางของเขาก็มิอาจรั้งรอได้อีกจึงรีบเตรียมตัวแล้วตามเขากลับไป บัดนี้ภายในวังหลวงวุ่นวายไปหมด เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงกริ้วจนรับสั่งปลดอันอิงเฉิงเป็นสามัญชนได้กระจายไปทั่ววังอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากวันนี้หลี่กุ้ยเฟยไปชมบุปผา แต่คาดมิคิดว่าขณะกำลังกลับตำหนักก็พบเข้ากับอันอิงเฉิงที่เพิ่งดื่มสุราจนเมามายกับฝ่าบาทเสร็จจนทำให้ขาดสติและเข้าไปกอดหลี่กุ้ยเฟยเอาไว้แน่นเพราะคิดว่านางเป็นหลี่ซื่อ
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจึงทำให้นางกำนัลในตำหนักของหลี่กุ้ยเฟยตกใจยิ่งนัก แต่เพราะเกรงกลัวฐานะของท่านโหวอันจึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขวาง และทำได้เพียงทูลรายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบเท่านั้น
รอจนฮ่องเต้เสด็จมาถึง อันอิงเฉิงก็ลากหลี่กุ้ยเฟยมาจนถึงศาลาแล้ว ตอนนี้อันอิงเฉิงมิได้สติเพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มมากเกินไป
จึงมีเพียงหลี่กุ้ยเฟยที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนั้นและยืนกรานว่าอันอิงเฉิงล่วงเกินนางแต่ทำมิสำเร็จ
ฮ่องเต้เห็นว่าพระสนมถูกลวนลามจนเกือบตกอยู่ในมือบุรุษอื่น ด้วยความพิโรธจึงบัญชาทหารทำให้อันอิงเฉิงสร่างเมาแล้วลากตัวเขาไปยังท้องพระโรง
แต่อันอิงเฉิงยืนกรานว่ามิได้ทำเช่นนั้น ก่อนจะทูลว่าเพราะเมาสุราจึงกลับไปนอนพักที่เรือนของตนและมิเคยไปที่ตำหนักของหลี่กุ้ยเฟยแต่อย่างใด
คำพูดดังกล่าวหากเป็นยามปกติก็เกรงว่าฮ่องเต้คงเชื่อเขาไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นกับหลี่กุ้ยเฟยมิว่าเยี่ยงไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด
เมื่อก่อนฮ่องเต้ทรงโปรดปรานหลี่กุ้ยเฟยมาโดยตลอด ตอนนี้พระองค์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้คนที่หยามเกียรตินางรอดไปได้
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอันหลิงอีจึงมิรู้ว่าควรทำเช่นไรจึงรีบสั่งให้สาวใช้ไปที่จวนอ๋องมู่เพื่อแจ้งให้มู่จวินฮานและอันหลิงเกอมาช่วย หวังว่าทั้งสองจะมีวิธีช่วยเพราะอย่างไรอันอิงเฉิงก็เป็นบิดาของอันหลิงเกอ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดย่อมตัดกันมิขาด
บัดนี้อันหลิงเกอและมู่จวินฮานมาถึงวังหลวงแล้ว แต่ยังมิได้เข้าไปในท้องพระโรง ส่วนอันอิงเฉิงยังคุกเข่าอยู่ที่เดิมและได้ยินว่าเมื่อครู่หลี่กุ้ยเฟยร้องไห้โวยวายว่าจะฆ่าตัวตาย ยืนกรานว่าฝ่าบาทต้องคืนความยุติธรรมให้แก่นางจนพระองค์ต้องเกลี้ยกล่อมนางเอง นางจึงยอมสงบลง
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้อันหลิงเกอก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก ปกติแล้วอันอิงเฉิงเป็นคนรู้หนักเบาย่อมไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้แน่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหลุมพรางที่หลี่กุ้ยเฟยตั้งใจวางเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกตนมิสามารถกระโดดออกจากหลุมนี้ได้เลย
คาดมิถึงว่าบัดนี้หลี่กุ้ยเฟยแม้แต่พี่เขยของตนก็ยังกล้าทำถึงเพียงนี้ได้
ขณะเดียวกันมู่จวินฮานที่อยู่ข้างกายของอันหลิงเกอก็กำลังครุ่นคิดบางอย่างแล้วรีบพานางออกจากวังเพื่อไปตามหาร้านสุราร้านหนึ่ง
อันหลิงเกอไม่เข้าใจการกระทำของเขา เมื่อเห็นเขาสั่งสุรามาหนึ่งไหและยกขึ้นดื่มอยู่เช่นนั้นก็ยิ่งมิเข้าใจ แต่ขณะที่นางจะเอ่ยถาม มู่จวินฮานก็ยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่งมู่จวินฮานก็ดื่มสุราจนหมด เวลานี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาปรือเล็กน้อยคล้ายเมาสุราอย่างหนัก
มีเพียงอันหลิงเกอที่มองออกว่าแม้มู่จวินฮานมีท่าทางเมามายแต่ความจริงแล้วความสามารถในการดื่มสุราของเขามิเป็นสองรองใคร บัดนี้ย่อมมีสติดี หาได้เมามายอย่างที่เห็นไม่
หลังดื่มสุราจนหมดไหแล้วมู่จวินฮานจึงวางเบี้ยเอาไว้แล้วรีบพาอันหลิงเกอกลับเข้าวังหลวง เวลานี้บนกายของมู่จวินฮานคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราและเดินเข้าท้องพระโรงด้วยความบุ่มบ่าม
ฮ่องเต้ที่กำลังพิโรธและเตรียมจัดการอันอิงเฉิง เมื่อทอดพระเนตรมู่จวินฮานเดินโซซัดโซเซเข้ามาก่อนจะวางมือไว้บนบ่าของอันอิงเฉิงและคุกเข่าลงด้านข้างด้วย
“ฝ่าบาทได้โปรดอภัยด้วย…” เสียงของมู่จวินฮานอ้อแอ้ราวกับคนเมามายอย่างหนัก แต่ดวงตากระจ่างใสยิ่งนัก หากสังเกตให้ดีก็สามารถมองออกว่าเขากำลังแกล้งเมาอยู่
“เจ้ามีความผิดอันใด ? ” เวลานี้ฮ่องเต้หงุดหงิดเป็นที่สุดจึงไร้อารมณ์สังเกตว่ามู่จวินฮานเมาจริงหรือไม่ ได้แต่เข้าพระทัยว่าอีกฝ่ายเมาสุราแล้วเท่านั้นจึงมิอยากทนฟังเขาก่อกวนอีก