พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 715 ช่วยเหลือท่านพ่อตา
ตอนที่ 715 ช่วยเหลือท่านพ่อตา
ต่อหน้าพระพักตร์แล้วมู่จวินฮานได้แสดงความบริสุทธิ์ใจทั้งยอมลดฐานะของตนลง
“กระ กระหม่อม กระหม่อมและท่านโหวอันดวลสุรากันในวัง แต่กระหม่อมมิได้ห้ามท่านโหวไว้จนเกิดเรื่องนี้ขึ้น หวังว่าฝ่าบาท…หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อันหลิงเกอและอันอิงเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเวลานี้มู่จวินฮานยอมรับว่าได้ดื่มสุรากับอันอิงเฉิงจึงมิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดกันแน่
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางอันอิงเฉิงและเห็นว่าสีหน้ามิได้ตื่นตระหนกราวกับว่าที่มู่จวินฮานพูดออกมานั้นเป็นความจริง
เนื่องจากฮ่องเต้ทรงตระหนักดีว่าก่อนหน้านี้พระองค์และโหวอันมิได้ดื่มกันจนเมามายเช่นนี้ แต่การที่ท่านโหวเมามายจนมิได้สติคงเป็นเพราะไปดื่มต่อกับมู่จวินฮานนั่นเอง
“อีกทั้งกระหม่อม…เมามาก จึงส่งท่านโหวไปที่ตำหนักพระสนม…จนเกิดเรื่องระหว่างท่านโหวกับนางกำนัลขึ้น…เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ขอฝ่าบาทอย่าได้ถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลังกล่าวจบมู่จวินฮานก็แสร้งหัวเราะออกมาด้วยจึงทำให้ท่าทางของเขาเหมือนคนเมาสุราอยู่จริง และเมื่อฮ่องเต้ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็อดหรี่ดวงเนตรลงมิได้ นางกำนัลที่มู่จวินฮานเอ่ยถึงคือนางกำนัลข้างกายของหลี่กุ้ยเฟย หรืออันอิงเฉิงมิได้ล่วงเกินหลี่กุ้ยเฟย แต่เป็นนางกำนัลผู้นั้น…
มู่จวินฮานเห็นท่าทางครุ่นคิดของฮ่องเต้แล้วก็รู้ว่าแผนสำเร็จไปครึ่งทาง ซึ่งการที่เขาคิดแผนการนี้ออกมา เพราะรู้ดีว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปย่อมมิส่งผลดีต่อฮ่องเต้และพระองค์ย่อมไม่ประสงค์ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
ที่มู่จวินฮานทำอยู่นี้คือการหาทางออกที่เหมาะสมให้แก่ฮ่องเต้ ให้พระองค์สามารถหลุดจากปัญหานี้ได้โดยง่าย เรื่องก็จะเรียบร้อยและมิเกิดข้อโต้แย้งขึ้นอีก
สุดท้ายเรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่มู่จวินฮานคาดเอาไว้ หลังจากฮ่องเต้ได้ยินคำกล่าวนี้ก็ทรงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สีพระพักตร์จะค่อย ๆ ผ่อนคลายมิได้เคร่งขรึมอย่างตอนแรกอีก เพราะฮ่องเต้คิดว่าหลี่กุ้ยเฟยต้องการระบายความโกรธแทนนางกำนัลคนสนิทเท่านั้นจึงยอมนำชื่อเสียงของตนขึ้นมาอ้างเพื่อจะได้รับความสนพระทัย
“เอาล่ะ ทั้งสองคนลุกขึ้นเถิด” ตอนนี้ความโกรธบนพระพักตร์ได้มลายหายไปแล้ว ที่เหลืออยู่มีเพียงความเหนื่อยล้าเท่านั้น ส่วนอันหลิงเกอที่มองมู่จวินฮานแสดงละครก็อดขมวดคิ้วมิได้
เหตุใดเขาต้องทำเพื่อท่านพ่อมากเพียงนี้ หากเมื่อครู่มิระวังก็อาจถูกลากเข้าไปด้วย แต่มู่จวินฮานทำเช่นนี้โดยมิลังเล นางจึงไม่รู้ว่าภายในใจเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“เมื่อท่านกับนางกำนัลคนนั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ข้าจักประทานนางให้แล้วกัน ท่านมีความเห็นอื่นหรือไม่ ? ” พระสุรเสียงของฮ่องเต้แฝงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเต็มทน
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ” อันอิงเฉิงก็เข้าใจการกระทำของมู่จวินฮานดี เขาช่วยทำให้จากเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีอันใดได้ มิเสียทีที่เป็นอ๋องมู่ซึ่งผู้คนนับถือและเกรงกลัว ช่างมีไหวพริบและฉลาดเฉียบแหลมเหนือคนทั่วไปเสียจริง
เมื่อมีอันตรายอยู่ตรงหน้า ผู้คนย่อมเลือกสิ่งที่ส่งผลร้ายน้อยสุด อันอิงเฉิงก็เช่นกันจึงมิได้โต้แย้งสิ่งใดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ฮ่องเต้จึงสบายพระทัยมากขึ้น ทั้งยังอดรู้สึกละอายใจต่อโหวอันมิได้ด้วย เมื่อครู่พระองค์เข้าพระทัยเขาผิดไปจริง ๆ
ส่วนหลี่กุ้ยเฟยนั้นแค่นึกถึงฮ่องเต้ก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นอีกครั้ง หลังส่งคนไปเยี่ยมนางแล้ว ฮ่องเต้ก็มิได้เสด็จไปที่ตำหนักของหลี่กุ้ยเฟยอีก สตรีมากอุบายเช่นนี้ทำให้พระองค์รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก
อันหลิงเกอเดินออกจากประตูวังหลวงพร้อมมู่จวินฮาน ส่วนอันอิงเฉิงแม้ได้ตำแหน่งคืนมาแต่ตอนนี้ตำแหน่งของเขายังมิมั่นคงจึงไม่ได้ออกมาส่งอันหลิงเกอและมู่จวินฮาน เพราะหากความสัมพันธ์ของเขากับอ๋องมู่ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าไรก็จะถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น
มู่จวินฮานในตอนนี้ก็หาได้มีท่าทีเมามายเช่นก่อนหน้านี้ไม่ ดวงตาของเขากระจ่างใสยิ่งนัก จากนั้นก็พาอันหลิงเกอขึ้นไปบนรถม้า ส่วนอันหลิงเกอที่มองเขาอยู่แล้วก็อดรู้สึกชื่นชมในความฉลาดหลักแหลมของเขามิได้
เขามักเป็นเช่นนี้เสมอ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างคาดมิถึง ขณะเดียวกันก็ยอมรับทุกสิ่งโดยมิกล่าวอันใดสักคำ เรื่องวันนี้เดิมทีมู่จวินฮานมิจำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปยุ่ง แต่เขาก็เต็มใจที่จะช่วยพวกนาง
“กลับจวนเถิด” เสียงของมู่จวินฮานที่เอ่ยออกมาแผ่วเบายิ่งนัก ชั่วขณะหนึ่งอันหลิงเกอมิรู้ว่าฟังผิดไปหรือไม่ แต่มู่จวินฮานก็ได้พูดซ้ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“กลับจวนอ๋องมู่เถิด”
อันหลิงเกอมองเขาโดยมิเอ่ยสิ่งใดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายนางก็ส่ายหน้าเล็กน้อย เป็นเขาที่ขับไล่นางออกมาและจวนอ๋องแห่งนั้นมีความทรงจำแสนเจ็บปวดมากเกินไป นางมิอยากกลับไปที่นั่นอีก
“หากเจ้าอยู่ที่เรือนผู้อื่นไปตลอดจักทำให้ข้าโดนนินทาเอาได้” มู่จวินฮานเห็นอันหลิงเกอส่ายหน้าเช่นนั้น ภายในใจก็อดโมโหขึ้นมามิได้ นางอาลัยอาวรณ์ฟางหลิงซู่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
“เกรงว่าท่านอ๋องคงลืมไปแล้วว่าแรกเริ่มหาใช่ข้าน้อยที่ต้องการไปอยู่หอพิษกู่และหาใช่ฟางหลิงซู่มาขอร้องท่านอ๋องให้ส่งข้าน้อยไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการตัดสินใจของท่านอ๋องเองทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับเป็นเพียงประโยคอธิบายทั่วไป แต่มู่จวินฮานรู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้กระแทกแดกดันเขายิ่งนักจึงทำให้ใบหน้าของมู่จวินฮานแสดงความมิพอใจออกมา ก่อนที่เขาจะเอนกายเข้าใกล้อันหลิงเกอจนทำให้นางมิทันได้เตรียมตัว
“เจ้าควรคิดให้ดี” น้ำเสียงของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยการข่มขู่ เวลานี้เขาอยู่ใกล้อันหลิงเกอจนลมหายใจเป่ารดออกมากระทบใบหูของนาง ทำให้นางอดตัวสั่นขึ้นมามิได้
“ท่านอ๋อง ท่านมิจำเป็นต้องทำเช่นนี้กับข้าน้อยเลย เพราะการที่ข้าน้อยจะกลับไปหรือไม่ ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องมิได้ส่งผลกระทบอันใด หากมีผลกระทบจริงเช่นนั้นหลายเดือนที่ผ่านมานี้ท่านคงมิอยู่อย่างสงบได้หรอกเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอแม้โดนเขาคุกคามแต่หาได้หวาดกลัวไม่ บัดนี้นางตัวคนเดียว มู่จวินฮานจึงไม่มีสิ่งใดมาข่มขู่ได้อีก เหลือเพียงชีวิตซึ่งอันหลิงเกอก็มิได้กังวล เพราะอย่างไรมู่จวินฮานก็ต้องเห็นแก่พระพักตร์ของฝ่าบาทและหน้าท่านโหวอันจึงมิสามารถทำอันใดนางได้
“หากตอนนี้ข้าบอกว่าอยากให้เจ้ากลับมาเล่า ? ” มู่จวินฮานก็มิได้เอ่ยอันใดให้มากความก่อนแล้วขยับตัวออกห่าง หลังกลับมานั่งตัวตรงแล้วก็มองนางด้วยแววตาจริงจัง ริมฝีปากได้รูปของเขาขยับขึ้นเบา ๆ ก่อนจะส่งเสียงทุ้มนุ่มออกมา
อันหลิงเกอมิทันได้สติ เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถามเช่นนี้จึงมิรู้ว่าควรตอบกลับเช่นไรและมิรู้ว่าควรกล่าวสิ่งใดออกไปดี ทำให้บรรยากาศหวนคืนสู่ความอึดอัดอีกครั้ง ภายในรถม้าจึงเกิดความเงียบขึ้น
“เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยมีนิสัยมุทะลุและความคิดชั่วร้ายยิ่งนัก หากข้าน้อยกลับไปแล้วไม่ระวังจนเกิดกระแทกเข้ากับบุตรในครรภ์ของทัวป๋าหลิวลี่ เช่นนั้นคงจะมิเป็นการดีแน่เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอรู้จุดอ่อนของมู่จวินฮานเช่นกัน ตอนนี้เขาเป็นห่วงบุตรในครรภ์ของทัวป๋าหลิวลี่และเป็นไปตามคาดว่าเมื่ออันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ มู่จวินฮานก็ปิดปากเงียบอยู่นาน
“หากข้ามิใส่ใจเล่า ? ” ผ่านไปครู่หนึ่งมู่จวินฮานก็จัดการความคิดของตนได้ เขารู้ว่าอันหลิงเกอมิกล้าเอ่ยออกมาตามตรง นางแค่ใช้เรื่องของทัวป๋าหลิวลี่มาเป็นข้ออ้างเพื่อมิต้องการกลับจวนเท่านั้น
“เสือแม้ดุร้ายก็มิกินบุตรตน ปกติแล้วท่านอ๋องมิได้สนใจเรื่องภายในจวนแต่สำหรับเรื่องบุตร ข้าน้อยเชื่อว่าท่านก็คงเป็นห่วงอยู่บ้าง ข้าน้อยมีใจริษยาแล้วจะปล่อยให้นางคลอดบุตรออกมาโดยง่ายได้หรือเจ้าคะ ? ”
ราวกับสิ่งที่อันหลิงเกอกล่าวเป็นเรื่องจริง รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่จวินฮานจึงแข็งค้างอยู่เช่นนั้นและมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เขาจ้องอันหลิงเกออยู่เช่นนั้นและมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะ