พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 721 เฉลียวฉลาด
ตอนที่ 721 เฉลียวฉลาด
การที่มู่จวินฮานบอกให้นางพูดต่อก็เพราะรู้ว่าด้วยความฉลาดและมีไหวพริบของอันหลิงเกอย่อมเข้าใจว่าเขาต้องการบอกสิ่งใดแก่นาง
“หากข้าเดามิผิด ท่านต้องการบอกว่าการที่ข้ารักษาบุตรไว้มิได้ก็เพราะยาตัวนี้หรือ ! ”
ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็ตระหนักขึ้นได้ว่าแท้จริงเรื่องก็เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้เอง !
ทัวป๋าหลิวลี่คิดทำร้ายอันหลิงเกอ แต่มิรู้ว่าการลอบมีความสัมพันธ์กับองครักษ์เงาจะมีเด็กกำเนิดขึ้นในครรภ์ของตน และเพราะได้รับยาคล้ายกันจึงทำให้คลอดก่อนกำหนด !
“ที่ข้าให้พูดคือเรื่องที่เจ้ากลับไปหอพิษกู่” แท้จริงเรื่องที่มู่จวินฮานให้ความสนใจมิใช่เรื่องนี้ แต่เขาต้องรู้เรื่องที่นางหนีออกจากจวนไปหอพิษกู่เพื่อพบกับฟางหลิงซู่
ยามมองท่าทางหึงหวงของเขา อันหลิงเกอก็อดรู้สึกขบขำมิได้ ท่าทางของเขาในเวลานี้คือกังวลว่านางกับฟางหลิงซู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันหรือ ?
“ข้ากับฟางหลิงซู่มิเคยมีความสัมพันธ์อันใดนอกจากเป็นสหายที่ดีต่อกัน ท่านอ๋องคงคิดมากไปแล้ว” อันหลิงเกอมิได้พูดมาก เพียงบอกสิ่งที่มู่จวินฮานอยากรู้ไปตามตรง
ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็เผยท่าทีผ่อนคลายออกมาเล็กน้อยและกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาจ้องหน้าอันหลิงเกอด้วยสายตามิอยากเชื่อ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของเด็กคนนั้นก็…” มู่จวินฮานอยากปรับความเข้าใจกับอันหลิงเกอ แต่ยังมิทันได้เริ่มก็มีองครักษ์เดินเข้ามาโดยพลการเสียก่อน
ส่วนอันหลิงเกอก็รอฟังคำพูดของเขาเช่นกัน แต่การเข้ามาอย่างกะทันหันขององครักษ์ทำให้ทั้งคู่ตกใจ ดูเหมือนว่าการที่องครักษ์เข้ามาเช่นนี้คงเกิดเรื่องเร่งด่วนเป็นแน่
“เรียนท่านอ๋อง ตอนนี้เผ่าปิงชวนมารุกรานเมืองหลวง ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชาให้ท่านอ๋องรีบนำทัพไปปราบปรามขอรับ ! ” เมื่อได้ยินแล้วมู่จวินฮานกับอันหลิงเกอก็รู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดเผ่าปิงชวนถึงเลือกมารุกรานอย่างกะทันหันเช่นนี้
สถานการณ์นี้มิสามารถประเมินได้ ดังนั้นการที่เผ่าปิงชวนมารุกรานอย่างกะทันหันย่อมมีเป้าหมายอันใดแน่ เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นทั้งคู่ก็ขมวดคิ้วและไม่มีใครพูดออกมาอีก
“เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องไปก่อน ประเดี๋ยวข้าก็กลับมาแล้ว อย่าบอกการเคลื่อนไหวของข้าให้ผู้ใดรับรู้และจงดูแลตัวเองให้ดี” มู่จวินฮานกล่าวจบก็รีบเดินตามองครักษ์ออกไป
ขณะมองร่างที่กำลังจากไปของมู่จวินฮาน อันหลิงเกอก็อดถอนหายใจออกมามิได้
แม้เขาพูดได้เรียบง่ายและมีน้ำเสียงผ่อนคลาย แต่นางรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายเลย
ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็นึกขึ้นได้ว่าหากเผ่าปิงชวนมารุกราน เช่นนั้นฟางหลิงซู่ย่อมทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว เหตุใดเขาถึงมิบอกนาง ?
หลังมู่จวินฮานออกจากจวนได้มินานก็มีคนเข้ามารายงานอันหลิงเกอว่าฟางหลิงซู่มาขอพบอยู่ที่หน้าประตูจวน อันหลิงเกอที่มีเรื่องอยากถามอยู่พอดีจึงรีบบอกให้เขาเข้ามา และนางก็รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของจวน
“ฟางหลิงซู่ เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ ? ” เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของฟางหลิงซู่แล้ว อันหลิงเกอก็รู้ทันทีว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องของเผ่าปิงชวนแน่ ฟางหลิงซู่ยังมิได้กล่าวอันใด นางก็รีบถามทันที
“อันหลิงเกอ ไปกับข้าเถิด คราวนี้เผ่าปิงชวนมารุกรานก็พุ่งเป้ามาที่ต้าโจวทั้งหมด ข้ากลัวว่าเจ้าจะมีอันตรายจึงรีบมาหา” ตอนนี้น้ำเสียงของฟางหลิงซู่กระวนกระวายยิ่งนัก พออันหลิงเกอเห็นเช่นนี้จึงคิดว่าเขามิน่ารู้เรื่องที่เผ่าปิงชวนจะมารุกราน
แต่อันหลิงเกอคิดผิด เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นแผนการของฟางหลิงซู่ และการรุกรานอย่างกะทันหันในครั้งนี้มิได้ใช้ทหารอันแข็งแกร่งและจำนวนคนก็มิได้มาก แค่ต้องการทำให้ราชสำนักแตกตื่นเพื่อว่าฮ่องเต้จะเรียกมู่จวินฮานไปนำทัพเท่านั้น
เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการรุกรานในครั้งนี้ก็คือฟางหลิงซู่ต้องการพาอันหลิงเกอไปจากจวนอ๋องมู่และออกไปจากต้าโจว เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้มู่จวินฮานปลดอาวุธยอมแพ้แต่โดยดี และอันหลิงเกอจะไม่มีวันทราบสาเหตุที่แท้จริง
อันหลิงเกอไว้วางใจฟางหลิงซู่มากจึงมิได้สงสัยในตัวเขาหรือล่วงรู้ความคิดชั่วร้ายของเขา เมื่อเห็นเขามีท่าทีกังวล นางก็รีบเก็บข้าวของแล้วตามเขาไปทันที
ทางด้านมู่จวินฮานได้นำกำลังทหารมาถึงนอกเมืองแล้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เดิมทีเขาคิดว่าเผ่าปิงชวนจะนำทหารหลายแสนนายมาบุกรุกราชสำนัก แต่มองจากสถานการณ์ในเวลานี้จำนวนทหารน่าจะมีเพียง 50,000 นายหรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นเช่นนี้มู่จวินฮานก็ขมวดคิ้วมุ่น ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดได้จึงรีบควบม้ากลับเข้าเมืองทันที
ส่วนพวกทหารที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็รู้ตัวว่ามาติดกับแผนล่อเสือออกจากถ้ำเสียแล้ว
พวกเขามองมู่จวินฮานควบม้ากลับเมืองหลวงอย่างรีบร้อน แม้มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นแต่ก็พอรู้ว่าการที่เผ่าปิงชวนบุกรุกในครานี้คงเพื่อหลอกล่ออ๋องมู่ออกมานำทัพ จากสถานการณ์นี้บ่งบอกได้ว่าตำแหน่งอ๋องมู่มิธรรมดา เผ่าปิงชวนจึงได้ทำเช่นนี้
ในเวลาเดียวกันอันหลิงเกอก็ถูกฟางหลิงซู่พาขึ้นรถม้าไปแล้ว
นางมิรู้ว่าฟางหลิงซู่จะพาไปที่ใดเพราะเชื่อใจเขามาก คิดว่าฟางหลิงซู่ไม่มีวันทำร้าย นางจึงมิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป
นางได้แต่มองฟางหลิงซู่ที่หลับตาอยู่บนรถม้าและท่าทางของเขาเช่นนี้พบเห็นได้น้อยนัก ทันใดนั้นนางก็สังเกตว่าแพขนตาของฟางหลิงซู่กำลังสั่นไหว เขากำลังกังวลเรื่องใดอยู่ ?
ทำให้อันหลิงเกอเกิดความสงสัยขึ้นมา ตอนนี้นางยังมิได้คำตอบในสิ่งที่สงสัย แต่การตามเขามาเพราะมั่นใจว่าเขาจะไม่มีทางทำร้ายตนก็เท่านั้น
ขณะนั้นนางก็รู้สึกว่ารถม้าวิ่งมานานพอสมควรและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นางจึงมองเขาด้วยความสงสัยอีกครั้ง เพราะมิรู้ว่าฟางหลิงซู่จะพาไปที่ใด มองแล้วสถานที่ที่เขาจะพานางไปคงไกลมิน้อย
จากนั้นมินานรถม้าก็หยุดลง อันหลิงเกอเดินตามฟางหลิงซู่ออกจากรถม้าและเมื่อเห็นสถานที่คุ้นเคย อันหลิงเกอก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
เพราะเบื้องหน้าคือวังหลวงของต้าโจว เหตุใดฟางหลิงซู่จึงพานางมาที่นี่ ?
เมื่อเห็นแววตาสงสัยของอันหลิงเกอแล้ว ฟางหลิงซู่จึงเดินไปตรงหน้านางพร้อมเอื้อมไปจับมือนางไว้และส่งสายตาหนักแน่นให้
จากนั้นฟางหลิงซู่ก็พาอันหลิงเกอมาที่ตำหนักซึ่งฮ่องเต้จัดเตรียมไว้ หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไป
เมื่อเห็นฟางหลิงซู่จากไปแล้ว อันหลิงเกอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา นางมิรู้ว่าฟางหลิงซู่ไปไหนและเหตุใดจึงพานางมานี่ อีกทั้งแม่นมของฮ่องเต้ก็ยังมิกล่าวอันใดอีก
ขณะมองท่าทางเงียบนิ่งของแม่นม ฝ่ายอันหลิงเกอก็รู้ทันทีว่าจะไม่รู้อะไรจากปากแม่นมผู้นี้เลย
ดูเหมือนตอนนี้ฮ่องเต้ยังประทับอยู่ในวังหลวง ฟางหลิงซู่อาจไปเข้าเฝ้า และแม่นมที่เห็นท่าทีของอันหลิงเกอก็อดรู้สึกผิดและสงสารมิได้ ทั้งที่นางรู้ทุกอย่างแต่มิสามารถพูดออกมาได้เลย
“พระชายามู่ ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวฝ่าบาทและฟางหลิงซู่ก็กลับมาแล้ว” แม่นมรู้ว่าสิ่งที่สามารถทำในเวลานี้ได้มีเพียงปลอบอันหลิงเกอและทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงเท่านั้น
“อืม” พอได้ยินเช่นนั้น ใจของอันหลิงเกอก็สงบขึ้นเล็กน้อย
หลังดื่มชาและทานขนมที่เตรียมไว้ อันหลิงเกอก็รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างกำลังจะปิดลงอย่างควบคุมมิได้
นางเข้าใจผิดว่าตอนนี้เผ่าปิงชวนทำสงครามกับราชสำนักแล้ว ฮ่องเต้จะไม่ลงมือกับมู่จวินฮาน
ทว่านี่เป็นโอกาสสร้างความปั่นป่วนได้ดีที่สุด