พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 729 มากด้วยเงื่อนไข
ตอนที่ 729 มากด้วยเงื่อนไข
ในขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าช่วงเวลาที่มีอันหลิงเกออยู่ด้วย แม้มิได้รู้สึกอันใดมากนักแต่เพียงนึกถึงนางก็ทำให้เขาอบอุ่นใจขึ้นมา
ถึงตรงนี้แล้วมู่จวินฮานก็กัดฟันพร้อมเปลี่ยนเป็นชุดที่ใส่ในเวลาปกติ เขาถอดชุดเกราะออกแล้ววางมันไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
“ทหาร” มู่จวินฮานตะโกนไปที่หน้าประตู ตอนนี้ทหารยามถูกเปลี่ยนเป็นทหารองครักษ์และองครักษ์เงาของมู่จวินฮานแล้ว เมื่อเรียกใช้ในเวลานี้ย่อมต้องเป็นคนของตนอย่างมิต้องสงสัย
“ขอรับท่านอ๋อง”
“จงถ่ายทอดคำสั่งออกไปว่าให้ถอยทัพเดี๋ยวนี้ ทหาร 50,000 นายมิต้องรีบตามสังหารศัตรู ทว่าให้ถอยทัพทั้งหมด ! ” แม้เสียงของมู่จวินฮานจะทรงพลังแต่ก็สั่นเครือเล็กน้อย
“นี่…” เหมือนองครักษ์เงาผู้นั้นมิเข้าใจคำสั่งของมู่จวินฮานจึงลังเลเล็กน้อยเพราะตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม ท่านอ๋องมิเพียงไม่รีบควบม้าเข้าห้ำหั่นศัตรู ตรงกันข้ามยังให้ถอยทัพ นี่หมายความว่าอย่างไร ?
“รีบทำตามที่ข้าสั่ง ! ” มู่จวินฮานกัดฟันเพื่อเน้นเสียงอย่างแรงและมิลังเลแต่อย่างใด จากนั้นก็สะบัดหน้าไปทางอื่นโดยมิหันมามองสถานการณ์ในสนามรบด้านนอกอีก พอองครักษ์เงาเห็นมู่จวินฮานเด็ดขาดเช่นนี้ก็รีบถอยออกไปทันที
ต่อมาองครักษ์เงาก็รีบควบม้าไปยังทิศทางที่ทหารห้าหมื่นนายอยู่ แม้ฮ่องเต้จะทอดพระเนตรก็มิได้ตรัสอันใดเพราะคิดว่ามู่จวินฮานต้องการให้คนไปกระตุ้นทหาร แต่คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานจะบัญชาให้ถอยทัพต่างหาก
เวลานี้มู่จวินฮานออกมาจากค่ายแล้ว เขารู้ดีว่าอีกมินานต้าโจวจะพ่ายแพ้ในการรบครั้งนี้ มองจากกำลังพลและกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามก็คงรู้แล้วว่าอ๋องมู่สั่งให้ถอยทัพห้าหมื่นนาย
เมื่อหันไปมองฮ่องเต้ที่ประทับบนหลังอาชา มู่จวินฮานก็รู้สึกลำบากใจมิน้อย ด้านหนึ่งคือแผ่นดินเกิด ส่วนอีกด้านคือสตรีที่รักสุดหัวใจ การทำเช่นนี้จะต้องโดนผู้อื่นดูหมิ่นแน่นอน แต่มู่จวินฮานไม่มีทางเลือกเพราะต้องช่วยอันหลิงเกอออกมาให้ได้
เวลานี้มู่จวินฮานมาถึงหน้าค่ายทหารของฟางหลิงซู่แล้ว ขณะที่เข้ามานั้นรอบข้างยังไร้ผู้ใดขวาง เขาจึงคิดว่าฟางหลิงซู่คงจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็แค่พาตัวอันหลิงเกอออกไปเท่านั้น
แต่มู่จวินฮานคาดมิถึงว่าเมื่อครู่นี้ประมุขเผ่าปิงชวนได้มีคำสั่งส่งถึงฟางหลิงซู่ว่ามิเพียงต้องการให้มู่จวินฮานถอยทัพเท่านั้น ยังต้องการตราอาญาสิทธิ์ของมู่จวินฮานเพื่อใช้ประโยชน์จากทหาร 50,000 นายด้วย
แม้ทหาร 50,000 นายของมู่จวินฮานมีจำนวนไม่มากแต่ก็ฝีมือดีกันทุกนาย หรือกล่าวได้ว่าสามารถเอาชนะศัตรู 100 คนได้ด้วยคนเดียวก็มิถือว่าโอ้อวดจนเกินไป มิว่าผู้ใดก็อยากครอบครองกองทัพเช่นนี้แล้วประมุขเผ่าจะปล่อยโอกาสเช่นนี้หลุดมือได้เยี่ยงไร
แต่ฟางหลิงซู่รู้ดีว่าการข่มขู่เมื่อครู่ก็มาถึงขีดจำกัดของมู่จวินฮานแล้ว ดังนั้นมู่จวินฮานไม่มีทางปล่อยให้ใครมาข่มขู่ได้อีกแน่นอน
โดยเฉพาะทหาร 50,000 นายนั้นเป็นนายทหารที่ปกป้องต้าโจวแบบสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นของตระกูลมู่ แล้วจะยกให้ผู้อื่นโดยง่ายได้เช่นไร? ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเผ่าปิงชวนที่เป็นศัตรูของต้าโจวเลย
หลังเข้ามาในค่ายแล้วมู่จวินฮานเห็นเพียงฟางหลิงซู่คนเดียว ทำให้เขาตระหนักขึ้นมาว่าไม่ดีแน่ แต่ก็ยังเชื่อเพราะฟางหลิงซู่ไม่มีทางเอาเรื่องของอันหลิงเกอมาพูดล้อเล่นและต้องช่วยอันหลิงเกอออกมาให้ได้
“นางอยู่ที่ใด ? ” มู่จวินฮานมิอ้อมค้อมแต่เลือกเข้าประเด็นหลักทันที เขากล่าวออกมาตามตรงและฟางหลิงซู่ก็หันมามองหน้าเขา
“หากข้าบอกว่ายังปล่อยตัวนางมิได้เล่า ? ” เสียงของฟางหลิงซู่เพิ่งเงียบลง รอบข้างของมู่จวินฮานก็มีคมหอกคมดาบปรากฎขึ้น ตอนนี้มู่จวินฮานถูกล้อมไว้แล้วหมดทางหนีได้อีก
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว มู่จวินฮานก็ตระหนักได้ว่าตกหลุมพรางของฟางหลิงซู่แล้ว ก่อนที่จะได้พบอันหลิงเกอ จะทำอันใดวู่วามมิได้เด็ดขาด
บัดนี้ทหารได้ใช้โซ่ตรวนทั้งหนาหนักมามัดตัวมู่จวินฮานไว้จนมิสามารถขยับได้แม้แต่น้อย ส่วนกระบี่และมีดสั้นบริเวณเอวก็ถูกยึดไปด้วยทำให้ไร้อาวุธป้องกันตัว
ตอนนี้มู่จวินฮานก็มองออกว่าฟางหลิงซู่วางแผนมาเป็นอย่างดี แต่มิรู้ว่าอยากทำอันใดกันแน่ หลังเห็นมู่จวินฮานกลายเป็นลูกไก่ในกำมือแล้ว ฟางหลิงซู่ก็มีความสุขยิ่งนัก
ต่อมาทหารก็ดึงตัวมู่จวินฮานขึ้นรถม้า มือและเท้าทั้งสองข้างก็ถูกมัดไว้ ส่วนฟางหลิงซู่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ต่อจากนั้นมู่จวินฮานก็มิรู้ว่ารถม้าวิ่งไปยังทิศทางใด
เมื่อดวงตาเปิดขึ้นอีกครั้ง มู่จวินฮานก็เห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในคุกใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งรอบกายเต็มไปด้วยเครื่องมือทรมานทุกรูปแบบ
ดูเหมือนวันนี้จะรอดยาก พอคิดได้เช่นนี้มู่จวินฮานก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยเพราะยังมิได้เจออันหลิงเกอเลย ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดด้วยซ้ำ
“เป็นอย่างไรบ้างอ๋องมู่ ? คาดมิถึงสิท่า” ในเวลานี้มีคนเดินออกมาจากด้านหลังของฟางหลิงซู่ สีหน้าของคนผู้นั้นยังมิค่อยชัดเจนดีแต่ก็ยังทำให้มองออกในทันทีว่าคือประมุขเผ่าปิงชวน
“ประมุขเผ่า” แม้ตอนนี้ตัวของมู่จวินฮานจะถูกมัดไว้กับแท่นทรมานแต่ความน่าเกรงขามยังมิลดลง เขาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาคล้ายกำลังบอกว่าไม่มีทางแพ้เด็ดขาด
“วันนี้ข้าจักให้โอกาสเจ้าสักครั้งและให้โอกาสพระชายาของเจ้าผู้นั้นด้วย” พอได้ยินประมุขเผ่ากล่าวเช่นนี้ ฟางหลิงซู่ก็ตกตะลึงทันที ดูเหมือนประมุขเผ่าจะทราบฐานะแท้จริงของอันหลิงเกอแล้ว
มู่จวินฮานตัวสั่น เขามิรู้ว่าอันหลิงเกออยู่ที่ใด แต่มองจากสถานการณ์ในตอนนี้คืออันหลิงเกอต้องอยู่ในมือประมุขเผ่าจริง ๆ
ประมุขเผ่าเหลือบมองฟางหลิงซู่จากนั้นก็หันมามองมู่จวินฮานใหม่ แววตาของเขาเปี่ยมเล่ห์จนทำให้ทั้งสองอดหวาดระแวงมิได้
“ฟางหลิงซู่เอ๋ย เขามอบมันออกมาหรือยัง ? ” ประมุขเผ่ามิได้มองมู่จวินฮานอีกต่อไปแต่หันไปมองฟางหลิงซู่แทน เมื่อมู่จวินฮานได้ยินก็เข้าใจทันทีว่าพวกเขาต้องการสิ่งใดจากตน แต่ในใจก็ยังรู้สึกมิอยากเชื่ออยู่
มู่จวินฮานคาดมิถึงว่าประมุขเผ่าปิงชวนจะมีความทะเยอทะยานมากเพียงนี้ ให้เขาถอยทัพแล้วยังมิพอ ทว่ายังเพ้อฝันอยากได้กำลังทหารภายใต้บัญชาของเขาไปครองด้วย
ฟางหลิงซู่ส่ายศีรษะและหันมามองมู่จวินฮานพร้อมประมุขเผ่า สีหน้าของประมุขเผ่ายังมิเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นทำให้รู้สึกขนลุกและมิกล้าสบตา
“เป็นอย่างไร อ๋องมู่ เจ้ายังต้องการโอกาสอีกหรือไม่ ? ” เวลานี้ประมุขเผ่าหันมาเผชิญหน้ากับมู่จวินฮานและรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจในสิ่งที่ต้องการสื่อแน่นอน
“ข้าโง่เขลาจึงมิรู้ว่าประมุขเผ่ากำลังกล่าวถึงอันใด ? ” ตอนนี้สิ่งที่มู่จวินฮานทำได้ก็มีแค่แกล้งโง่
เกรงว่าเวลานี้ทหารของต้าโจวคงคิดแค่ว่าเขาหนีทหาร ละทิ้งแผ่นดิน แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาจะมาอยู่ในคุกใต้ดินของเผ่าปิงชวน
“เจ้ามิต้องแกล้งโง่เขลาเบาปัญญาหรอก ข้าจักให้ดูสิ่งหนึ่งแล้วเจ้าก็จะฉลาดขึ้นมาเอง”