พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 759 รอยสัก
ตอนที่ 759 รอยสัก
“เถ้าแก่ โรงน้ำชาของท่านรับสมัครคนงานหรือไม่ ? ” อันหลิงเกอรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าโรงน้ำชาแห่งนั้นเพราะสิ่งที่นางต้องการในตอนนี้คือสถานที่พักรักษาตัวกับงาน
ในโรงน้ำชาแห่งนี้มีคนทำงานอยู่เพียงคนเดียวก็คือเถ้าแก่ อันหลิงเกอจึงแปลกใจเล็กน้อยเพราะโดยปกติแล้วโรงน้ำชาจะต้องมีคนช่วยงานจำนวนมาก เหตุใดโรงน้ำชาที่ใหญ่โตเช่นนี้จึงมีคนทำงานอยู่แค่คนเดียว
เมื่อเห็นเถ้าแก่เงียบไป อันหลิงเกอก็เข้าใจว่าเขามิอยากจ้างใคร นางจึงหันหลังเตรียมเดินออกมา แต่เขาก็เรียกนางไว้
“กู่เหนียง เจ้ามีความรู้เรื่องชาหรือไม่ ? ” ดูเหมือนเถ้าแก่กำลังตามหาสหายรู้ใจอยู่จึงเอ่ยถามเช่นนี้
อันหลิงเกอจึงหันมามอง บัดนี้นางสามารถพูดออกมาได้ตามตรงเนื่องจากไม่มีอันใดจะเสียแล้ว
“ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าการที่โรงน้ำชามีกลิ่นหอมละมุนและขายดีขนาดนี้ น่าจะมีใครสักคนมาคอยช่วยเหลือเถ้าแก่” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมคลี่ยิ้มออกมาและเตรียมเดินจากไปเหมือนเดิม
“ช้าก่อนกู่เหนียง หากเจ้าไม่ถือสาก็มาอยู่ที่โรงน้ำชาของข้าเถิด” เถ้าแก่เห็นว่าอันหลิงเกอเป็นคนตรงไปตรงมาจึงรู้สึกชื่นชมมากและยอมรับนางมาอยู่ด้วย
อันหลิงเกอรู้สึกแปลกใจเพราะคำพูดเมื่อครู่เป็นแค่การพูดไปอย่างนั้นเอง ทว่าเถ้าแก่ก็ยอมให้นางอยู่ทำงานในโรงน้ำชาเสียได้ แม้ประหลาดใจแต่อันหลิงเกอก็เลือกอยู่ที่นี่
เถ้าแก่มิเพียงให้งานอันหลิงเกอทำแต่ยังจัดเตรียมที่พักให้อีกด้วย กระทั่งตอนนี้อันหลิงเกอจึงได้ค้นพบว่านอกจากโรงน้ำชาที่ไร้ผู้ช่วยแล้ว ในเรือนยังมีญาติอยู่เพียงมิกี่คนเท่านั้น
ผ่านไปแค่สามวัน อันหลิงเกอก็จดจำชนิดของชาทั้งหมดในร้านได้อย่างแม่นยำ ภายในโรงน้ำชาแห่งนี้ อันหลิงเกอ*เสมือนปลาได้น้ำและนางสามารถทำงานได้อย่างอิสระ
เถ้าแก่ของโรงน้ำชาแห่งนี้มีนามว่าห่าวตงเยว่และนี่เป็นโรงน้ำชาใหญ่สุดในเมืองหลวง ตัวเขามีนิสัยรักสันโดษจึงดูแลกิจการโรงน้ำชาแห่งนี้เพียงลำพังและมิเคยรับลูกจ้างคนไหนมาก่อน
แต่อันหลิงเกอเป็นข้อยกเว้น เพราะเวลาปกติห่าวตงเยว่มิชอบอยู่ใกล้ชิดกับสตรีนางใด หลังผ่านไปนานวันห่าวตงเยว่ก็พบว่าอันหลิงเกอมีประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นได้เร็วและดีมาก
เนื่องจากอดีตอันหลิงเกออยู่ใกล้ชิดกับสมุนไพรจึงมีประสาทการรับกลิ่นใบชาได้ดีขนาดนี้
ในแต่ละวันอันหลิงเกอแค่ใช้จมูกดมก็สามารถบอกชื่อใบชาได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้ห่าวตงเยว่ได้เปิดมุมมองใหม่และในเมืองหลวงแห่งนี้เขายังมีร้านค้าอีกจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเดินทางไปตรวจดูกิจการทุกวัน
วันนี้จู่ ๆ เขาก็อยากยกโรงน้ำชาแห่งหนึ่งให้อันหลิงเกอดูแลเพราะนางมีประสาทสัมผัสในการรับรู้กลิ่นใบชาได้เร็วและดีกว่าคนปกติ ดังนั้นการให้นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยก็คงสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นอันหลิงเกอใช้เวลาเพียงห้าวันก็สามารถเป็นเถ้าแก่เนี้ยดูแลโรงน้ำชาอีกแห่งได้แล้ว ทว่ารอยแผลบนใบหน้าของนางนำพาความยุ่งยากมาเยือนเสียได้
ตอนนี้นางต้องดมกลิ่นชาทุกวันจึงมิอาจใส่ผ้าคลุมไว้ได้ตลอด แต่ถ้ามิใส่ผ้าคลุมแล้วลูกค้าจำนวนมากก็จะไม่ซื้อชาเนื่องจากเกรงกลัวใบหน้าของนาง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อันหลิงเกอต้องปวดหัวสุด ๆ
เวลาล่วงเลยสู่ยามค่ำคืน วันนี้ห่าวตงเยว่พาสตรีนางหนึ่งมาที่ห้องของอันหลิงเกอ แม้อันหลิงเกอรู้สึกแปลกใจแต่ก็ยังให้พวกเขาเข้ามา
“นางคือช่างสักฝีดีที่สุดของเมืองหลวง หากเจ้าไม่ถือสาก็สามารถให้นางช่วยแก้ไขใบหน้าได้” เสียงของห่าวตงเยว่น่าฟังมาก มันอ่อนโยนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเข้าสู่หัวใจของอันหลิงเกอทันที
อันหลิงเกอพยักหน้ารับเพราะรู้ว่าใบหน้าในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แม้ห่าวตงเยว่มิเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่นางก็รู้ดีแก่ใจ
เมื่อห่าวตงเยว่พาช่างสักสตรีผู้นี้เข้ามาแล้วก็เดินจากไปโดยทิ้งให้อันหลิงเกอและช่างสักอยู่กันตามลำพัง ช่างสักผู้นี้งดงามมาก บริเวณเหนือกระดูกไหปลาร้าของนางมีรอยสักรูป*เหลียนฮวาบานสะพรั่งดอกใหญ่อยู่ด้วย
“กู่เหนียงชอบดอกไม้ชนิดใดหรือ ? ” ช่างสักเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานทำให้อันหลิงเกอฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
“*ฉาฮวาก็แล้วกัน” พอนึกถึงงานในปัจจุบันแล้วอันหลิงเกอก็กล่าวออกมา
เวลาต่อมาอันหลิงเกอก็รู้สึกเจ็บและชาที่ใบหน้า เนื่องจากเส้นประสาทบนใบหน้าอ่อนไหวเป็นพิเศษ การสักลงไปแบบนี้จึงต้องเจ็บปวดมากเป็นธรรมดา
แต่อันหลิงเกอรู้ว่าตอนนี้ใบหน้าโดนทำลายไปแล้ว หากยังไม่สักทับ วันข้างหน้าก็คงออกไปเจอผู้คนได้ยาก ด้วยเหตุนี้อันหลิงเกอจึงกัดฟันและอดทนต่อความเจ็บปวด
ช่างสักเห็นอันหลิงเกอมีความอดทนมากเพียงนี้และไม่มีเสียงร้องออกมาจึงอดตกใจมิได้ เพราะมีน้อยคนที่จะทนไหว บุรุษหลายคนยังทนมิไหวโดยเฉพาะการสักบนใบหน้าเช่นนี้
จากนั้นสามวันรอยสักบนใบหน้าของอันหลิงเกอก็เสร็จสมบูรณ์ ฉาฮวาสีขาวประดับไปด้วยเถาวัลย์แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของอันหลิงเกอดูสวยงามและเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
อันหลิงเกอมองใบหน้าในกระจก อดีตนางมีใบหน้าที่งดงามสมบูรณ์แบบ แต่ในปัจจุบันนี้นางมีความงามราวกับปิศาจก็มิปาน
เมื่อนางมาถึงโรงน้ำชาก็เริ่มทำการค้าของตนต่อไป แต่สิ่งที่ต่างจากเดิมคือนางไม่ต้องใช้ผ้าคลุมปกปิดบาดแผลบนใบหน้าอีกต่อไปและรอยยิ้มก็ดูสดใสกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้นางเคยโดนผู้คนเรียกว่าปิศาจบ้าง ผีร้ายบ้าง ทว่าตอนนี้แขกทุกคนเรียกนางว่าเทพธิดา*ไป๋ฉาและบอกว่านางเหมือนนางฟ้าที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์
นับแต่นั้นมาในเมืองหลวงก็มีข่าวลือเกี่ยวกับอันหลิงเกอแพร่สะพัดไปทั่วโดยบอกว่านางเป็นสตรีงดงามและบนใบหน้ามีฉาฮวาสีขาวประดับไปด้วยเถาวัลย์อยู่ บ้างก็บอกว่าเป็นเทพธิดาเดินดิน
เป็นธรรมดาที่ไป๋หลี่หมิงซานจะทราบข่าวนี้และรู้ว่าคนผู้นั้นคืออันหลิงเกอ ตอนนี้ในใจเขาสับสนไปหมดเพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขาคิดถึงอันหลิงเกอมาก เนื่องจากนางอยู่กับเขามานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว
มิว่าเป็นความฉลาดหรือฝีมือการเล่นหมากล้อมของนางล้วนทำให้เขาประทับใจ แต่ตอนนี้นางจากจวนอ๋องไปแล้ว ไป๋หลี่หมิงซานก็หาสตรีที่มีความคิดเหมือนตนมิได้อีก
เป็นเหตุให้ไป๋หลี่หมิงซานมายังโรงน้ำชาที่อันหลิงเกอดูแลอยู่ แต่พออันหลิงเกอเห็นเขายืนอยู่ที่หน้าประตูก็อดตกตะลึงมิได้ เขามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้แต่เพราะเป็นคนในราชวงศ์นางจึงมิอยาก…
“เจ้ามาทำไม ! ” คำพูดประโยคนี้มิได้เป็นของอันหลิงเกอแต่เป็นห่าวตงเยว่ที่อยู่ด้านหลังนาง พอเห็นไป๋หลี่หมิงซานแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“มิได้พบกันเสียนาน” ไป๋หลี่หมิงซานก็ตกตะลึงเช่นกันเพราะเดิมทีมิอยากเจอห่าวตงเยว่แต่สุดท้ายก็ต้องได้เจอ จังหวะที่บุรุษทั้งสองสบตากันบรรยากาศโดยรอบก็ดูอึดอัดขึ้นมาทันที
จากนั้นห่าวตงเยว่ก็สังเกตเห็นสายตาที่ต่างออกไปของอันหลิงเกอ เขาจึงรู้ว่าวันนี้ไป๋หลี่หมิงซานมาหานางและมิได้มาหาเรื่องตน
เมื่อรู้เช่นนี้ห่าวตงเยว่ก็มิได้กล่าวอันใดอีก เพียงเดินออกมาเพื่อให้ทั้งสองคนได้มีโอกาสสนทนากัน
“อันหลิงเกอ ช่วงหลายวันที่เจ้ามิอยู่ ข้า.. ข้ารู้สึกโดดเดี่ยวมาก เจ้ากลับจวนกับข้าได้หรือไม่ ? ” ไป๋หลี่หมิงซานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเพราะเขาพบว่าตกหลุมรักอันหลิงเกอเข้าแล้ว
“ต้องขออภัยท่านอ๋องด้วย ข้ามิอยากยุ่งเกี่ยวกับพวกเชื้อพระวงศ์อีกต่อไป ท่านเชิญกลับไปเถิด” มิได้เป็นเพราะนิสัยของเขา แต่เป็นเพราะอันหลิงเกอมิอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์จริง ๆ
…
*เสมือนปลาได้น้ำ หมายถึง การได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมอันเหมาะสมหรือการที่ใครคนหนึ่งสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดี
*เหลียนฮวา คือ ดอกบัว
*ฉาฮวา คือ ดอกคามีเลียซึ่งเป็นดอกของพืชที่อยู่สกุลเดียวกับชา
*ไป๋ฉา คือ ดอกคามีเลียสีขาว