พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 765 เร้นกายในหุบเขา ( ตอนจบ )
ตอนที่ 765 เร้นกายในหุบเขา ( ตอนจบ )
“ไปเถิด ข้าจะรอเจ้าอยู่บนรถม้าหน้าจวน ตอนนี้มีองครักษ์อยู่รอบกายดังนั้นเจ้าปลอดภัยแน่นอน” ไป๋หลี่เฉินให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นาง ทว่าในความเป็นจริงแล้วอันหลิงเกอมิได้กังวลเรื่องใดเลย
จากนั้นอันหลิงเกอก็เดินเข้าจวนอ๋องมู่พร้อมใบหน้าเพียงครึ่งเดียวที่เผยรอยสักฉาฮวาสีขาวท่ามกลางเถาวัลย์
จวนอ๋องมู่ที่นางจากไปนานเมื่อได้หวนคืนอีกครั้งก็มาพร้อมราชโองการในมือ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าขวางทาง
ตอนนี้หลู่เยว่เยว่ยังพอหลงเหลือสติอยู่บ้างแต่ปวดร้าวไปทั่วร่างจนต้องข่วนตัวเองเป็นรอยเลือดไปหมด ส่วนมู่จวินฮานก็คอยอยู่เคียงข้างพร้อมกุมมือนางไว้
แม้อันหลิงเกอเตรียมใจมาดีแล้ว ทว่าเมื่อได้เห็นภาพนี้หัวใจก็กลับมาปวดร้าวอีกครั้ง
นางยังเดินต่อไปและมิได้คำนับมู่จวินฮานแต่อย่างใด เพียงเดินเข้าไปตรวจชีพจรของหลู่เยว่เยว่เท่านั้น
เมื่อครู่มีคนเข้ามารายงานว่าท่านหมอมาถึงแล้ว ทำให้มู่จวินฮานรู้ว่าสตรีผู้นี้ก็คือหมอเทวดาที่ได้รับราชโองการมาจากฮ่องเต้ เดิมทีเขาคิดว่าท่านหมอเป็นบุรุษแต่คาดมิถึงว่าจะเป็นสตรีที่อ่อนเยาว์เพียงนี้
เมื่อเห็นรอยสักฉาฮวาสีขาวประดับเถาวัลย์บนใบหน้าของอีกฝ่าย มู่จวินฮานก็ทราบฐานะของนางทันที และเขาได้ยินมาว่าบัดนี้ต้าโจวกับเผ่าพิษหนอนกู่เป็นพันธมิตรกันแล้ว
แม้แต่เทพธิดาไป๋ฉาแห่งเผ่าพิษหนอนกู่ยังอยู่ที่นี่ เขาจึงเชื่อว่าข่าวนี้ถูกต้องแล้วแน่นอน
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดขณะมองใบหน้าเพียงครึ่งเดียวและรอยแผลเป็นจาง ๆ บนใบหน้าของนางแล้ว มู่จวินฮานก็รู้สึกปวดใจ เขามิรู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน
ส่วนหลู่เยว่เยว่ก็รับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาจับชีพจรของตน พอเงยหน้ามองและเห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียวของอันหลิงเกอแล้ว นางก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบสงบลงอย่างรวดเร็ว
เพราะนางเข้าใจเรื่องรอยแผลเป็นของอันหลิงเกอดีกว่าผู้ใด แต่อันหลิงเกอตายโดยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายไปแล้วมิใช่หรือ
“เกอเอ๋อ เจ้าเป็นอันใด ? นี่คือท่านหมอที่มาดูอาการของเจ้าโดยเฉพาะ” เนื่องจากเสียงร้องเมื่อครู่ของหลู่เยว่เยว่ทำให้มู่จวินฮานตกใจจึงรีบเข้ามาปลอบนางทันที
“ขะ ข้า…” ในขณะที่หลู่เยว่เยว่กำลังทำตัวไม่ถูก ทันใดนั้นผ้าที่คลุมใบหน้าของอันหลิงเกอก็หลุดออกและพอมู่จวินฮานได้เห็นก็ต้องประหลาดใจกับใบหน้าที่เกือบคล้ายกันของทั้งสอง
“เจ้า ! ” เขาไม่มีทางลืมเพราะนางคือสตรีที่วางยาพิษตนในอดีตและรอยแผลเป็นบนใบหน้าของปิศาจตนนั้นยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับรอยสักฉาฮวาของเทพธิดาไป๋ฉาผู้นี้ด้วย
พลันหัวใจของมู่จวินฮานก็เหมือนโดนบีบรัด ผู้ที่ทำให้ไป๋หลี่เฉินคอยสนับสนุนได้…
ไม่มีทาง หากนางคือเกอเอ๋อ แล้วคนตรงหน้านี้เป็นผู้ใดเล่า !
“มู่จวินฮาน มิได้พบกันเสียนาน” อันหลิงเกอเอ่ยทักทายพร้อมคลี่ยิ้มให้ ทว่าแววตาเต็มไปด้วยความประชดประชัน
ความรู้สึกไม่สามารถหลอกลวงผู้ใดได้และครู่หนึ่งนับจากนั้นมู่จวินฮานก็มั่นใจว่าเทพธิดาไป๋ฉาคืออันหลิงเกอ
ทว่ามู่จวินฮานมิอยากเชื่อเพราะเขาเป็นคนสั่งทำลายโฉมหน้าของนางเอง ทั้งยังจดจำนางมิได้อีก บัดนี้นางก็หวนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งจึงเป็นไปมิได้ !
“จวินฮาน ข้า…” หลู่เยว่เยว่ก็สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขาจึงรีบเอ่ยขึ้นมา
“เจ้าเป็นผู้ใด ? ” มู่จวินฮานมองหลู่เยว่เยว่ด้วยความรู้สึกสงสัย สองมือของเขาสั่นเล็กน้อยและมองอันหลิงเกอตัวจริงด้วยสายตามิอยากเชื่อ
อันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่ได้ยินมู่จวินฮานเอ่ยถามหลู่เยว่เยว่ว่าคือผู้ใด
แสดงว่าที่นอกห้องขังในวันนั้น…
“หลู่เยว่เยว่ เจ้าคงเจ็บปวดมากใช่หรือไม่ ? ” ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและคลี่ยิ้มพลางจ้องมองหลู่เยว่เยว่
ส่วนมู่จวินฮานพอได้ยินชื่อนี้แล้วก็รู้สึกมิคุ้นเคยเอาเสียเลย
“เจ้าคือเกอเอ๋ออย่างนั้นหรือ ? แล้วเจ้า…” มู่จวินฮานรู้สึกเหมือนได้พบนักเล่นกลที่แสนเก่งกาจ หลู่เยว่เยว่ผู้นี้ใช้ตัวตนของอันหลิงเกอมาอยู่ในจวนอ๋องนานเพียงนี้เชียวหรือ ?
“มิใช่ คือข้า…” หลู่เยว่เยว่ยังอยากพูดบางอย่าง แต่อันหลิงเกอก็มาขวางอยู่เบื้องหน้าของนางและหยิบขวดชนิดหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อ จากนั้นก็โรยผงในขวดใส่ใบหน้าหลู่เยว่เยว่
“ฮึฮึ ต่อไปนี้เจ้ายังจะมีใบหน้าเหมือนข้าอยู่หรือไม่ ? ”
ยาชนิดนี้คือยาที่อันหลิงเกอค้นพบในเผ่าพิษหนอนกู่ซึ่งหลู่เยว่เยว่ไม่มีทางเกิดมาแล้วมีใบหน้าเหมือนนางเลยแน่นอน อาจเพราะอัครมหาเสนาบดีหลู่ใช้วิธีบางอย่างมาเล่นกลและผงยานี้ก็จะทำให้หลู่เยว่เยว่กลับคืนโฉมหน้าเดิม
จากนั้นมินานหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของหลู่เยว่เยว่ก็หลุดลอกออกมา อาจเพราะผ่านไปนานเกินไปจึงทำให้หน้ากากเชื่อมติดกับใบหน้าจริงจนทำลายโฉมหน้าแท้จริงของหลู่เยว่เยว่ให้กลายเป็นน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน
“นี่…”
มู่จวินฮานรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากและยังมิทันได้ตอบสนองอันหลิงเกอก็เดินจากไปแล้ว
มิว่าผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นไร นางก็ไม่คิดให้อภัยเขาอีก
…
“หืม ? เจ้าบอกว่าอ๋องมู่ไม่ได้ร่วมมือกับฟางหลิงซู่อย่างนั้นหรือ ? ”
เวลานี้องค์ชายเจ็ดเห็นว่าแผนการที่วางไว้ใกล้สำเร็จแล้ว เดิมทีหลงเข้าใจผิดว่ามู่จวินฮานจะทำเพื่อปกป้องพระชายาและร่วมมือกับฟางหลิงซู่ ดังนั้นฮ่องเต้จะต้องกำจัดมู่จวินฮานอย่างแน่นอน
แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าความร่วมมือในครั้งนี้โดนอันหลิงเกอทำลายลงอย่างลับ ๆ
“บัดนี้แม่ทัพที่ไปทำศึกกับเผ่าปิงชวนคือผู้ใด ? ” องค์ชายเจ็ดถามด้วยสีหน้าร้ายกาจ
“ปะ เป็นแม่ทัพลู่จ้านพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็จงทำให้ลู่จ้านไปแล้วมิได้กลับมาอีก ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากองครักษ์ขานรับก็ไปถ่ายทอดคำสั่งของจ้าวหลานหยู่อย่างรวดเร็ว
ทางฝั่งอันหลิงเกอก็วางแผนจะออกจากต้าโจวอยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นนางก็ได้รับข่าวเรื่องการเสียชีวิตของลู่จ้าน
ลู่จ้านมิใช่คนประมาทจึงทำให้อันหลิงเกอรู้ว่าเรื่องนี้มิใช่อุบัติเหตุในสนามรบอย่างแน่นอน
“ไป๋หลี่เฉิน เจ้ากลับเผ่าไปก่อนเถิด ข้าจะอยู่จัดการเรื่องนี้ก่อน” เรื่องนี้อันหลิงเกอมิอาจนิ่งเฉยเพราะนางต้องหาตัวฆาตกรที่สังหารลู่จ้านให้จงได้
“อืม ก็ได้” แม้ในใจของไป๋หลี่เฉินจะมีลางสังหรณ์ว่าหากอันหลิงเกอยังอยู่ที่นี่ต่อนางอาจมิได้กลับไปอยู่ข้างกายเขาอีกแล้ว ทว่าก็ยังตอบรับ
มิใช่แค่อันหลิงเกอที่กำลังสืบเรื่องนี้เพราะมู่จวินฮานก็กำลังตามสืบอยู่เช่นกัน แม้เขากับลู่จ้านมิได้มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งอันใดต่อกัน แต่ลู่จ้านก็เป็นขุนนางใหญ่ของต้าโจว เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขาจึงมิอาจอภัยให้ผู้ลงมือได้ !
“ท่าน…” ตอนนี้อันหลิงเกอลอบเข้ามาค้นจวนของจ้าวหลานหยู่และนางก็ได้พบกับมู่จวินฮานอีกครา
“ระวัง ! ” มู่จวินฮานดึงตัวอันหลิงเกอมากอดไว้เพื่อให้นางรอดพ้นจากสายตาของเหล่าองครักษ์
“เกอเอ๋อ” ขณะมองอันหลิงเกอที่อยู่ในอ้อมกอด หัวใจของมู่จวินฮานก็สั่นไหวขึ้นมา
แท้จริงแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมานางก็มิได้อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด
“ทำเรื่องสำคัญก่อนเถิด” เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจของอันหลิงเกอจะมิหวั่นไหวได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้มิใช่เวลาเหมาะสมสำหรับการคิดฟุ้งซ่าน
“นั่นคือสิ่งใด ! ” อันหลิงเกอนั่งอยู่บนกำแพงฝั่งลานกว้างของจวนองค์ชายเจ็ดจึงเห็นแจกันลายครามวางซ้อนกันอยู่บริเวณกลางลาน
“บัดซบ” ดูเหมือนมู่จวินฮานจะคิดอันใดขึ้นได้ เกรงว่าโรคระบาดในปีนั้นและการที่แคว้นชิงเยว่ยอมจำนน…
“เข้าวังกับข้า” หลังจากนั้นเขาก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว
พอแคว้นชิงเยว่ยอมจำนนแล้ว ยาพิษที่ทำให้เกิดโรคระบาดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เดิมทีมู่จวินฮานคิดว่าฮ่องเต้ทรงปกปิดเรื่องนี้ไว้ แต่คาดมิถึงว่ายาพิษตัวนั้นจะอยู่ในจวนของจ้าวหลานหยู่
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ! ” มู่จวินฮานเข้าวังมาเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยเฉพาะ แต่เขาพบว่าในท้องพระโรงมีเพียงความมืดมิดจึงรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
“องค์ชายสี่อยู่ที่ใด ? ” เขาเอ่ยถามองครักษ์เงาที่ติดตามมา
“องค์ชายสี่ทราบว่าในวังมีการเปลี่ยนแปลงและกำลังรีบเสด็จมาที่นี่ขอรับ ! ”
มู่จวินฮานคาดมิถึงว่าในขณะที่พวกตนกำลังตรวจสอบจวนของจ้าวหลานหยู่ อีกฝ่ายก็นำกำลังทหารเข้าวังมาก่อนเพียงหนึ่งก้าว !
ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าหลังจากที่จ้าวหลานหยู่สังหารลู่จ้านได้แล้วก็ยึดอำนาจทางทหารไว้และนำทัพบุกชิงบัลลังก์
คาดมิถึงว่าผ่านไปเพียงระยะเวลาสั้น ๆ จ้าวหลานหยู่ยังสามารถวางแผนได้แยบยลเพียงนี้
บัดนี้องค์ชายสี่ได้นำกำลังทหารของพระองค์และของจวนโหวมาถึงวังหลวง ส่วนมู่จวินฮานก็เร่งระดมทหารใต้บัญชามาช่วยรับมือกับจ้าวหลานหยู่
การต่อสู้ในครั้งนี้มีการบาดเจ็บล้มตายนับมิถ้วนและยังมีขุนนางอีกมากมายเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
เมื่อองค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่พ่ายแพ้ ผู้ที่สนับสนุนเขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตต่อหน้าราษฎรรวมถึงอันหลิงอีผู้หลงผิด…
ในเวลาเดียวกันเผ่าปิงชวนก็ได้ทราบถึงสถานการณ์ของต้าโจวแล้วจึงเร่งระดมพลเข้ารุกรานทันที
“กระหม่อมยินดีนำทัพสู้ศึกในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
มู่จวินฮานทูลออกมา ส่วนองค์ชายสี่ที่ยังมิได้ขึ้นครองบัลลังก์จึงเลือกแก้ปัญหาตรงชายแดนก่อนเพื่อทำให้ต้าโจวกลับมาปลอดภัยที่สุด
“ท่าน…” ก่อนมู่จวินฮานจะออกเดินทาง หัวใจของอันหลิงเกอก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
“ข้าให้สัญญาว่าเมื่อกลับมาพร้อมชัยชนะแล้วจักพาเจ้าไปอยู่ในหุบเขา เราสองจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักอีก” เรื่องนี้มู่จวินฮานเคยรับปากอันหลิงเกอมานานมากและใกล้ถึงเวลาทำตามสัญญาแล้ว
ในยามที่มู่จวินฮานทำสงครามอยู่ ณ ชายแดน ฝ่ายอันหลิงเกอก็มิได้อยู่เฉย เพราะนางใช้ความรู้จากตำราพิชัยสงครามที่เขาทิ้งไว้มาช่วยสนับสนุนองค์ชายสี่ให้ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ล้มล้างระบอบอ๋องและเริ่มใช้*ระบบสามสำนักหกกรมในการบริหารแผ่นดิน
มิว่าเป็นศึกภายในหรือภายนอกแคว้นก็ยุติลงได้เพราะความช่วยเหลือของสองสามีภรรยาคู่นี้
พอมู่จวินฮานกลับเมืองหลวงอีกคราก็ล่วงเลยไปถึงครึ่งปีแล้ว ลือกันว่าแม้ต้องตายฟางหลิงซู่ก็มิยอมจำนนจึงเลือกกระโดดหน้าผาเพื่อปลิดชีพแทนการเป็นเชลยศึก
ในวันแห่งชัยชนะ อันหลิงเกอได้พาบุตรทั้งสามมายืนรอที่นอกประตูเมือง นางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร รู้เพียงว่าในที่สุดอุปสรรคต่าง ๆ ก็สิ้นสุดลง
ใต้หล้าที่แสนวุ่นวายนี้ พวกนางกำลังจะได้ไปอยู่ในสถานที่สงบสุขและใช้ชีวิตบั้นปลายร่วมกันอย่างไร้กังวล
จบบริบูรณ์.