พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 95 โยนความผิดให้ผู้อื่น
ตอนที่ 95 โยนความผิดให้ผู้อื่น
การลอบทำร้ายคุณชายแห่งจวนโหวถือเป็นโทษใหญ่หลวง!
สาวใช้ทั้งสองคนตะลึงในทันทีที่ถูกเว่ยอี๋เหนียงใช้น้ำเสียงดุร้ายในการถาม
พวกนางริมฝีปากสั่น ใบหน้าผอมแห้งยิ่งสั่นเทา สายตาลุกลี้ลุกลน แต่ก็ยังปฏิเสธที่จักยอมรับความผิด
หนึ่งในสาวใช้คุกเข่าอ้อนวอนเว่ยอี๋เหนียง นางโขกหน้าผากลงพื้น กระแทกจนเลือดไหลออกมามิหยุด “บ่าวขอร้องเว่ยอี๋เหนียงช่วยตรวจสอบด้วยเถิดเจ้าค่ะ เราสองคนแค่พาคุณชายหยูมาเล่น นี่เป็นคำสั่งของท่านเองแล้วจักกลายเป็นพวกเราถูกคนบงการให้ลอบทำร้ายคุณชายได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ! “
ส่วนสาวใช้อีกคนก็ร้องไห้จนน้ำมูกไหลแต่ยังเกรงว่าตนจักมิน่าสงสารมากพอจึงยิ่งร้องให้เสียงดัง “ พวกเราทุ่มเทสุดกายใจรับใช้เว่ยอี๋เหนียง แต่สุดท้ายถูกใส่ร้ายว่าลอบทำร้ายคุณชายหยู นับเป็นเวรกรรมของพวกบ่าวโดยแท้ ! “
นางกล่าวไปพลางดึงสาวใช้อีกคนมากราบเว่ยอี๋เหนียงมิหยุด แววตาดูเศร้าหมองและสิ้นหวัง “เว่ยอี๋เหนียงเพิ่งออกมาจากเรือนเพียน แม้ท่านจักรีบร้อนแสดงอำนาจต่อหน้าบ่าวรับใช้ แต่ก็มิควรให้พวกข้าน้อยที่ไร้ความผิดมาเป็นเหยื่อเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูนะเจ้าคะ ! “
คำพูดนี้กล่าวได้มิน่าฟังยิ่ง ความหมายหนึ่งบอกว่าพวกนางถูกปรักปรำ อีกความหมายบอกว่าเรื่องนี้เป็นการวางแผนของเว่ยอี๋เหนียงโดยเอาชีวิตบุตรชายของตนมาเป็นเครื่องมือเพื่อต้องการแสดงอำนาจในจวนโหว
หากมีผู้อื่นล่วงรู้ก็คงนึกว่าผู้ที่กล้าเอาชีวิตบุตรแท้ ๆ มาใส่ร้ายผู้อื่นเยี่ยงเว่ยอี๋เหนียงนั้นช่างอำมหิต!
คำกล่าวที่แฝงความหมายโดยนัยของสาวใช้ผู้นี้ยิ่งเป็นเหตุให้เว่ยอี๋เหนียงโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ นางจึงยกมือชี้หน้าสาวใช้ผู้นั้น
“บ่าวสารเลว ! “
เว่ยอี๋เหนียงด่าออกไปด้วยริมฝีปากสั่นระริกและท้ายที่สุดก็เค้นคำด่าออกมาได้เพียงคำเดียว
อันหลิงเกอเห็นสาวใช้กลับคำพูดจากดำเป็นขาว ใบหน้าของนางจึงฉายแววเย็นชาออกมา นางเดินไปยืนด้านข้างของเว่ยอี๋เหนียงแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้ากล่าวว่าการพาคุณชายหยูมาเล่นเป็นคำสั่งของเว่ยอี๋เหนียง เช่นนั้นข้าจักถามพวกเจ้าว่าเว่ยอี๋เหนียงสั่งให้พาคุณชายหยูมาเล่นข้างทะเลสาบที่อันตรายเยี่ยงนี้หรือไม่ ? “
สาวใช้ทั้งสองอ้าปากอยากโต้แย้ง แต่พอสบสายตาแหลมคมของอันหลิงเกอก็ตกตะลึงจนนิ่งอยู่ตรงนั้น ลืมสิ่งที่ตนจักกล่าวจนสิ้น
เมื่อเห็นท่าทีของสาวใช้สอง อันหลิงเกอก็หัวเราะเยาะออกมา “จักว่าไปแล้ว หากเว่ยอี๋เหนียงมิได้สั่งให้พวกเจ้าพาคุณชายหยูมายังสถานที่อันตรายเยี่ยงทะเลสาบ แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงพาหยูเกอร์เอ๋อมาที่นี่และผลักเขาตกน้ำ ? “
“บ่าว…ในตอนที่พวกบ่าวเห็นคุณชายหยูก็ตกน้ำไปแล้ว พวกบ่าวอยากช่วยดึงคุณชายแต่ร่างกายของบ่าวอ่อนแอมิได้จับคุณชายไว้ให้แน่น แต่พวกบ่าวมิได้ผลักคุณชายหยูตกน้ำแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ! “
สาวใช้ที่คุกเข่าหมอบลงคนแรกตั้งสติขึ้นมาได้ก็รีบคิดคำพูดให้ตนรอดพ้นจากโทษ
สาวใช้อีกคนก็รีบกล่าวเสริม “ใช่เจ้าค่ะ พวกเราเป็นสาวใช้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาดูแลคุณชายหยู เหตุใดต้องจงใจทำร้ายเจ้านายของตนด้วยเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มองเห็นเหตุการณ์จากที่ไกลจึงอาจมองผิดก็เป็นเรื่องปกติ แต่คำพูดเพียงมิกี่คำของท่านอาจเอาชีวิตเล็ก ๆ ของพวกบ่าวไปได้เลยเจ้าค่ะ เยี่ยงนั้นบ่าวขอให้ท่านโปรดระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ”
สาวใช้คนนี้ตำหนิว่าอันหลิงเกอใส่ร้ายพวกนาง กล่าวหาพวกนางว่าลอบทำร้ายอันหลิงหยู หากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปแล้ว ชื่อเสียงของอันหลิงเกอก็จักแย่ลงได้
เมื่อได้ฟังสาวใช้กล่าวล่วงเกินอันหลิงเกอ หมิงซินที่ยืนอยู่ข้างกายอันหลิงเกอก็ทนมิไหวจึงย่อตัวลงแล้วดึงเสื้อด้านหลังอันหลิงหยูออก “เว่ยอี๋เหนียงโปรดดูเจ้าค่ะ ด้านหลังคุณชายหยูยังมีรอยฝ่ามือของพวกนางอยู่ แม้จักมิชัดเจนแต่ก็มองออกว่ามีคนผลักคุณชายตกน้ำ และรอยฝ่ามือนี้ต้องเป็นของสาวใช้หนึ่งในสองคนนี้เจ้าค่ะ!”
เว่ยอี๋เหนียงได้ฟังเยี่ยงนั้นก็จ้องมองไปทางด้านหลังของอันหลิงหยู พบว่ามีรอยฝ่ามือปรากฏอยู่จริง ๆ
เนื่องจากสาวใช้ผู้นั้นต้องการผลักอันหลิงหยูไปตรงน้ำลึกจึงใช้แรงมิน้อย เป็นเหตุให้ด้านหลังของเด็กน้อยผิวบอบบางปรากฏรอยฝ่ามือจาง ๆ
“ในเมื่อหลักฐานครบถ้วนเยี่ยงนี้แล้ว พวกเจ้ายังจักเอ่ยคำใดออกมาอีกหรือไม่ ? ” ดวงตาของเว่ยอี๋เหนียงเต็มไปด้วยความโกรธ แววตาที่ดูอ่อนโยนบัดนี้จ้องมองไปทางสาวใช้ทั้งสองอย่างโกรธแค้น
สาวใช้ทั้งสองสบตากันหนึ่งที จากนั้นใบหน้าของพวกนางก็เริ่มปรากฏร่องรอยของความตื่นตระหนก
พวกนางเงียบไปชั่วครู่ก็หาข้ออ้างมาเถียงมิออกจึงได้แต่ร้องขอเว่ยอี๋เหนียง “เว่ยอี๋เหนียงโปรดไว้ชีวิตด้วยเจ้าค่ะ พวกบ่าวถูก…”
“อุ๊ย ที่นี่คึกคักอันใดกันเล่า ? “
หลี่ซื่อทำท่าราวกับเดินผ่านมาโดยบังเอิญ เมื่อเหลือบเห็นสาวใช้ทั้งสองคนนั่งคุกเข่าอยู่จึงแอบด่าภายในใจว่าโง่ คนโง่ย่อมทำแต่เรื่องล้มเหลว สายตาของนางมีความเย็นชา ทว่าใบหน้ามีรอยยิ้มเสแสร้งให้ผู้ที่เห็นคาดเดาความคิดมิออก
ดวงตาคู่งามโค้งขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มประดับ นางจ้องเว่ยอี๋เหนียงมิหยุด “ตั้งแต่ข้าเข้ามาที่จวนโหว น้องหญิงก็พักอาศัยแต่ในเรือนเพียนมิยอมออกมา ข้ามิสามารถพูดคุยร่วมจิบชากับเจ้าจึงรู้สึกเศร้าใจมิน้อย ใครจักคิดว่าผ่านไปหลายปีแล้วเจ้าจักได้ออกจากเรือนเพียนเพื่อรับใช้ท่านแม่ ในใจข้ารู้สึกยินดีเหลือเกิน”
เว่ยอี๋เหนียงมิยอมใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนเพียนดี ๆ แต่วิ่งโร่ออกมาสู้กับนาง ตัวนางเองก็อยากสังหารคนน่ารังเกียจเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืนเหมือนกับที่สังหารหญิงสารเลวเยี่ยงฮูหยินใหญ่อัน !
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้แววตาของหลี่ซื่อก็มีประกายโหดเหี้ยมผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง เป็นเหตุให้เว่ยอี๋เหนียงรู้สึกเกรงกลัวจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ช่างต่างจากอันหลิงเกอที่ส่งยิ้มให้หลี่อี๋เหนียงด้วยแววตาล้ำลึก “หลี่อี๋เหนียงมาได้พอดี มิรู้ว่าสาวใช้สองคนนี้ได้รับคำสั่งจากผู้ใดจึงกล้าทำร้ายเจ้านายเกือบตาย ข้ากับเว่ยอี๋เหนียงกำลังสืบสวนพวกนางอยู่ แต่พวกนางปากแข็งยิ่งนัก ให้ตายก็มิยอมรับผิด ตอนนี้มีหลี่อี๋เหนียงอยู่จักต้องสามารถสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลังและคืนความบริสุทธิ์แก่จวนโหวได้อย่างแน่นอน”
ในเมื่อจวนโหวทั้งจวน นอกจากเรื่องของห้องเก็บสมบัติ เรื่องอื่นก็เป็นหลี่ซื่อดูแลทั้งหมด ตอนนี้มีคนทำร้ายเจ้านายย่อมต้องให้หลี่ซื่อมาจัดการ
เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าของสาวใช้ทั้งสองก็ฉายแววดีใจ แววตาที่เกรงกลัวค่อย ๆ จางหาย พวกนางคิดว่าขอเพียงเรื่องนี้ถูกจัดการโดยหลี่ซื่อ ตนก็จักรอดปลอดภัย !
เว่ยอี๋เหนียงเห็นแววตาของพวกนางจักมิรู้ได้เยี่ยงไรว่าสาวใช้ทั้งสองก็คือคนที่หลี่ซื่อส่งมาทำร้ายหยูเกอร์เอ๋อ !
เมื่อนึกถึงอันหลิงหยู นางก็รู้สึกโมโหขึ้นมา แววตาปะทะกับสายตาแหลมคมของหลี่ซื่ออย่างไร้ความเกรงกลัว “คุณหนูใหญ่กล่าวหาว่าสาวใช้ที่อำมหิตสองคนนี้กล้าทำร้ายเจ้านาย สมควรถูกตีให้ตายแล้วโยนออกจากจวนโหว พี่หญิงคิดว่าเยี่ยงไรเจ้าคะ ? “
เว่ยอี๋เหนียงแม้ถูกยกขึ้นมาอี๋เหนียงก่อนหลี่ซือ ทว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่านาง 2 ปี กอปรกับหลี่ซื่อมีที่พึ่งพาคือหลี่กุ้ยเฟยจึงมีตำแหน่งสูงกว่านางในจวน หลี่ซื่อจึงกลายเป็นพี่ ส่วนเว่ยอี๋เหนียงกลายเป็นน้อง
หลี่ซื่อถูกบ่าวสองคนร้องเรียกมิหยุด มุมปากมีรอยยิ้มที่แปลความหมายมิออก “ในเมื่อน้องหญิงสืบความจริงได้แล้ว สาวใช้ที่อำมหิต 2 คนนี้ก็ต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน”
“ฮูหยินรองได้โปรดไว้ชีวิตเจ้าค่ะ ! ” สาวใช้สองคนรีบโขกศีรษะลงพื้น หนึ่งในนั้นจ้องตาหลี่ซื่อและกำลังจักไปดึงปลายกระโปรงของเจ้านาย “ฮูหยินรอง บ่าวทำเพื่อ…”