เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 1104 สักวันหนึ่ง...
ตำรวจฟังคำพูดของเฉินชางแล้วถอนหายใจเช่นกัน “ผมติดต่อญาติคนไข้ไปแล้ว คงใกล้ถึงแล้วครับ”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของตำรวจ ก็มีคนสามคนวิ่งเข้าแผนกฉุกเฉินมาอย่างเร่งรีบ
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดสองคนประคองคุณป้าอายุหกเจ็ดสิบคนหนึ่ง
พอเข้ามาถึง คุณป้ามองทุกคนพร้อมพูดว่า “สวัสดีค่ะคุณตำรวจ ฉันเป็นแม่ของอวี๋หวั่น ลูกสาวฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ”
คุณป้าสีหน้ากังวล บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและจนปัญญา ถามพร้อมเสียงสะอื้น
เฉินชางเห็นแล้วอดพูดไม่ได้ “ตอนนี้อวี๋หวั่นยังไม่ฟื้นครับ แต่พ้นขีดอันตรายชั่วคราวแล้ว”
คุณป้าได้ยินแล้วถอนหายใจยาว “เฮ้อ…”
พี่สาวทั้งคนเองก็สีหน้าโศกเศร้าเต็มประดา
“คุณหมอคะ ฉัน…ฉันขอไปเยี่ยมเธอหน่อยได้ไหมคะ”
เฉินชางลังเลครู่นี้ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ “ครับ ตามผมมาครับ”
เฉินชางพาทั้งสามไปเยี่ยมอวี๋หวั่นที่ยังคงหมดสติในห้องสังเกตอาการ แม้อยู่ในสภาวะหมดสติ แต่คิ้วเธอยังขมวดปมแน่น
ตอนนี้สีหน้าไม่ได้ซีดเซียวเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว ดูแดงฝาดขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ไม่รู้ทำไม เฉินชางถึงเห็นความหมดอาลัยตายอยากเต็มใบหน้าของเธอ
คุณป้าเอามือปิดปาก ร้องไห้อย่างเจ็บปวดเงียบๆ เห็นลูกสาวของตนเป็นแบบนี้ แต่คนเป็นแม่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ความรู้สึกพ่ายแพ้แบบนี้ทรมานเกินไปจริงๆ
เธออยากรู้ว่าเพราะอะไร!
ครอบครัวของเธอทำอะไรผิดกันแน่
ทำไมถึงต้องลงโทษพวกเธอแบบนี้ ทำไม…ฉันผิดไปแล้ว…ปล่อยลูกสาวฉันไปเถอะนะ
คุณป้าขาอ่อนทรุดลงพื้นโดยตรง ลูกสาวทั้งสองตกใจ รีบพยุงขึ้นมา จากนั้นทุกคนพลันออกจากห้องสังเกตอาการ
หลังจากทุกคนออกไป เสี่ยวเคอหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะยื่นให้กับคุณป้าและลูกสาวของเธอ
ความจริงเฉินชางเองก็อยากรู้ว่าทำไมเธอถึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่…ประเด็นนี้เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับตน
เหมือนอย่างที่เหล่าเฮ่อพูดไว้ ในฐานะหมอ ทำหน้าที่ที่ควรทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณก็ไม่ต้องไปสนใจ และไม่ต้องไปคิดมาก ไม่อย่างนั้นมีแต่จะเพิ่มความเครียดให้ตนเองเปล่าๆ
ทว่า เฉินชางปล่อยวางไม่ได้จริงๆ
จังหวะนี้เอง จู่ๆ เสี่ยวเคอพลันถามว่า “คุณป้าคะ อวี๋หวั่น…”
คุณป้ามองเสี่ยวเคอ อดพูดไม่ได้ “คุณ คุณคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับหวั่นเอ๋อร์สินะ”
เสี่ยวเคอพยักหน้า “ฉันก็เกิดปี 1995 ค่ะ”
คุณป้าสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้วิธีแบบนี้จบชีวิตของตัวเอง…ความจริงอวี๋หวั่นเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดีมาก เป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดีที่สุดในบรรดาลูกๆ ของฉัน เพราะฉะนั้นการกระทำของเธอในวันนี้เป็นสิ่งที่ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ น่าเสียดายที่เด็กคนนี้เกิดมาอาภัพ”
คุณป้าพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาว
“ฉันมีลูกทั้งหมดห้าคน ตอนนี้เหลือแค่พวกเธอสามคนแล้ว คนโตเสียชีวิตตอนอายุยี่สิบแปดปี คนรองเสียชีวิตตอนอายุสามสิบปี จากนั้นพ่อของพวกเขาก็เสียชีวิตตามไปด้วย ปีนี้ฉันอายุหกสิบหกปี คิดไม่ถึงว่าจะส่งคนไปสามคนแล้ว บางทีฉันก็คิดว่า ฉันเป็นตัวกาลกิณีหรือเปล่า ถึงทำให้ครอบครัวนี้ต้องโชคร้าย!”
ระหว่างที่พูด คุณป้าน้ำตาไหลไม่หยุด “หลังจากนั้นฉันจึงรู้ว่าพ่อของพวกเขาป่วยเป็นกลุ่มอาการมาร์แฟนซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม ลูกของฉันสองในห้าคนเสียชีวิตด้วยโรคนี้ จู่ๆ หลอดเลือดแดงใหญ่ก็แตก ลูกชายคนที่สองเสียชีวิตบนเครื่องบินขณะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ส่วนลูกชายคนโต…เสียชีวิตในบ้าน ฉันเฝ้าดูพวกเขาจากไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย จากนั้นพ่อของพวกเขาก็ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจ เสียชีวิตขณะผ่าตัด”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของเฉินชางเหมือนถูกกำปั้นกระแทกลงไปอย่างรุนแรง
เหมือนกลุ่มอาการมาร์แฟนกำลังหัวเราะเยาะเขา “แกดูสิ พวกแกทำอะไรฉันไม่ได้”
ในฐานะหมอ เจอเรื่องแบบนี้ ก็จนปัญญาจริงๆ
ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ การที่ช่วยคนให้หายเจ็บป่วยไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก
คุณป้าเล่าไปเล่ามาก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาไหลเป็นสาย
ลูกสาวทั้งสองและเสี่ยวเคอต่างเข้าไปปลอบ
ผ่านไปไม่กี่นาที คุณป้าจึงพูดว่า “พี่สาวคนที่สามของเธอก็ถูกตรวจพบว่าเป็นมาร์แฟน ผ่าตัดครั้งแรกไปแล้ว ตอนนี้เตรียมผ่าตัดครั้งที่สอง ส่วนอวี๋หวั่นก็ถูกตรวจเจอกลุ่มอาการมาร์แฟน และรุนแรงกว่าพวกพี่ชายและพี่สาวเสียอีก ในบรรดาลูกทั้งห้าคน มีแค่คนเดียวที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ ทำให้ฉันไม่ต้องแก่ตายอย่างโดดเดี่ยว บ้านเราก็ไม่ได้มีฐานะ ต้องขายบ้านเพื่อผ่าตัดให้กับพ่อและพี่สาวของเธอ อวี๋หวั่นเป็นเด็กที่รู้ความตั้งแต่เด็ก ฉันไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”
พูดจบ ทุกคนก็เงียบไป
ไม่รู้ว่าสวีอ้ายชิงมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไร หลังจากฟังเรื่องราวของครอบครัวนี้ ตอนนี้น้ำตาไหลไม่หยุดแล้ว
กลุ่มอาการมาร์แฟน!
ชื่อนี้เหมือนมารในใจที่คอยหลอกหลอนญาติคนไข้ทุกคน กลายเป็นปีศาจที่ไม่อาจกำจัดได้
เฉินชางลุกขึ้นก็เห็นสวีอ้ายชิงที่ร้องไห้จนไม่เหลือสภาพพอดี พลันอึ้งงันไป
ตอนนี้เอง พยาบาลห้อง ICU วิ่งออกมาอย่างเร่งรีบ “หมอเฉินคะ คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”
เฉินชางได้ยินแล้วรีบวิ่งเข้าไป
เห็นอวี๋หวั่นนอนอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ อย่างไร้ชีวิตจิตใจ เหมือนว่าทุกสิ่งบนโลกล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ
หลังจากเห็นเฉินชางเข้ามา อวี๋หวั่นก็ปล่อยโฮออกมา
“ทำไมต้องช่วยฉัน…ทำไมถึงต้องช่วยฉันคะ…”
เฉินชางอดขมวดคิ้วไม่ได้
แม้เฉินชางจะสงสารชะตากรรมของหญิงสาวคนนี้ แต่…เรื่องแบบนี้ควรพูดอย่างไรดี
คุณตายไป ก็มีแต่คนที่รักคุณที่จะเจ็บปวด
แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการฆ่าตัวตายของคุณจะส่งผลกระทบอย่างไร
เหมือนอย่างที่เสี่ยวเคอพูด นี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรทางการแพทย์และความอยุติธรรมต่อผู้ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตคุณ!
เฉินชางสูดหายใจเข้าลึกๆ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เห็นอวี๋หวั่นท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลับทำใจพูดไม่ได้
อวี๋หวั่นพูดทั้งน้ำตา “ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย ฉันต้องตายเท่านั้น ถึงจะมีความหมาย…คุณต้องเปลืองทรัพยากรทางการแพทย์เพื่อช่วยฉัน ฉันไม่อยากกระโดดตึก กระโดดลงมาจากตึกอวัยวะต่างๆ ของฉันก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ฉันไม่กล้าดื่มยาพิษ เพราะกลัวว่าอวัยวะจะเป็นพิษ ฉันเป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการมาร์แฟน สักวันฉันก็ต้องตาย ฉันอยู่ไม่ถึงอายุสามสิบแน่”
ระหว่างที่พูด อวี๋หวั่นก็น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ดูน่าสงสารมาก
เฉินชางอดถอนหายใจไม่ได้ “ตอนนี้รักษาได้ด้วยการผ่าตัดแล้ว เพียงแค่เปลี่ยน…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเฉินชาง อวี๋หวั่นพลันพูดว่า “คุณหมอคะ ฉันรู้ค่ะ แต่ที่บ้านฉันไม่มีเงินแล้ว แม้แต่เงินบำนาญของแม่ก็หมดแล้ว บ้านก็ขายไปแล้ว พ่อฉันเสียชีวิตระหว่างผ่าตัด พี่สาวฉันที่ผ่าตัดสำเร็จยังต้องผ่าตัดรอบสอง เงินที่บ้านเพียงพอสำหรับช่วยชีวิตเธอคนเดียวแล้ว…”