เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 1146 เริ่มโครงการ คำวิจารณ์ต่างๆ
หลายวันมานี้ เฉินชางมาเยี่ยมจีจวิ้นทุกวัน ดูว่าสัญญาณกายภายในด้านต่างๆ ของเขาฟื้นฟูไปอย่างไรบ้าง!
ในวันพุธ อู๋ถงฝู่กับคณะอีกสิบกว่าคนมาที่ห้องไอซียู ตอนนี้ผ่านมาสิบวันแล้วนับตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จ
อาการของจีจวิ้นดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด สภาพจิตใจก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างมาก ใช่ว่าจะไม่มีผลกระทบที่ตามมาหลังการผ่าตัดเลย แต่โดยรวมแล้วน้อยจนมองข้ามไปได้
สรุปคือการผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก!
การที่ผ่าตัดจีจวิ้นได้สำเร็จ สร้างแรงผลักดันให้ทุกคนมหาศาล!
ซึ่งในช่วงเวลานี้ อู๋ถงฝู่รีบติดต่อไปหาเสี้ยวรุ่นฟางยื่นขอให้อนุมัติหัวข้อนี้โดยเร็วที่สุด จะได้เริ่มผ่าตัดทดลองในชั้นคลินิก
วันต่อมา ในที่สุดหัวข้อของเฉินชางก็ผ่านแล้ว
หัวข้อวิจัยระดับวิทยาลัยงบร้อยล้านหยวนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว อนุญาตให้ทำการทดลองทางคลินิกได้
เมื่อข่าวนี้ประกาศออกไป ก็เรียกเสียงฮือฮาโกลาหลได้ทันที
คนนับไม่ถ้วนเริ่มให้ความสนใจขึ้นมา
และในช่วงเวลานี้เอง เฉินชางก็ได้เปิดประชุมกับทีมงานอย่างเป็นทางการ ประกาศรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกจากกลุ่มประชาชน
ทางแผนกศัลยกรรมหัวใจและแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินได้ร่วมกันจัดสรรเตียงผู้ป่วยสำหรับผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกไว้ยี่สิบเตียง
การดำเนินหัวข้อนี้ทำให้อู๋ถงฝู่ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ดูเหมือนโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวงยังขาดการพัฒนาด้านงานวิจัยและการก่อสร้างรากฐานอยู่
หากเฉินชางไม่ปรากฏตัวขึ้น อู๋ถงฝู่คงจะนั่งแช่บริหารอยู่เบื้องบนของโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินไปตลอด
แต่กลับมองข้ามไปว่าหากต้องการพัฒนาสมรรถนะหลักของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องยกระดับความสามารถการวิจัยทางคลินิกขึ้นไป
จะยกระดับการกู้ชีพผู้ป่วยฉุกเฉินให้สำเร็จได้อย่างไร ในสายงานเหล่านี้ดูเหมือนจะยังอ่อนด้อยมากอย่างเห็นได้ชัด
ภายในช่วงสายวันนั้น บนเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวงได้ออกประกาศข่าวรับสมัครเจ้าหน้าที่จากภาคประชาชนซึ่งได้รับความสนใจในวงกว้าง
ในช่วงเวลานี้ อวี๋หวั่นก็ฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเธอได้แบ่งปันข่าวนี้เข้าไปในกรุ๊ปมาร์แฟนซินโดรมทันที
ทุกคนยังค่อนข้างให้ความไว้วางใจต่อโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวงมาก ถึงอย่างไรก็เป็นโรงพยาบาลระดับประเทศ ไม่มีทางหลอกลวงผู้ป่วยแน่
ประกอบกับได้ความช่วยเหลือจีจวิ้นและอวี๋หวั่น ทำให้มีคนเริ่มลงชื่อสมัครเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ว่าผู้ป่วยที่ลงสมัครจะผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นกลุ่มผู้รับการทดลองทั้งหมด
ยังคงต้องผ่านขั้นตอนการคัดกรองผู้เข้าสมัครอีก
แน่นอนว่าเงื่อนไขในการคัดกรองก็อย่างเช่น อาการป่วยตรงตามเกณฑ์มาตรฐาน
ดังนั้นในช่วงไม่กี่วันมานี้จึงมีผู้ป่วยมาร์แฟนซินโดรมหลายร้อยคนเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงด้วยความคิดว่าอยากจะลองดูสักหน่อย
ว่ากันตามจริงแล้ว ทุกคนล้วนค่อนข้างหวั่นวิตกอยู่
ถึงอย่างไรก็เป็นการทดลองทางคลินิก ซึ่งก็หมายความว่ามีอัตราเสี่ยงค่อนข้างสูงแน่นอน อย่างน้อยก็มีความเสี่ยงสูงกว่าโรงพยาบาลที่ดำเนินการด้านการผ่าตัดโดยเฉพาะ
ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย!
แต่ก็ไม่มีหนทางจะอธิบายได้เช่นกัน
ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่พอจะมีกำลังทรัพย์ล้วนคิดจะสังเกตการณ์ไปก่อน พวกเขาเฝ้ารอด้วยความหวังว่าหลังจากได้เห็นผลลัพธ์ของผู้เข้าร่วมการทดลองกลุ่มนี้แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินดีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การที่โรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินรับสมัครผู้ป่วยมากขนาดนี้ ในไม่ช้าก็ต้องกระทบต่อผลประโยชน์ของผู้เชี่ยวชาญและโรงพยาบาลบางส่วนเข้า
ด้วยเหตุนี้ แต่ละคนจึงเริ่มลุกขึ้นมาดำเนินการประกาศเตือนและให้ความรู้แก่ผู้ป่วยมาร์แฟนซินโดรมเหล่านั้น
บอกความเสี่ยงในการทดลองทางคลินิกให้พวกเขาทราบ ให้พวกเขาพิจารณาอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกันก็บอกด้วยว่า การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายหลอดเลือดแดงใหญ่ในอกและช่องท้องไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในเมื่ออีกฝ่ายทำการค้นคว้าทดลองทางคลินิกก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้มีความมั่นใจในการผ่าตัดและแนวโน้มความสำเร็จมากพอ!
ดังนั้นจึงหวังว่าเหล่าผู้ป่วยจะให้ความสำคัญกับชีวิตของตน
ผู้เชี่ยวชาญและทีมงานของโรงพยาบาลเหล่านี้มีทักษะคารมคมคายมาก พวกเขาไม่ได้ต่อต้านเทคนิคการผ่าตัดของเฉินชางอย่างเปิดเผย ถึงขึ้นที่ไม่นึกคลางแคลงในความสามารถของโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวงเลย แต่บอกว่าในเมื่อเป็นการทดลองทางคลินิก ก็แปลว่าเทคนิคยังไม่สุกงอมเต็มที่ จำเป็นต้องทำการทดลองทางคลินิกเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพบางส่วน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนนึกกลัวขึ้นมาในทันใด ถึงแม้จะมีผู้สมัครจำนวนมาก แต่คนส่วนใหญ่ล้วนอยากรอสังเกตการณ์ทั้งสิ้น
โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองหลวงที่ชื่อว่าโรงพยาบาลเมอร์เซด เป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดใหญ่ทั้งจากในและนอกประเทศมาโดยเฉพาะ อีกทั้งโรคที่พวกเขามุ่งเน้นรักษาโดยเฉพาะก็คือการผ่าตัดที่ยากลำบากเหล่านั้น
อันที่จริง ยังมีการผ่าตัดหลายอย่างในประเทศที่ด้อยการพัฒนาอยู่ ผู้ป่วยจำนวนมากที่หาทางรักษาอย่างมีประสิทธิภาพในประเทศไม่ได้ หากมีพอจะมีฐานะก็เลือกไปทำการรักษาที่ต่างประเทศ
แต่ว่า การไปรักษาที่ต่างประเทศย่อมไม่ได้เสียแค่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น ถึงขั้นที่ยังต้องเผชิญหน้ากับความยุ่งยากในด้านต่างๆ ด้วย และยังต้องเสียเงินไม่น้อยเลย!
ดังนั้นโรงพยาบาลจึงถูกก่อตั้งขึ้น
โรงพยาบาลเมอร์เซด ความจริงแล้วถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนอย่างเต็มรูปแบบแห่งหนึ่ง ผู้ก่อตั้งคือชาวจีนที่ถือกำเนิดเติบโตในประเทศมาชั่วชีวิต เขามองเห็นโอกาสนี้จึงก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้นมา เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั้งในและนอกประเทศเหล่านั้นมาทำการผ่าตัดที่นี่
เหตุผลที่ตั้งชื่อว่าโรงพยาบาลเมอร์เซดก็เพื่อทำให้คนในประเทศมองว่านี้คือโรงพยาบาลนี้ดูเหมือนจะอยู่ในเครือต่างชาติ
อย่าคิดดูถูกทักษะในการตั้งชื่อเชียวล่ะ
ดูอย่างโรงพยาบาลมากมายในเครือผูเถียนนั่นปะไร มีอยู่หลายแห่งที่ดูเหมือนโรงพยาบาลกองทัพมาก...โรงพยาบาลเหล่านี้ได้มาจากการกว้านซื้อทั้งนั้น
ถึงอย่างไรผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ แค่เห็นชื่อโรงพยาบาลก็คิดไปแล้วว่าเป็นโรงพยาบาลของกองทัพจึงให้ความไว้วางใจมาก
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย!
โรงพยาบาลในเมืองหลวงที่ผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดแดงใหญ่ในอกและช่องท้องได้ก็มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ในเขตพื้นที่เช่นนี้ โรงพยาบาลเมอร์เซดจึงเติบโตได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีโรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวงที่ผ่าตัดรักษาฟรีโผล่ขึ้นมา พวกเขาจึงเกิดสัญชาตญาณระวังภัยขึ้นมาทันที
ถึงขั้นที่เริ่มบุคคลที่เรียกว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ บนอินเตอร์เน็ตมาทำการรีวิวให้
อันที่จริงผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงอาการนี้จริงๆ ที่กำลังลังเลชั่งใจแล้วชั่งใจอีกอยู่ ดังนั้น ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ส่วนใหญ่จึงอาศัยช่วงเวลานี้รุกเข้าไป สร้างผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ป่วยจำนวนมาก
ชั่วขณะนั้น โลกภายนอกมีข้อวิจารณ์ต่อการทดลองทางคลินิกนี้ทั้งดีร้ายแตกต่างกันไป
โรงพยาบาลศูนย์ฉุกเฉินเมืองหลวงที่แบกรับหัวข้อวิจัยงบร้อยล้านอยู่ก็เผชิญแรงกดดันเช่นกัน
หากว่าการทดลองครั้งนี้ไม่ประสบผล สิ่งที่รอคอยอยู่ก็คือผลกระทบต่อชื่อเสียง
ส่วนเฉินชางที่มีฐานะเป็นผู้รับผิดชอบโครงการยิ่งได้รับความใส่ใจจากผู้เชี่ยวชาญบางส่วนด้วย!
“เฉินชางมีความสามารถ แต่ทำการทดลองทางคลินิกกับผู้ป่วยมาร์แผนซินโดรมแบบนี้คิดมาดีแล้วจริงๆ น่ะหรือ ในเมื่อเป็นมืออาชีพก็ควรทำงานแบบมืออาชีพสิ ฉันว่าหมอเฉินน่าจะกลับไปค้นคว้าการผ่าตัดระบบย่อยอาหารในสาขาศัลยกรรมทั่วไปนะ”
หากจะให้แปลกันตรงๆ ก็คือ นายไม่มีความสามารถในด้านนี้ ก็อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ป่วยมาร์แฟนซินโดรมเลย พวกเขามีอันตรายมากพออยู่แล้ว นายทำแบบนี้ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย!
เสียงวิจารณ์ในลักษณะนี้ย่อมไม่ได้มีเพียงคนเดียว!
ต้องทราบด้วยว่า ช่วงที่ผ่านมาเฉินชางเพิ่งติดอันดับฮอตเสิร์ชเพราะ ‘คีมสำหรับจับเข็มเย็บแผลของผม’ อีกทั้งช่วงนี้เพลงนี้ก็ประสบความสำเร็จจนทำให้เฉินชางเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งจึงเริ่มทยอยโผล่ออกมา ‘เกาะกระแส’
แต่ไม่ว่าจะพูดกันอย่างไร พวกเฉินชางย่อมตระหนักได้แล้วว่าตนไปกระทบผลประโยชน์คนบางกลุ่มเข้าแล้ว
สำหรับคนที่เรียกกันว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เฉินชางไม่ได้ใส่ใจเลย ถึงอย่างไรในมุมมองของเขา ความเห็นสาธารณะเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ
ถึงแม้เฉินชางจะทรงภูมิไม่เท่าเสี้ยวเจ๋อไห่ แต่เขาไม่เคยตอบสนองต่อข่าวลือที่พุ่งเป้าโจมตีตนเลย!
แต่ว่า…ถ้าเกิดมีคนออกมาเกาะกระแสเพิ่มขึ้นล่ะ
………………………………………………………………