เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 1148 สวีจื่อหมิงเนื้อหอมจนซวย
ตอนเช้า เฉินชางอยู่ในห้องทำงานแผนกฉุกเฉินกับสวีจื่อหมิง เหอจื้อเชียนและพวกหลี่เป่าซานนั่งคุยเรื่องผลสรุปการผ่าตัดในช่วงหลายวันมานี้
การทำงานเช่นนี้ต้องดำเนินการทุกวัน จำเป็นต้องมีการทบทวนและยกระดับแกนหลักอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่าตัดผู้ป่วยรายที่สิบห้าเสร็จสิ้น เมื่อมีจำนวนมากเข้าก็เริ่มปรากฏอาการแทรกซ้อนหลังผ่าตัดบางส่วนให้เห็นแล้ว
ทั้งทีมทำได้เพียงหารือและสรุปผลกันอย่างต่อเนื่อง
นี่คือขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ช่วงเช้าในแผนกฉุกเฉินไม่ได้ผ่อนคลายเลย คนส่วนใหญ่ล้วนทำงานยุ่ง ในเวลานี้เอง พยาบาลเฉิงอี้เข้ามาแจ้งเฉินชางว่ามีผู้ป่วยรายหนึ่งที่มาด้วยอาการวิงเวียนอย่างหนัก
พอเฉินชางได้ยินว่ามีอาการวิงเวียนก็ให้เฉิงอี้เรียกตัวเข้ามา
พอมาถึงห้องตรวจแล้ว เฉินชางก็ได้พบกับผู้ป่วย เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง อายุยังไม่มาก แต่งตัวตามสมัยนิยม หลังจากได้รับชาร์ตผู้ป่วยแล้ว เฉินชางก็อ่านข้อมูลของผู้ป่วย
หมี่ตี้ อายุยี่สิบสี่ มีอาการวิงเวียนมาหนึ่งวันแล้ว
เฉินชางนั่งข้างคอมพิวเตอร์ อดถามไม่ได้ “คุณรู้สึกไม่สบายแบบไหนบ้าง มีปัจจัยอื่นร่วมไหมครับ”
หมี่ตี้ส่ายหน้า แววตาค่อนข้างค่อนข้างเลื่อนลอย “ไม่ค่ะ นั่งอยู่ดีๆ ก็เริ่มเวียนหัว พอผ่านไปสักพักใหญ่ฉันกลัวว่าจะหน้ามืดเลยเรียกแท็กซี่มา”
ต้องบอกเลยว่า สาวสวยอยู่ที่ไหนก็เป็นจุดเด่นทั้งนั้น
หมี่ตี้หุ่นสูงเพรียว แต่งตัวตามสมัยนิยม รูปร่างหน้าตาดี ถ้าไม่เป็นที่สนใจเลยก็ออกจะแปลกไปหน่อย
ยิ่งไปกว่านั้นคือสภาพอากาศในเดือนพฤษภาคมค่อนข้างร้อนแล้ว แต่กระโปรงสั้นของหมี่ตี้ดูจะสั้นไปหน่อยจริงๆ
เฉินชางซักประวัติอยู่สักพัก หรือจะเป็นโรคหินปูนหูชั้นในเคลื่อน
“คุณเคยมีประวัติโรคความดันสูงหรือโรคเบาหวานบ้างไหม”
หมี่ตี้ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เฉินชางเตรียมจะวัดความดันโลหิต พอจางหย่วนเห็นก็รีบวิ่งเข้ามา “ผมเอง! ผมทำเองครับ!”
เฉินชางเห็นจางหย่วนออกอาการขนาดนี้ก็พูดไม่ออกไปทันที
ตอนที่จางหย่วนวัดความดันให้หญิงสาว เฉินชางสังเกตเห็นชัดเจนว่าคณะหัวหน้าแพทย์หลายคนที่พูดคุยหารือกันอยู่ดูเหมือนจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะหัวหน้าสวีจื่อ อหมิงที่สายตาจับจ้องมาทางเฉินชางตลอด
จากนั้นเขาก็ให้พยาบาลตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด
ตอนแทงเข็มที่ปลายนิ้วหมี่ตี้เพื่อเจาะวัดน้ำตาล หมี่ตี้ร้องโอดโอยขึ้นมา เฉินชางรับรู้ได้ว่าทุกคนใจสั่นยุบยิบ!
ในเวลานี้เอง หมี่ตี้พลันเอ่ยขึ้นว่า “หมอคะ ตรวจ MRI ให้ฉันได้ไหม จะเป็นปัญหาทางสมองหรือเปล่า”
เฉินชางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าก็ดีเหมือนกัน “อืม ได้ครับ ผมจะตรวจให้คุณ”
หลังจากหมี่ตี้ออกไป เฉินชางมองคนอื่นๆ หมดแรงจะบ่น
ฝ่ายอีกสี่คนกลับมองหน้ากันแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้
เฉินชางมองจางหย่วน หลิ่วตาให้เล็กน้อย “ยังไม่แต่งงาน ไม่ได้ท้อง ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่มีประวัติการรักษา ไม่พบโรคทางกรรมพันธุ์ อยากลองสู้ดูสักตั้งไหม”
จางหย่วนส่ายหน้า “สวยเกินไป ผมคิดว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ไหว อีกอย่าง…”
พอสวีจื่อหมิงได้ยินก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อีกอย่างอะไรล่ะ เสี่ยวจางฉันจะบอกนายไว้นะ ผู้ชายน่ะต้องมั่นใจในตัวเองหน่อย กลัวอะไรกัน พวกเราเป็นแพทย์ปริญญาจากมหาลัยวิทยาลัยดัง เป็นหมอของโรงพยาบาลใหญ่ พวกเราก็ไม่แย่เหมือนกัน นึกถึงสมัยก่อน ฉันน่ะ…”
พูดยังไม่ทันจบ สวีจื่อหมิงก็รับรู้ถึงสายลมโชยกลิ่นหอมกรุ่นหอบหนึ่งที่โถมเข้ามา!
ชั่วพริบตานั้น ฉากตรงหน้าทำให้ทุกคนตกตะลึง
ทุกคนมองฉากตรงหน้าตกใจตาค้าง ตกใจยิ่งกว่าเฉินชางผ่าตัดเสร็จภายในหนึ่งวินาทีเสียอีก!
เฉินชางขยี้ตา ไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาคู่นี้ของตน
มองเห็นเพียงว่าหมี่ตี้ย้อนกลับมา โผเข้ากอดสวีจื่อหมิงแน่น ซุกหน้าลงกับหัวไหล่เขา “ฮือๆๆ…คุณอย่าเลิกกับฉันได้ไหม”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนในห้องแข็งค้างไปในชั่วพริบตา
สวีจื่อหมิงก็ตกใจกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาแค่…
แต่ในเวลานี้เอง ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี
บังเอิญมองเห็นฉากนี้เข้า สีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด!
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น เป็นจ้าวตันเยี่ยน รองหัวหน้าแผนกประสาทวิทยา
และผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาของสวีจื่อหมิงด้วย!
ด้วยเหตุนี้ ฉากนี้จึงทำให้อีกฝ่ายค่อนข้างยากจะทำความเข้าใจได้
สีหน้าจ้าวตันเยี่ยนมืดครึ้ม เธอเพิ่งไปร่วมวินิจฉัยมา ต้องผ่านแผนกฉุกเฉินพอดี อยากจะเข้ามาคุยบางเรื่องกับเหล่าสวี ไม่คิดเลยว่า…จะเจอเรื่องที่ทำให้เธอเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ จริงๆ!
สีหน้าจ้าวตันเยี่ยนมืดมน!
“สวีจื่อหมิง!”
สวีจื่อหมิงตัวสั่นทันที บรรลัยแล้ว!
นี่มันอะไรกันนักหนา!
สวีจื่อหมิงรีบดันหมี่ตี้ออกไป “สาวน้อย เธอจำคนผิดแล้วมั้ง!”
“เมียจ๋า เธอฟังฉันอธิบายก่อน!”
จ้าวตันเยี่ยนยืนอยู่ที่เดิม มองสวีจื่อหมิงด้วยสีหน้าเย็นชา!
หมี่ตี้ร้องไห้อย่างคับข้องหมองใจ “ฉันรู้ว่าคุณแต่งงาน ขอโทษนะคะ…ฉันไม่ควรมาหาคุณเลย ฉันแค่คิดถึงคุณเกินไป…ฉันควบคุมตัวเองไม่อยู่…”
หมี่ตี้ร้องไห้อย่างช้ำชอกใจ ใบหน้าสะสวยร้องไห้จนเครื่องสำอางเลอะเทอะ ไม่เหมือนเสแสร้งเลยสักนิด
พูดจบก็หันหลังวิ่งออกไปอย่างโศกเศร้า
ภายในห้องทำงาน ทุกคนต่างพูดไม่ออก บรรยากาศผิดปกติมาก
จ้าวตันเยี่ยนยกมือชี้หน้าสวีจื่อหมิง แค่นหัวเราะทีหนึ่ง ยืดตัวเดินจากไป
สวีจื่อหมิงรีบตามออกไปอธิบายยกใหญ่
“เมียจ๋า เธอคือคนไข้ ผมไม่รู้จักเธอเลย แม้แต่ชื่อเธอผมยังไม่รู้!”
สีหน้าจ้าวตันเยี่ยนมืดครึ้ม ไม่พูดอะไรเลย “ที่นี่คือโรงพยาบาล สวีจื่อหมิง คุณไม่มียางอายแต่ฉันยังมีอยู่!”
เธอพูดจบก็เกินจากไปด้วยสีหน้าไร้เยื่อใย
สวีจื่อหมิงยืนอยู่ที่เดิม มองจ้าวตันเยี่ยนขึ้นลิฟท์ไป สับสนทำอะไรไม่ถูก
หลังจากเดินกลับมายังห้องทำงานด้วยความอับจนหนทาง สวีจื่อหมิงมองคนรอบข้าง คนรอบข้างก็มองเขาเหมือนกัน
บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน
“เวรเอ๊ย ฉัน…ฉันไม่รู้จักเธอจริงๆ!” สวีจื่อหมิงแบมืออย่างจนปัญญา
แต่ว่า…สวีจื่อนึกถึงคำพูดที่ตนโน้มน้าวจางหย่วนไปก่อนหน้านี้ ชั่วขณะนั้น ตัวเขาก็รู้แล้วว่าควรพูดยังไงดี
เฉินชางส่ายหน้า “หัวหน้าสวี ผมเชื่อคุณ! อีกเดี๋ยวคนไข้กลับมาแล้วค่อยอธิบายให้ชัดเจนก็ใช้ได้แล้ว”
ตอนนี้สภาพจิตใจของสวีจื่อหมิงซับซ้อน
เรื่องแบบนี้ถึงตกอยู่ที่ใครก็อับจนหนทางสุดขีดเหมือนกัน
เขาก็แค่อยากคุยโม้เท่านั้น ใครจะไปคิดว่าจะเป็นแบบนี้
สวีจื่อหมิงอับจนหนทาง ได้แต่กลับไปที่แผนกศัลยกรรมหัวใจ ทุกคนก็แยกย้ายไปเหมือนกัน
แต่เฉินชางรออยู่ครึ่งวัน หมี่ตี้คนนี้ก็ไม่ได้กลับมา
จางหย่วนเอ่ยเสียงเบา “มหาเทพ…หรือนี่จะเป็นความจริง ก่อนหน้านี้หัวหน้าสวีจงใจตบตาคน ถึงได้ตั้งใจพูดแบบนั้น คุณจำช่วงแรกๆ ได้ไหมครับ สายตาของหัวหน้าสวีดูต่างไปจากคนอื่นอย ย่างเห็นได้ชัดเลย!”
คำพูดของจางหย่วนทำให้เฉินชางตะลึงงัน!
“หยุดพูดซี้ซั้ว!”
จางหย่วนกระแอมเล็กน้อย “ผมจะบอกคุณไว้นะครับ คุณเพิ่งมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน ผมรู้ข่าวสารภายในเยอะแยะเลยนะครับ! หัวหน้าบางคนกับหมอ หมอกับพยาบาล หมอกับ…”
เฉินชางตะลึงงัน “รีบไปทำงานได้แล้ว! หยุดพูดเหลวไหล!”
จางหย่วนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณไม่ฟังจริงๆ เหรอครับ”
เฉินชางก็มีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ “ตอนเที่ยงจะเลี้ยงข้าวคุณแล้วกัน”
จางหย่วนมองเฉินชาง หัวเราะฮี่ๆ ใครๆ ก็ชอบเรื่องซุบซิบกันทังนั้น…
ในช่วงกลางวัน เฉินชางกับจางหย่วนที่พักเที่ยงเตรียมจะออกไปแล้ว จู่ๆ หมี่ตี้ก็กลับมาที่แผนกฉุกเฉิน
แต่ครั้งนี้ เธอดูเหมือนคนที่ยังก้าวไม่พ้นจากเงามืด