เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 1150 คู่แต่งงานหกสิบปี
หลังจากเฉินชางสั่งให้พยาบาลไปแจ้งร่วมวินิจฉัยอย่างเร่งด่วนแล้วก็รีบเดินไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน
สวีจื่อหมิงเดินตามหลังเฉินชาง ในฐานะหัวหน้าใหญ่ของแผนกศัลยกรรมหัวใจ เขาย่อมมีประสบการณ์รับมือสถานการณ์ฉุกเฉินพรั่งพร้อมมาก
ที่สำคัญคือความรู้ด้านประสาทวิทยาของเขาก็ใช้ได้จริงๆ!
ถึงอย่างไรภรรยาก็เป็นถึงหัวหน้าแพทย์แผนกประสาทวิทยา รองหัวหน้าแผนกศัลยกรรมประสาทของศูนย์ฉุกเฉิน จึงได้เรียนรู้ซึมซับมาไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นคือสมัยก่อนเพื่อจะตามจีบจ้าวตันเยี่ยน สวีจื่อหมิงทำการบ้านไปไม่น้อยเลยเพื่อจะวางตัวเป็นหัวกะทิ จึงพอมีความเข้าใจในโรคทางระบบประสาทพอสมควร
หลังจากแต่งงานกัน การสะสางข้อพิพาทในบ้านก็ผิดแผกไม่ธรรมดา ทุกครั้งที่จ้าวตันเยี่ยนโกรธจะคิดหาแนวทางเขียนเรียบเรียงบทความเกี่ยวกับระบบประสาทบางอย่างออกมา เป็นเช่นนี้บ่อยครั้งเ เข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสวีจื่อหมิงได้เรียนรู้มามากมายจริงๆ
ไม่อย่างนั้นแล้วก่อนหน้านี้จะนึกถึงโรคหลงผิดกับโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางระบบประสาทได้อย่างไร
ส่วนทางนี้ เมื่อรถฉุกเฉินจอดนิ่งแล้ว หมอที่มากับรถฉุกเฉินก็ช่วยให้ผู้ป่วยลงมาอย่างปลอดภัยมั่นคง
พยาบาลหยางเจี๋ยรีบเข็นเตียงเข้ามา เคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นเตียง เตรียมกู้ชีพ
ตอนนี้ชายชรายังมีสติไม่ได้สลบไป เพียงแต่หลับตาอยู่ เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างกระสับกระส่าย ปากพึมพำบางอย่าง สองมือไขว่คว้าเปะปะ
จนเข็นเตียงลงมาแล้ว หญิงชราคนหนึ่งก็ลงมาจากรถฉุกเฉินอย่างระมัดระวัง มองจากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเธอก็คงอายุแปดสิบกว่าปีแล้วเช่นกัน
พอสวีจื่อหมิงเห็นก็รีบเข้าไปช่วยพยุงหญิงชรา พาลงมาอย่างระมัดระวัง
หมอที่มากับรถฉุกเฉินเอ่ยกับเฉินชางว่า “ผู้ป่วยล้มพับลงกับพื้นเมื่อสามชั่วโมงก่อน พูดไม่ชัด ร่างกายซีกซ้ายมีอาการชาอ่อนแรง ปากเบี้ยว…”
สีหน้าเฉินชางแปรเปลี่ยนทันที “ล้มแล้วถึงปรากฏอาการหรือว่าปรากฏอาการก่อนล้ม”
หมอที่มาด้วยส่ายหน้า “ทางคุณยายเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ประโยคนี้ทำให้ปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย
หญิงชราเดินเข้ามาหาทางนี้ เอ่ยด้วยสีหน้ากังวลใจ “น่าจะขาอ่อนแรงก่อนแล้วถึงล้ม”
เฉินชางประเมินสถานการณ์แล้วเอ่ยกับหยางเจี๋ยว่า “พาผู้ป่วยไปตรวจซีทีแสกนก่อน ดูว่ามีเลือดออกในสมองไหม”
สำหรับการตรวจอาการทางระบบประสาท หากต้องการตรวจวินิจฉัยให้ได้ภายในเวลาที่กำหนดว่าผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกในสมองหรือไม่ ก็ต้องส่งไปทำซีทีสแกนสมอง เนื่องจากในภาวะที่เลือดออกใ ในสมองซีทีสแกนจะตรวจได้แม่นยำกว่า MRI
ดังนั้นในปัจจุบันนี้ เมื่อผู้ป่วยส่วนใหญ่มาถึงโรงพยาบาล หมอส่วนมากมักจะให้ทำซีทีสแกนก่อน เมื่อตัดภาวะเลือดออกในสมองออกได้แล้วค่อยส่งไปทำMRI เนื่องจากการทำ MRI ตรวจสอบภาวะส สมองตายได้แม่นยำกว่า
ภาวะเลือดออกในสมองกับภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลันล้วนถูกเรียกรวมๆ ว่าโรคหลอดเลือดสมอง แต่ปัจจัยการเกิดโรคและแนวทางการรักษายังคงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อาการแรกคือเส้นเลือดในสมองแตกจำเป็นต้องหยุดเลือดให้ได้ ส่วนภาวะสมองตายจะต้องสลายลิ่มเลือดอุดตันและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
ถ้าเกิดว่าทำการรักษาสลับกัน ไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของภาวะเลือดออกในสมอง แบบนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
แม้จะบอกว่าอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองไม่สูงนัก แต่ถ้าคุณรักษาสลับกันขึ้นมา แบบนี้ถึงไม่ตายก็จะเป็นอัมพาต
ดังนั้นจำเป็นต้องวินิจฉัยตัดสินอาการของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองโดยเร็ว พยายามทำซีทีสแกนและวินิจฉัยเบื้องต้นเพื่อทำการรักษาให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบนาทีหลังถูกนำส่งห้องฉุกเฉิน
เฉินชางต่อสายหาแผนกรังสีวิทยาเพื่อเร่งผล กำชับไว้ว่าหากไม่พบเลือดออกในสมองให้ทำ MRI ตรวจสอบต่อได้เลย
ฝ่ายหญิงชราแม้จะมีสีหน้ากังวลใจมาก แต่กลับเปิดถุงผ้าใบหนึ่งอย่างไม่ตระหนกลนลาน ค่อยๆ ยื่นประวัติการรักษาออกมาทีละปึกๆ
“หมอคะ นี่คือประวัติการรักษาในโรงพยาบาลของเขาในปี 2015 ส่วนนี่ของปี 2018 แล้วก็ 2019…”
หลังจากเฉินชางเปิดประวัติแล้วพบข้อมูลที่เป็นระเบียบแบบอยู่ด้านในก็โล่งใจขึ้นมาทันที
มีประวัติพวกนี้อยู่ช่วยลดความยุ่งยากไปได้มากจริงๆ
ประวัติการแอดมิทครบถ้วนมากจริงๆ อีกอย่างประวัติการรักษาพวกนี้ก็มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยตัดสินพัฒนาการทางโรคของผู้ป่วยอย่างครอบคลุม
หญิงชรายืนอยู่ด้านข้าง ไม่ได้รบกวนเฉินชางเลย แต่เค้าความหม่นหมองกังวลไม่สลายไปจากใบหน้าเลย
ภาวะสมองตายของสามีคู่ยากไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น สำหรับชายชราวัยแปดสิบสองปีอย่างเขาการเข้าโรงพยาบาลในแต่ละครั้งเป็นบททดสอบที่หนักหนาสาหัสเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น คือครั้งนี้เป็นอาการฉุกเฉิน
เฉินชางอดถามไม่ได้ “คุณป้าครับ นับตั้งแต่เกิดอาการจนถึงตอนนี้ผ่านมานานเท่าไรแล้วครับ”
หญิงชราขบคิดครู่หนึ่ง มองนาฬิกาข้อมือที่ดูค่อนข้างผ่านการใช้งานมาโชกโชน เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ยังไม่ถึงชั่วโมงค่ะ ถ้าจะพูดให้แม่นยำคือผ่านมาห้าสิบนาทีแล้ว”
เฉินชางฟังแล้วตาเป็นประกายทันที หากเป็นภาวะสมองตาย ยิ่งรักษาภายในระยะเวลาที่สั้นเท่าไรก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
ตอนที่เฉินชางรวบรวมข้อมูลอยู่ หญิงชราบอกอาการทั่วไปได้อย่างครบถ้วน ทราบอาการของชายชราเป็นอย่างดี
ทุกวันจะต้องกินยาอะไร กินมากน้อยแค่ไหน ความดันช่วงเช้ากลางวันมีเท่าไร การควบคุมน้ำตาลในเลือดช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง…
เรื่องนี้ทำให้สวีจื่อหมิงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “คุณป้า คุณเข้าใจละเอียดดีจริงๆ เข้มงวดยิ่งกว่าพยาบาลในห้องสังเกตอาการอีกครับ”
หญิงชราหัวเราะออกมา ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “พวกเราอายุปูนนี้แล้ว ใช้ชีวิตจนแทบจะเป็นคนคนเดียวกัน การดูแลเขาก็เหมือนดูแลตัวฉันเองด้วย พออายุมากเข้าก็กลัวการอยู่คนเดียว มี เขาอยู่เป็นเพื่อนต่อให้นอนเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรฉันก็อุ่นใจแล้ว!
พวกเราแต่งกันตั้งแต่อายุสิบหกตอนนี้แปดสิบสองแล้ว อยู่กันมาหกสิบกว่าปี ถ้าขาดเขาไปจริงๆ ฉันว่าฉันก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอกค่ะ”
ตอนที่หญิงชาเอื้อนเอ่ยออกมา ในถ้อยคำแฝงความรู้สึกทางปรัชญาเอาไว้มากนัก
แววตาก็เยือกเย็นและแน่วแน่มากเช่นกัน
สวีจื่อหมิงก็ตกตะลึงกับประโยคนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หญิงชรามองคนทั้งสอง ค่อยๆ เอ่ยว่า “หมอคะ ฉันขอพูดจากใจ ถ้าช่วยให้เขาดีขึ้นได้จะดีที่สุด แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฉันเห็นเขาทรมานฉันก็ปวดใจไปด้วย ไม่สู้ช่วยให้จากไปแบบสบายๆ จะดีกว่า
เขาเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมาชั่วชีวิต มีความมั่นใจในตัวเองมากเหลือเกิน เมื่อก่อนก็เคยบอกกับฉันไว้ว่าถ้าแก่แล้วเป็นภาระคนอื่น ไม่สู้ไปสบายหน่อยดีกว่า”
“อย่ากังวลเลยค่ะผู้อาวุโส พวกเราจะพยายามสุดความสามารถแน่นอน!”
พอได้ยินประโยคนี้ เฉินชางชะงักไปทันที หันหลังไปมอง พบว่าเป็นจ้าวตันเยี่ยน หรือก็คือภรรยาของสวีจื่อหมิง
ไม่รู้เลยว่าเธอลงมาถึงตั้งแต่เมื่อไร!
ไม่รู้ด้วยว่ายืนอยู่ด้านหลังมานานแค่ไหนแล้ว
ที่สำคัญคือสวีจื่อหมิงมองภรรยาด้วยความฉงน เขาไม่คิดเลยว่าจ้าวตันเยี่ยนก็ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเหมือนกัน
เฉินชางหันไปยิ้มให้ “พี่สะใภ้ คุณมาพอดีเลย”
สวีจื่อหมิงอยากจะพูดบางอย่าง แต่จ้าวตันเยี่ยนไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เลย
จ้าวตันเยี่ยนพยักหน้าให้ “อืม ให้ฉันดูประวัติการรักษาของผู้ป่วยหน่อย”
เฉินชางรีบพยักหน้ารับ
เทียบกับจ้าวตันเยี่ยนแล้ว ตนนับว่าเป็นมือสมัครเล่นมาก ถึงอย่างไรก็เป็นอาการป่วยด้านประสาทวิทยา ให้จ้าวตันเยี่ยนจัดการจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
เฉินชางพยักหน้าพลางรีบยื่นข้อมูลที่ตนสรุปไว้กับประวัติการรักษาของผู้ป่วยให้ทันที
สวีจื่อหมิงอยากพูดแต่ก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
ได้แค่ยืนอยู่ด้านข้าง
พอเฉินชางเจอจ้าวตันเยี่ยนก็ไม่สนใจสวีจื่อหมิงแล้วเช่นกัน สวีจื่อหมิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ขณะที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
ความเข้าใจผิดครั้งนี้ยุ่งยากจริงๆ
ถึงยังไงหมี่ตี้ก็ไม่อยู่ จึงอธิบายเรื่องสวมกอดอิงแอบได้ไม่กระจ่าง