เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 15 เฉินชางก็เปรียบดั่งน้ำในมหาสมุทร
ป้าเจ้าของห้องพูดต่อไป “พวกเราร่วมมือกันเป็นไง ถ้าเธอรั้งลูกสาวป้าให้อยู่ต่อได้ ไม่ไปต่างประเทศอีก ป้าจะให้เธอเช่าห้องฟรีหนึ่งห้อง!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ป้าเจ้าของห้องก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย “ลูกสาวป้าไม่อยากกลับมาจีน แต่ป้าสุขภาพไม่ดี ปู่ย่าตายายของหล่อนก็ต้องให้ป้าดูแล พวกเราห้าคนก็เหมือนคนแก่โดดเดี่ยว”
“ตอนที่แม่หนูนี่จากไปมีความคิดทะเยอทะยาน ดูถูกเมืองอันหยางของพวกเรา บอกว่าไปที่อื่นมีโอกาสมากกว่า มีโอกาสกับผีอะไรล่ะ ครั้งนี้ป้าอยากรั้งแม่หนูของป้าเอาไว้ ถึงตอนนั้นก็ให้หล่อนเลี้ยงดูจนป้าแก่เฒ่า หาลูกเขยดีๆ สักคน นับว่าใช้ชีวิตสงบสุขได้แล้ว”
“พวกเราก็ไม่ใช่คนที่โลภในทรัพย์สินเงินทองอะไร เดิมทีก็เป็นชาวบ้านตาสีตาสาในหมู่บ้าน ไม่ได้มีความสามารถอะไรมาก แต่ยุคสมัยดี นโยบายดี ทำให้คนแก่อย่างป้าหาเงินได้มากขนาดนี้ ป้าเองก็รู้จักพอ”
ความจริงป้าเจ้าของห้องไม่เลวเลย มักจะดูแลคนเช่าทั้งหลาย แล้วยังไม่ได้เร่งรัดเรื่องค่าเช่าขนาดนั้น คุณมีมาจ่ายก็พอแล้ว
ช่วงวันหยุดเทศกาลยังให้ขนมไหว้พระจันทร์เอยบ๊ะจ่างเอย ถือเป็นคนมีน้ำใจมาก
แต่ลูกสาวป้า หลังจากเรียนจบระดับมัธยมปลายก็ไปต่างประเทศ จะทำอย่างไรก็ไม่ยอมสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ พอดีว่าครอบครัวมีเงินจึงส่งให้ใช้
เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินชางก็ชะงักไปครั้งใหญ่!
เฉินชาง นายจะลำพองใจเกินไปแล้ว!
นายถึงกับกล้าสงสารเศรษฐีร้อยล้านเชียวหรือ?
ป้าเจ้าของห้องพูดคุยเรื่องในใจกับเฉินชางเสร็จก็จากไป
ส่วนเฉินชางก็ไม่ได้เก็บไปใส่ใจ ถึงอย่างไรป้าเจ้าของห้องก็มาบ่นกับเขาอยู่บ่อยๆ ชอบคุยเล่นเรื่องในครอบครัวว่ามีอะไรขาดเกินไปบ้าง เฉินชางนิสัยดี ไม่ใช่คนขี้รำคาญ ดังนั้นจึงชินแล้ว
แต่ตอนนี้เฉินชางจำเป็นต้องคิดเรื่องเช่าห้องอย่างจริงจังเสียแล้ว
หมู่บ้านในเมืองจะถูกรื้อถอน ตนจำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่
จะเช่าที่ไหนล่ะ?
ไม่ว่าที่ไหนก็แพง!
เขาดาวน์โหลดแอปห้องเช่ามา พบว่าห้องเช่าใกล้โรงพยาบาลมีค่าเช่าประมาณหนึ่งพันห้าร้อยหยวนขึ้นไป ทั้งยังต้องมีค่าน้ำค่าไฟอีก รวมแล้วหนึ่งเดือนไม่ต่ำกว่าสองพันหยวน!
เฉินชางทอดถอนใจ
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะได้รับระบบมา ทำให้มีรายได้เข้ามาทุกวัน แต่ว่า…เฉินชางกลัวว่าถ้าวันใดวันหนึ่งมันหายไปจะทำยังไง?
คนเราต้องรู้จักลำบากให้ชิน ต้องมีสัญชาตญาณเอาตัวรอด ต้องรู้จักกลัวว่าหากกลับไปสู่จุดเริ่มต้นจะทำอย่างไร
ยามเย็นในขณะว่างๆ เฉินชางมองออกไปด้านนอก พบว่าฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว ทอดถอนใจออกมา เมืองอันกว้างใหญ่ กระทั่งที่สงบๆ ที่ตนจะอยู่ได้ก็ยังไม่มี
บ้านสร้างเองมักจะมีระเบียงขนาดใหญ่ เฉินชางเดินออกไป มองดอกไม้ไฟและความคึกคักที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งตัวเมือง มองดูตึกสูงระฟ้าประดับไฟระยิบระยับที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร รู้สึกราวกับอยู่กันคนละโลก
ที่นั่นมีสิ่งล่อตาล่อใจและแรงดึงดูดไม่สิ้นสุด ผู้คนพยายามชั่วชีวิต อาจเพราะต้องการหาที่พักในเมืองเอกของมณฑล
เฉินชางเองก็คิดเช่นนี้
ไม่สิ ก่อนหน้านี้เฉินชางไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าเป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อม
ฮ่าๆ…หรือนี่จะเป็นความโศกเศร้าในชีวิตของเขา?
แน่นอนว่าไม่ใช่ หลายครั้งเขาคิดว่าตัวเองช่างโลกสวย
โลกสวย?
นั่นเป็นเพราะเก็บซ่อนความโศกเศร้าไว้ในท้อง กดความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในส่วนลึก
คนเราก็เป็นเช่นนี้
มีเพียงยามค่ำคืนที่ผู้คนเงียบเหงา คุณถึงจะรู้ว่าคุณเป็นเช่นไร
มีเพียงตอนที่คนเราอยู่ในมุมลึกเท่านั้น คนถึงจะกล้ามองส่วนลึกที่แท้จริงในใจตนเอง
เฉินชางมองท้องฟ้า กำหนดแผนการเล็กๆ ให้ชีวิตตนไปเงียบๆ ในใจ
เฉินชางเป็นคนชนบท พ่อแม่เป็นเกษตรกรที่ซื่อสัตย์ ยิ่งไปกว่านั้นเฉินชางยังมีน้องชายอยู่คนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัย พ่อแม่มีลูกชายสองคน ความกดดันจึงค่อนข้างมาก
ไม่ใช่ว่าเฉินชางไม่คิดเรียนปริญญาโท แต่พูดตามจริง เขาเรียนไม่ไหว!
ไม่ต้องพูดถึงค่าเรียนปีละแปดพันหยวนเลย เมื่อรวมกับค่าที่พักแล้วยังก็เป็นเงินหนึ่งหมื่นกว่า
นี่ยังไม่รวมค่ากินดื่ม
เรียนแพทย์ในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรี ทางรัฐบาลจะมอบเงินช่วยเหลือหกพันหยวน ความจริงก็มีทุนรัฐบาลอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าจะได้มาง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
เขาเคยคิดจะกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลในท้องถิ่น แต่ถึงอยากจะกลับก็ยังต้องหาคอนเน็คชั่นและยังต้องจ่ายเงิน
เรียนแพทย์มาห้าปี ลำบากมาห้าปี
ความจริงเฉินชางรู้สึกกลัว!
เขาไม่ได้กลัวเหนื่อย แต่กลัวว่าเหนื่อยขึ้นมาจริงๆ แล้วจะมาแผนกฉุกเฉินไม่ไหว
โรงพยาบาลเอกชนหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ หลับตาทำงานไปก็พอ
แต่เฉินชางยังคงใจอ่อน พ่อแม่ผู้จิตใจดีซื่อสัตย์สั่งสอนปรัชญาในการดำเนินชีวิตให้กับเฉินชางมาสองคำ ก็คือคำว่าซื่อสัตย์และเมตตา!
เฉินชางทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนครึ่งปี จากนั้นจึงลาออก พอดีกับที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองของจังหวัดรับสมัครพนักงานชั่วคราวจึงได้มาทำงานที่นี่
ทำไปทำมาก็สองปีกว่าแล้ว!
ทำงานมาสองปีกว่า ถึงแม้จะเหนื่อยและจน แต่สำหรับเฉินชางแล้วพอจะเห็นอนาคตอยู่รำไร ถึงอย่างไรเขาก็ได้เรียนรู้เรื่องมากมายในแผนกฉุกเฉินและได้พบกับอาจารย์ที่ดีที่นั่น ซึ่งก็คือเฉินปิ่งเซิง
ด้วยนิสัยของเฉินชาง ในสองปีมานี้ จะมากจะน้อยก็ต้องส่งผลต่อเฉินปิ่งเซิงบ้าง
จากความคิดของเขาก่อนหน้านี้ เขาจะอยู่เรียนรู้ที่นี่ให้ดีๆ สักห้าหกปี ทางที่ดีหาทางเข้าไปอยู่ในแผนกหลักให้ได้ จากนั้นจึงกลับไปที่บ้านเกิด เข้าทำงานในแผนกสายตรง กลายเป็นกำลังสำคัญ
เฉินชางไม่เคยประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากชีวิตจะทำให้คุณเข้าใจกระจ่างว่าคุณก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง มหาสมุทรกว้างใหญ่ เขาเป็นเพียงหยดน้ำเล็กๆ เป็นเพียงประชาชนตัวเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่ง หรือบางทีอาจเป็นประชาชนที่ยังพอมีสิทธิ์มีเสียงในเมือง
เป็นหมอตัวเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่ง!
เขาเป็นเพียงหมอคนหนึ่ง ไม่ใช่เทพเซียนอะไร?
เทพเซียนอะไรกันล่ะ?
หรือหมอไม่ต้องกินต้องดื่ม?
หมอแต่งงานไม่ต้องใช้สินสอดหรือไง?
หมอแต่งงานไม่ต้องซื้อเรือนหอหรือ?
หรือว่าคุณไม่ต้องผ่อนบ้าน?
ล้วนเป็นคำพูดไร้สาระทั้งนั้น
เดิมทีงานของหมอก็คือการช่วยรักษาคน แต่สุดท้ายหมอก็ยังเป็นคน คนย่อมมีกิเลสตัณหา ต้องการปัจจัยสี่ มีความทุกข์ใจต่างๆ นานา
เฉินชางเองก็กลัวความจน
ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีเส้นทางการหาเงินเข้ามา เขาหวงแหนแทบตาย หากพูดความจริง นี่ไม่แตกต่างอะไรกับความหวังที่สองของเฉินชาง
ตอนนี้เฉินชางมีเป้าหมายเพิ่มอีกอย่างหนึ่งแล้ว นั่นก็คือได้อยู่ในสถานที่นี้ต่อไปอย่างมั่นคง
เขาเองก็มีความฝันของตัวเอง
แต่ของอย่างความฝัน คุณจะต้องมีเงินถึงจะทำตามความฝันได้ ถ้าไม่มีเงินก็ทำได้แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ
บางครั้ง หากพูดกันตามตรง ความฝันก็เป็นเรื่องหนักหนา การใช้ชีวิตจะทำให้คนไม่กล้าแสวงหาความฝัน
นี่เป็นเรื่องที่น่าเย้ยหยัน แต่ก็เป็นความจริง
จริงๆ แล้วคุณละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไล่ตามความฝันของตัวเองได้! แต่เฉินชางทำไม่ได้ และคนส่วนใหญ่ก็ทำไม่ได้
เฉินชางเป็นผู้ใหญ่ ความรับผิดชอบค่อนข้างหนักหนา พ่อแม่บ้านเฉินก็เป็นเกษตรกร เวลาว่างๆ พอในหมู่บ้านมีงานแต่งงานศพก็จะไปช่วยลงครัว พอหาเงินได้เล็กน้อย แต่จะอาศัยงานพวกนี้เพื่อส่งเสียลูกสองคนเรียนมหาวิทยาลัยดูจะเป็นไปไม่ได้เลย
ในหมู่บ้านเกษตรกรของเมืองตงหยางมักจะปลูกข้าวโพด ตระกูลเฉินมีที่ดินห้าหมู่สามแปลง ตลอดหนึ่งปีจะมีรายได้ประมาณหมื่นหยวน หากเก็บเกี่ยวไม่ดีก็จะได้ประมาณเจ็ดแปดพัน ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยดินฟ้าอากาศในการทำมาหากิน
ส่วนเรื่องการเป็นพ่อครัว รุ่นปู่ของตระกูลเฉินเป็นพ่อครัวอยู่ในหมู่บ้าน ภายหลังปู่เฉินประสบความสำเร็จ หนึ่งปีมีรายรับประมาณหนึ่งหมื่นแปดพันหยวน หากในหนึ่งปีทำพาร์ทไทม์ก็อาจฝืนหาเงินได้ถึงสามหมื่นหยวน
แต่นี่มันยุคไหนแล้ว เงินสามหมื่นหยวนพอทำอะไรได้?
ถ้าหากเฉินชางเรียนต่อ ครอบครัวก็จะเกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ สร้างภาระให้พ่อแม่ สร้างความกดดันให้น้องชาย เรื่องพวกนี้เฉินชางทำไม่ลง
ทุกคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตนเอง ในขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง
เฉินชางเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ การมาทำงานอยู่ในเมืองแห่งนี้ก็คือการดิ้นรนสุดท้ายของเขา
ดังนั้นนี่คือโอกาสเปลี่ยนแปลง เขาจำเป็นต้องคว้าไว้ให้มั่นคง
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้อยู่ในเมืองเอกของมณฑล
เฉินชางประหยัดมาก รวมแล้วสองปีหาเงินได้ไม่ถึงห้าหมื่นหยวน แต่เก็บเงินได้สองหมื่นกว่าหยวน นี่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้
บางครั้งความจนก็ไม่ใช่เพียงคำพูดขำขัน
แต่เป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับผู้ใหญ่
บางครั้งความล้มเหลวของผู้ใหญ่ก็เริ่มต้นมาจากการหยิบยืมเงิน
ในตอนที่เฉินชางยังเรียนอยู่ สำหรับเขาแล้วความจนไม่ได้แตกต่างกัน แค่มื้อเย็นจะกินหมั่นโถวหรือจะกินขาไก่จนทำให้ความสุขของเขาลดลง แต่ตอนนั้นเขาหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้สัมผัสได้ถึงความสิ้นไร้หนทางและความน้อยเนื้อต่ำใจที่ความจนนำมาให้เขาอย่างลึกล้ำ
ในหมอนอัดแน่นไปด้วยเชื้อราที่เรียกว่าความฝัน ส่วนในฝันมีคนที่ไม่อาจครอบครอง
ตอนนั้นจู่ๆ เฉินชางก็ตระหนักรู้ขึ้นมา
ชีวิตเบื้องหน้าของคนเรามีแต่การเอาตัวรอดไปวันๆ จริงๆ…
ส่วนเรื่องของบทกวีและระยะทาง เป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คน
เป็นหนึ่งค่ำคืนที่ไร้ซึ่งคำพูด
วันต่อมาเฉินชางตื่นแต่เช้า เดินทางไปที่โรงพยาบาล
แผนกฉุกเฉินยังคงยุ่งวุ่นวายเช่นที่เคยเป็นมา วันนี้เป็นเวรของเหล่าเฉิน เมื่อเห็นเฉินชางเดินเข้ามาก็รีบกวักมือเรียก “มา มาเร็ว ไม่ต้องเปลี่ยนชุดแล้ว มาเลย ไปนอกโรงพยาบาลกับผม!”
เฉินชางเห็นว่าสีหน้าของเหล่าเฉินไม่ค่อยถูกต้องจึงรีบเดินตามไป “หัวหน้ามีอะไรหรือครับ?”
สีหน้าของเหล่าเฉินดูเคร่งเครียด เดินไปพูดไป “บริเวณเขตก่อสร้างมีคนถูกไฟช็อต ตอนนี้ยังไม่ได้สติ เพิ่งจะโทรเรียก 120”
เฉินชางฟังจบ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป!
สลบไปหลังจากถูกไฟช็อต…
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนของเช้าวันจันทร์ ระหว่างทางจึงรถติด เฉินปิ่งเซิงร้อนใจจนกระสับกระส่าย กระทั่งดูลุกลี้ลุกลน!
“คุณหยาง เร็วหน่อยครับ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แน่ กว่าจะไปถึงผู้ป่วยคงไม่รอดแล้ว!”
“ไฟแดงแล้ว! ฝ่าไฟแดงไปก่อน! ผู้ป่วยไม่มีเวลาให้เสียแล้วนะครับ!”
“ถ้าไม่มีผู้ป่วยอยู่ในรถก็ฝ่าไฟแดงไม่ได้เหรอ? โธ่ ให้ตายเถอะ! กฎบ้าบออะไรกัน!”
“เร็วเข้า! จะไม่ทันแล้ว”
รถฉุกเฉินใช้เวลาไปประมาณเจ็ดถึงแปดนาทีก็มาถึงเขตก่อสร้างริมแม่น้ำซาเหอ รถยังไม่ทันจอดสนิท เฉินปิ่งเซิงก็หยิบกล่องอุปกรณ์ฉุกเฉินเดินลงรถไปก่อนแล้ว เฉินชางตามไปติดๆ
ตอนนี้คนป่วยสลบไปแล้ว ชายฉกรรจ์คนหนึ่งอายุประมาณห้าสิบปี สวมชุดลายพราง มีฝุ่นเปื้อนเต็มหน้า เมื่อเห็นรถฉุกเฉินมาแล้วจึงรีบตะโกนขึ้น “รีบหลีกทาง หลีกทางเร็วเข้า หมอมาแล้ว!”
ทุกคนพากันหลีกทางให้ ชายคนนั้นรีบกล่าวขึ้นว่า “หมอครับ เมื่อกี้ยังหายใจและหัวใจยังเต้นอยู่ ถึงจะอ่อนมากแต่ว่า…แต่ว่าก็ยังมี ตอนนี้…ตอนนี้เหมือนจะไม่มีแล้ว? คุณรีบมาดูเถอะ นี่…นี่จะทำยังไงดี?”
เมื่อเฉินปิ่งเซิงได้ยินคำพูดนี้สีหน้าพลันมืดครึ้มลง รีบเดินเข้าไปตรวจสอบ
เขาพบว่าผู้ป่วยสีหน้าขาวซีด เขานั่งยองลงกับพื้นใช้มือขวาคลำชีพจร ใช้หูฟังลมหายใจ สายตามองไปยังบริเวณหน้าอก หลายวินาทีผ่านไปเฉินปิ่งเซิงก็หยิบเครื่องช่วยฟังขึ้นมา กดลงไปฟังบริเวณหัวใจ จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนไปย่ำแย่ยิ่งขึ้น
เขายืดตัวขึ้น ถามว่า “ตอนนั้นถูกไฟดูดได้ยังไง มีใครเห็นหรือเปล่า?”
ชายสวมชุดลายพรางที่มีฝุ่นเปื้อนเต็มหน้ากล่าวขึ้นว่า “ผมเห็นครับ ตอนนั้นสายไฟขาด หลังจากเขาปิดสวิตช์ไฟก็เริ่มซ่อมแซม เขาใช้สองมือจับสายไฟ คิดจะเชื่อมเข้าด้วยกัน แต่ตอนนั้นจู่ๆ ก็ร่างกายแข็งทื่อ ผมเห็นสถานการณ์ไม่ดีเลยใช้เชือกดึงเขาออกมา”
ตอนนี้ชายวัยรุ่นที่อยู่ด้านหลังถูกทำให้ตกใจจนร้องไห้ไปแล้ว “ผมไม่รู้ว่าเขากำลังซ่อมสายไฟ กลุ่มของพวกผมเห็นว่าไฟดับเลยมาดู พอเห็นว่าสวิตช์ไฟปิดอยู่ มองไปรอบๆ ก็ไม่มีใคร ไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก็เปิดสวิตช์แล้ว…เพราะว่าในเขตก่อสร้างมักจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรอยู่บ่อยๆ…ผม…ผมไม่รู้”
เฉินปิ่งเซิงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาเพียงอยากรู้ว่าไฟช็อตได้อย่างไร และวิธีการที่ไฟช็อตเป็นอย่างไร!
แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของชายในชุดลายพราง เฉินปิ่งเซิงก็อดเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจไม่ได้
กระแสไฟช็อตไปถึงทรวงอก…
ค่อนข้างรักษายาก!
อะไรคือกระแสไฟช็อตไปถึงทรวงอก? นั่นก็คือกระแสไฟเดินทางผ่านจากมือหนึ่งไปถึงอีกมือหนึ่ง การที่กระแสไฟไหลเช่นนี้จะต้องผ่านหัวใจ ทำให้เกิดอาการกระตุกของหลอดเลือดหัวใจและหัวใจล้มเหลว!
เรื่องนี้ร้ายแรงมาก!
ปฏิกิริยาของเฉินปิ่งเซิงเร็วมาก เริ่มปั๊มหัวใจทันที
แต่ว่า…ปั๊มไปแล้วสองรอบก็ยังไม่มีปฏิกิริยา!
เฉินปิ่งเซิงยืดตัวขึ้น “เสี่ยวเฉิน ช่วยปั๊มหัวใจและกระตุ้นลมหายใจ อย่าหยุด!”
การช่วยชีวิตเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก!
เฉินปิ่งเซิงดึงเตียงขนย้ายลงมาจากรถฉุกเฉิน “มา ส่งเขาขึ้นรถก่อน! สวมเครื่องกระตุ้นคลื่นหัวใจไว้ดูว่าเป็นไง”
ทุกคนล้วนเป็นชายแข็งแรง มีพลังมาก ส่งคนขึ้นรถได้อย่างไม่เปลืองแรง
เขาใช้กรรไกรตัดเสื้อคนไข้ออก แล้วติดเครื่องวัดคลื่นหัวใจ!
เฉินชางและเฉินปิ่งเซิงสบตากัน “เกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติแล้ว…”
เฉินปิ่งเซิงตัดสินใจเด็ดขาด พูดกับคนขับรถแซ่หยางว่า “คุณหยาง รีบไปที่โรงพยาบาล!”
จากนั้นจึงหันมามองทุกคน “พวกคุณ ใครเป็นคนในครอบครัว? มีคนรับผิดชอบหรือเปล่า ไปโรงพยาบาลด้วยกันหน่อยครับ”
คนทั้งหลายสบตากัน ไม่มีใครพูดอะไร
ในสถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครอยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง!
ตอนนี้เอง ชายฉกรรจ์อายุห้าสิบกว่าปีที่สวมชุดลายพรางก็เดินออกมา “ผมไปเอง”
ไม่นานชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดสวิตช์ก็รีบพูดขึ้นติดๆ “ผมก็จะไปด้วย”
บนรถฉุกเฉิน มีเครื่องกระตุ้นคลื่นหัวใจ จอมอนิเตอร์ ทั้งยังมีออกซิเจน ของพวกนี้ต่างมีครบครัน
กระตุ้นหัวใจครั้งที่หนึ่ง!
ไม่ได้!
ครั้งที่สอง!
ยังคงไม่ได้!
การกระตุ้นหัวใจยังคงดำเนินต่อไป
กระตุ้นหัวใจไม่หยุด แต่มองไม่เห็นความเป็นไปได้เลย
ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปชีวิตของผู้ป่วยจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่!