เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 230 คืนหลอนวันสารทจีน
หญิงสาวเล่าต่อว่า “กว่าจะปลอบให้แม่สงบลงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ต้องให้กินยานอนหลับถึงจะหลับได้ แต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะที่ข้างห้องอีก ก็เลยรีบลุกไปดู…
…ฉันเพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องนอน ก็เห็นแม่กรีดร้องแทบขาดใจ ข้าวของที่วางอยู่บนเตียงโดนกวาดลงมากองอยู่บนพื้น!…พอแม่ได้ยินเสียงฉันเดินเข้ามา แม่ก็บอกว่า ‘ลูก ลูกดูสิ ข้างหลัง พวกนั้นมาอีกแล้ว!’”
หญิงสาวเอามือลูบไหล่ทั้งสองข้างของตนเองเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างหวาดกลัว
อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่เฉินชางกับเล่อเล่อ รวมทั้งคนอื่นๆ เมื่อได้ฟังเรื่องที่หญิงสาวคนนี้เล่า ทุกคนต่างก็ตัวสั่นเล็กน้อย
เฉินชางอดตื่นตระหนกไม่ได้
หญิงสาวเล่าต่อว่า “ฉันกำลังจะพูดกับแม่ ทันใดนั้นแม่ก็ชี้ไปที่ด้านหลังฉัน แผดเสียงตะโกนลั่น ‘พวกแกรีบออกไปเลย ฉันขอร้อง รีบออกไป ฉันหันหลังฉันก็ไม่เห็นอะไรแล้ว…’ ”
“…ตอนนั้นฉันตกใจจนเสียขวัญ ฉันถามแม่ว่า ‘แม่ แม่เลอะเลือนหรือเปล่า!’…แม่กอดเสื้อผ้าของฉันไว้ไม่ปล่อย ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ปล่อย ปากก็พูดว่า ‘อยู่นั่น อยู่นั่น…’…ฉันกำลังจะพูดกับแม่ แม่ก็วิ่งออกไปข้างนอกแล้ว วิ่งไปก็ตะโกนไป ‘อย่าตามฉันมา…อย่าจับฉัน!’…”
“…แล้วพวกเราก็วิ่งตามแกไปจนมาถึงที่นี่”
หญิงสาวเล่าเรื่องราวหมดที่เกิดขึ้นจบแล้ว…
เฉินชางตัวสั่นเล็กน้อย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รีบส่ายหน้าทันที
ตนเป็นหมอ ทำไมถึงหลงเชื่อเรื่องเล่างมงายไปกับพวกเขาได้
ส่วนเล่อเล่อกับพยาบาลคนอื่นๆ ก็กลัวจนยืนเกาะกลุ่มกัน ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
เฉินชางคิดในมุมกลับ ถามขึ้นว่า “คุณแม่ของคุณเคยป่วยเป็นอะไรมาก่อนหน้านี้มั้ยครับ หรือเคยกินยาอะไรมั้ย เช่นยาระงับประสาท ยาระงับอาการปวด อะไรพวกนี้น่ะครับ”
หญิงสาวดูอายุยังไม่มาก เดาว่าเป็นคนหน้าอ่อนกว่าวัย เธอส่ายหน้า “ไม่มีนะคะ ปกติแม่ฉันแข็งแรงมาก กินยานอนหลับก็น้อยมาก กินแค่เวลาที่กลัวว่าจะนอนไม่หลับ ยาระงับอาการปวดอะไรพวกนั้นปกติไม่กินเลย สุขภาพจิตแม่ก็ดีมาก ทุกวันจะไปร้องเล่นเต้นรำอยู่ที่ศูนย์กิจกรรมผู้สูงวัย อ้อ จริงด้วยค่ะ! แม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นมาสิบกว่าปีแล้ว แต่กินยาสม่ำเสมอนะคะ”
เมื่อเฉินชางคิดไปคิดมา ตัดเรื่องประวัติจิตเวชออกไป แล้วก็ไม่มีประวัติการอาการเจ็บป่วยที่ส่งผลกับจิต หลังจากที่คิดตรึกตรองดูแล้ว เขากล่าวขึ้นว่า “ทำซีทีสแกนกันเถอะครับ!”
หญิงสาวพยักหน้า ทว่าก็ยังค่อนข้างรู้สึกหวาดกลัว เธอถามด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ได้ค่ะคุณหมอ แต่…คุณหมอคะ แม่ฉันถูกผีเข้าแล้วหรือเปล่าคะ ถึงได้เห็นวิญญาณ”
เฉินชางยังไม่ทันตอบ หญิงสาวก็กล่าวต่ออีกว่า “คุณหมอคะ คุณเจออะไรแบบนี้มาเยอะ พรุ่งนี้ฉันต้องเชิญนักบวชเต๋ามาทำพิธีมั้ยคะ”
เฉินชางชะงัก เขายิ้มพร้อมตอบว่า “ลองตรวจสมองของผู้ป่วยดูก่อนเถอะครับว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
ในตอนนี้หญิงชราคงจะเหนื่อยล้ามากแล้ว เธอไม่ส่งเสียงร้องเอะอะอีก และคล้ายว่าจะหลับไปแล้ว
เฉินชางพาหญิงชราไปตรวจสมองด้วยเครื่องซีทีสแกน ในใจก็เกิดกลัวว่าจะมีอะไรผิดปกติ
ไม่นานผลตรวจก็ออกมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเกินความคาดหมายของเฉินชาง
ไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน (คำอธิบาย: ไม่พบความผิดที่ชัดเจนบริเวณปมประสาทฐานผิดปกติ[1] หรือรอยโรคของโรคหลอดเลือดสมองตีบ)
หญิงสาวกล่าวขึ้นว่า “แม่ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ”
หญิงสาวก็กล่าวต่ออีกว่า “เอาอย่างนี้มั้ยคะคุณหมอ คุณหมอฉีดยากล่อมประสาทให้แม่ฉันหนึ่งเข็ม ให้แม่ฉันนอนหลับให้เต็มอิ่ม ถ้าพรุ่งนี้หายแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติแล้วก็โล่งใจไป แต่ถ้าไม่หาย ฉันจะไปหาหมอผีทำพิธีปัดเป่า”
เฉินชางคิดไปคิดมาก็กล่าวขึ้นว่า “ผมคิดว่าทำเอ็มอาร์ไอสักหน่อยดีกว่าครับ…”
สามีของหญิงสาวเริ่มที่จะหมดความอดทนแล้ว “คุณตรวจมากเกินความจำเป็นหรือเปล่า เดี๋ยวทำซีทีสแกน เดี่ยวทำเอ็มอาร์ไอ คุณต้องการทำอะไรกันแน่”
เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น เธอก็กล่าวทันทีว่า “คุณหมอคะอย่าถือสาเลยนะคะ ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะ แต่…อย่าตรวจเกินความจำเป็นไปนะคะ เราตรวจในสิ่งที่จำเป็นกันเถอะค่ะ ตอนนี้แม่ของฉันเป็นแบบนี้ คุณหมอก็เห็นอยู่ ฉันเป็นลูก ฉันเป็นห่วงแกมากจริงๆ ค่ะ!”
เฉินชางกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ทว่ายังคงยืดหยัดคำเดิม “ถึงยังไงผมก็คิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ผมแนะนำว่าให้ตรวจเอ็มอาร์ไอก่อนแล้วค่อยกลับบ้านครับ ถ้าตรวจแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ผมก็ไม่รั้งพวกคุณไว้แล้ว”
หญิงสาวปรบมือหนึ่งที “ทำก็ทำ คิดซะว่าตรวจร่างกาย!”
หลังจากที่พูดจบก็ให้ผู้ชายไปจ่ายค่าตรวจก่อน ช่วงเวลากลางคืนเช่นนี้ไม่คน ไม่นานก็ตรวจเอ็มอาร์ไอเสร็จแล้ว
หลังจากที่เฉินชางได้อ่านฟิล์มเอกซเรย์แล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาทันที ในที่สุดในครั้งนี้ก็เจอแล้ว!
สิ่งที่ปรากฏบนภาพเอกซเรย์ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสมองกลีบขมับเสื่อม
เมื่อเฉินชางเห็นภาพฟิล์มเอกซเรย์เขาก็เข้าใจสาเหตุทั้งหมด เพราะสมองกลีบขมับ[2] ทำหน้าที่ควบคุมด้านอารมณ์ความรู้สึกพฤติกรรมของมนุษย์ เมื่อสมองส่วนนี้มีปัญหาก็ย่อมมีเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดอาการหลอน
เฉินชางเรียกหญิงสาวเข้ามา จากนั้นก็บอกกับเธอว่า “เห็นหรือยังครับ โรคหลอดเลือดสมองตีบทำให้คุณแม่ของคุณเห็นภาพหลอน ไม่ได้เจอวิญญาณชั่วร้ายอะไรทั้งนั้น คุณแม่ของคุณจำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล”
ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าสงสัย “โรคหลอดเลือดสมองตีบ...ไม่ได้ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีกหรือครับ แล้วก็น้ำลายไหล พูดไม่ชัด มือเท้าช้า ทำถึงกลายเป็นเห็นภาพหลอนล่ะครับ”
เฉินชางส่ายหน้า “สมองเป็นศูนย์บัญชาการระบบการทำงานทั้งหมดของร่างกายมนุษย์ รวมทั้งการกิน การดื่ม การขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ กระบวนความคิดของเรา ความรู้สึกภายในจิตใจ จิตสำนึกและการตระหนักรู้ตัว ล้วนมาจากการควบคุมของสมองทั้งสิ้น ดังนั้นตามหลักทฤษฎีแล้ว หลังจากที่เกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบก็จะเกิดอาการต่างๆ นานา รวมทั้งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ความทรงจำที่เลอะเลือน รวมทั้งอาการทางจิตเป็นต้น…
…แต่ถึงแม้ว่าจะแสดงอาการที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่ก็ยังมีผู้ป่วยบางรายที่มีอาการเฉพาะบุคคล อาการอัมพาตที่พบส่วนใหญ่ที่พบมักจะเป็นอัมพาตครึ่งซีกหรือเฉพาะใบหน้า ซึ่งน้อยมากที่จะเป็นอัมพาตทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลักษณะการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบของแต่ละบุคคล...ผู้ป่วยบางรายเกิดขึ้นเฉียบพลัน อาการก็ของผู้ป่วยจะทรุดอย่างรวดเร็วมาก ลักษะณะของการเกิดโรคจึงมีความสำคัญมากในการวินิจฉัย…
…ดังนั้น อาการของแม่คุณเป็นอาการโรคหลอดเลือดสมองตีบที่ส่งผลให้เกิดภาวะสมองกลีบขมับเสื่อมเฉียบพลัน ทำให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ ส่งผลให้มีอาการป่วยอื่นๆ ตามมา!”
เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ เธอพลันถอนหายใจออกมาทันใดด้วยความโล่งอก!
“ตกใจแทบแย่ คิดว่าแม่โดนผีเข้าซะอีก! งั้น…คุณหมอคะ เราควรจะทำไงต่อคะ”
เฉินชางหันไปหาเล่อเล่อ “เล่อเล่อ คุณโทรหาแผนกจิตเวช บอกทางนั้นว่ามีผู้ป่วยสมองกลีบขมับเสื่อมเฉียบพลัน ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด่วนที่สุด”
เมื่อเฉินชางอธิบายเพิ่มเติมว่า “เหตุผลที่ในตอนแรกผมคุณแม่ของคุณทำซีทีสแกนเพราะซีทีสแกนจะมีประสิทธิภาพสูงในการตรวจผู้ป่วยภาวะเลือดออกในสมอง อีกทั้งค่าตรวจก็ไม่แพง ค่าตรวจไม่ถึงสองถึงสามร้อยหยวนก็วินิจฉัยคัดกรองสิ่งผิดปกติได้แล้ว แต่การตรวจแบบเอ็มอาร์ไอค่าตรวจอยู่ที่เก้าร้อยหยวน ทว่าสำหรับภาวะสมองกลีบขมับเสื่อมเฉียบพลัน การตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอจะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่าซีทีสแกน ดังนั้นผมก็เลยดำเนินตามนี้”
หญิงสาวส่ายหน้า สีหน้าอ่อนโยนขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ แค่รู้ว่าไม่ใช่เพราะโดนผีเข้าก็พอแล้ว”
ไม่นานจิตแพทย์จางหลิงอวิ๋น ก็มาถึง แล้วพาผู้ป่วยย้ายไปที่แผนกจิตเวช
เฉินชางยุ่งจนถึงตีสามตีสี่ ในที่สุดจัดการกับผู้ป่วยเคสแปลกๆ เช่นนี้เรียบร้อย
พยาบาลอีกสองสามคนยังคงรู้สึกยากจะเชื่อ “หมอเฉินคะ…คุณว่าหลังจากที่ผีสิงร่างไปแล้วจะทำให้เกิดภาวะสมองกลีบขมับเสื่อมเฉียบพลันหรือเปล่าคะ”
เฉินชางถึงกับหมดคำจะพูดทันใด “ต่อไปพวกคุณอย่าระแวงคิดมั่วไปเรื่อยแบบนี้อีกนะ ผู้ป่วยตกใจกลัวกันหมดแล้ว!”
หลังจากพูดจบ เฉินชางก็กลับไปที่ห้องทำงาน
เมื่อย้อนคิดถึงผู้ป่วยเมื่อครู่นี้ เฉินชางก็หัวเราะออกมา ลูกสาวที่เข้าใจ มีเหตุมีผล และให้ความร่วมมือในการดำเนินการตรวจผู้ป่วยซ้ำอีกครั้งแบบนี้หายากมากจริงๆ!
ปกติหลังจากตรวจซีทีสแกนแล้วไม่พบความผิดปกติอะไรก็จะไม่ตรวจซ้ำแล้ว ถ้าตรวจซ้ำอีก ก็จะทำให้ครอบครัวผู้ป่วยเข้าใจว่าหมอทำเกินความจำเป็น
แต่…อาการป่วยที่แสดงออกมาของผู้ป่วยในบางครั้งเป็นอาการที่แปลกประหลาดพิสดาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอน
ขณะเฉินชางนั่งอยู่ในห้องทำงาน จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้กะทันหันว่ามีเรื่องที่ตนยังไม่ได้จัดการ เขาจึงเปิดคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวในห้องทำงานที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ต้องการจะล็อกอินวีแชท
คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ปกติไม่ปิดเครื่องเพราะว่าโหลดช้ามาก เฉินชางแค่ขยับเม้าส์หน้าจอก็สว่างวาบขึ้น ทันทีกำลังจะล็อกอิน เฉินชางก็พลันตกตะลึงจนตาค้างในทันใด!
บ้าจริง!
ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าทำไมผมถึงส่งรูปไปให้คนอื่นในวีแชทได้!
เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ตนไม่ได้ล็อกเอ้าท์วีแชทของตนในคอมพิวเตอร์เครื่องนี้!
เมื่อคืนนี้คนที่เข้าเวรดึกคือฉินเยว่!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็โกรธจนกัดฟันกรอด คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ ยัยฉินขี้ประจบ คอยดูนะ พรุ่งนี้ผมจะคิดบัญชีกับคุณ!
[1] ปมประสาทฐาน (Basal ganglia) ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว
[2] สมองกลีบขมับ (Temporal lobe) เป็นส่วนที่มีหน้าที่รับความรู้สึกเกี่ยวกับกลิ่นและเสียง การประมวลสิ่งกระตุ้นที่ซับซ้อน