เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 294 ความกดดันของหมออยู่ตรงไหน
บทที่ 294 ความกดดันของหมออยู่ตรงไหน
ชีวิตผู้ป่วยถูกช่วยไว้แล้ว ในที่สุดทั้งสามคนต่างก็รู้สึกโล่งใจแล้ว
เฉินชางถอนหายใจออกมา ถ้าสลายลิ่มเลือดให้ผู้ป่วยด้วยวิธีเดียวกันกับผู้ป่วยประเภทภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายที่เกิดจากการอุดตันของลิ่มเลือดที่ช่อง ST ยกสูงขึ้น ก็อาจเป็นไปได้ที่จะได้ผล
แต่คำว่า ‘อาจจะ’ ไม่เหมาะที่จะใช้ในแวดวงการแพทย์เลยจริงๆ!
เพราะคำว่า ‘อาจจะ’ ของคุณมักจะนำมาซึ่งความไม่แน่นอนของชีวิต!
ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ เราจำเป็นต้องเลือกทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
จะต้องมอบสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้ป่วย ทั้งการวินิจฉัยโรคและแนวทางในการรักษา อย่าทำให้การตรวจรักษาผู้ป่วยต้องล่าช้าเพราะสาเหตุจากตัวหมอเอง
แน่นอนว่าบางทีอีกสิบปีข้างหน้า เมื่อทุกคนย้อนมองกลับมา อาจรู้สึกว่ารูปแบบการรักษาโรคในปัจจุบันนี้ป่าเถื่อนหยาบคายเกินรับได้ อีกทั้งยังล้าหลังมากด้วย ถึงขั้นที่อาจมีข้อผิดพลาดมากมาย แต่สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุดในปัจจุบันนี้แล้ว
ประวัติศาสตร์ของแม่น้ำสายใหญ่ก็ค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ เช่นนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกเขตแดนทุกสรรพสิ่งล้วนมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
การแพทย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย คือยอดหัวกะทิกับความมั่งคั่งทางการแพทย์อันล้ำค่าที่สุดของยุคสมัยนั้นๆ แพทย์แต่ละคนต่างใช้ความรู้ทางการแพทย์ด้วยใจที่บริสุทธิ์ที่สุด เพื่อรักษาปกป้องมวลมนุษย์ให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
…
…
หลังจากที่เฉินชางได้ยินเสียงข้อความแจ้งเตือนจากระบบแล้ว เขาก็ชะงักเล็กน้อย!
ที่แท้ค่าความรู้สึกดีก็ได้มาแบบนี้นี่เอง?
ดูแล้ว…
วันข้างหน้าภารกิจพิชิตค่าความรู้สึกดีของตนจะต้องอาศัยการเอาชนะใจหัวหน้าเมิ่งเสียแล้ว…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็ผ่อนคลายขึ้น พอจะเข้าใจแล้วว่าต่อไปจะพิชิตค่าความรู้สึกดีได้อย่างไร
หลังจากที่เมิ่งซีออกมาจากห้องผ่าตัด ดูเหมือนว่าเธอจะค่อนข้างอ่อนล้า เธอเดินไปยังโซนเก้าอี้ด้านข้างห้องผ่าตัด แล้วนั่งลงช้าๆ แล้วจึงถอนหายใจออกมา แต่ในใจยังคงหวาดกลัว…
เมื่อเฉินชางกับเก่อฮว๋ายเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็นั่งลงด้วย
ทุกคนต่างก็ค่อนข้างเหนื่อยล้า
การช่วยชีวิตผู้ป่วยภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดและต้องทำทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบมีระเบียบแบบแผนถือเป็นงานที่เหนื่อยมากพอที่จะให้น้ำหนักของคุณลดฮวบเอาได้ คุณลองดูสิว่าในแผนกฉุกเฉินมีคนอ้วนที่ไหนกัน
เมิ่งซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที
เกือบไปแล้ว…
เกือบไปแล้ว แค่นิดเดียวเท่านั้น…
ความไม่ละเอียดรอบคอบชั่วขณะของตน หรือควรใช้คำว่าความสามารถที่มีขีดจำกัดของตนเกือบจะเป็นสาเหตุที่ทำลาย…โอกาสในการรักษาของผู้ป่วยชนิดที่ไม่อาจแก้ไขได้
เมิ่งซีเป็นคนหนึ่งที่ตั้งมาตรฐานในการทำงานของตนเองไว้เข้มงวดมากจนเกือบจะใกล้กับคำว่าเป็นคนที่กดดันตนเองมากเกินไป เธอเป็นคนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบในขั้นตอนของการวินิจฉัยและการรักษา สิ่งที่เธอหวาดกลัวมากที่สุดคือในยามที่ต้องช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดพ้นจากความตาย แล้วเกิดผลลัพธ์หลังการรักษาอันเลวร้ายต่างๆ นานา ด้วยสาเหตุที่มาจากตัวเธอ เพราะความรู้อันตื้นเขินของตัวเอง
และในวันนี้ ตนเกือบจะทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
เมิ่งซียิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ ถึงขั้นที่ตัดสินใจว่าคืนนี้หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว จะเพิ่มภารกิจที่ต้องทำเข้าไปอีกหนึ่งภารกิจ นั่นก็คืออ่านแนวทางการแพทย์ใหม่ๆ สักหน่อย
เหนื่อยหน่อยจะเป็นอะไรไป
อาชีพของตนคืองานที่ต้องต่อรองกับพญามัจจุราช
แล้วแต้มต่อของฉันก็คือความรู้!
แต่แต้มต่อของฝ่ายตรงข้ามคือชีวิตของผู้ป่วย
ยิ่งเรามีความรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้มีแต้มต่อที่จะชนะฝ่ายตรงข้ามได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งซีก็มองเฉินชางทีหนึ่งด้วยความซาบซึ้งใจ เธอหันไปทางเฉินชางด้วยท่าทางที่ดูตั้งอกตั้งใจพร้อมกล่าวขึ้นว่า “เฉินชาง!”
เฉินชางมองเมิ่งซีอัตโนมัติ “อาจารย์เมิ่ง?”
เมิ่งซีถอดหน้ากากอนามัยออก แววตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณนะ!”
เฉินชางตะลึง เขาส่ายหน้า ไม่ตอบรับอะไร
เรื่องนี้จะโทษเมิ่งซีได้หรือ
เขาไม่มีสิทธิ์
เขาอยู่ระดับไหน ในใจเขารู้ดี ตนก็แค่บังเอิญมีทักษะการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจระดับสมบูรณ์ และบังเอิญได้เจอกับเคสประเภทนี้พอดี
ใครจะรับประกันได้ว่าถ้าเจอเคสอื่นในครั้งหน้า เขาจะจัดการได้ดีมากเช่นเดียวกันกับเคสนี้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ความจริงแล้วถ้าเขาจะโชคดีเช่นนี้อยู่ตลอดก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ช่วยเหลือคนได้มากขึ้น ช่วยชีวิตคนได้เยอะขึ้น
แต่ความสามารถของหมอมีขีดจำกัด
คุณไม่ใช่คนที่สมบูรณ์พร้อม!
คุณเรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่มีทั้งหมดบนโลกไม่ได้ คุณทำได้แค่มั่นใจในความรู้ทั้งหมดและเทคนิคทั้งหมดที่คุณมีในการทำหน้าที่ของคุณให้ดีอย่างสุดกำลังความสามารถ
ทำไมถึงบอกว่าแรงกดดันของอาชีพหมอสูงมาก
เพราะการช่วยชีวิตคนให้รอดพ้นจากความตายคือภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง
หนักอึ้งจนเราไม่อาจผลักออกไปได้
เมื่อมองชีวิตที่ดับสูญไปต่อหน้าต่อตาเรา มองคนในครอบครัวของผู้ป่วยที่ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจอย่างหนัก มองญาติพี่น้องของผู้ป่วยน้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา ความรู้สึกทรมานใจเช่นนี้ ความอับจนหนทางที่จะช่วยเหลือเป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ทรมานใจเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้!
ทุกครั้งเวลาที่เผชิญกับช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเราต่างรู้สึกเสียใจและหงุดหงิดขุ่นเคือง ถ้าทักษะของเราดีกว่านี้อีกสักหน่อย ถ้าระดับฝีมือสูงขึ้นอีกสักนิด ถ้าระบบมีความสมบูรณ์มากขึ้น…จะดีแค่ไหน!
แต่เราเปลี่ยนแปลงโลกภายนอกไม่ได้
สิ่งที่เราทำได้ก็คือซื้อตำราทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด แพงที่สุด ไม่หยุดกระตุ้นตนเองให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง บีบบังคับตนเองให้ยกระดับความรู้ความสามารถของตนเองให้สูงขึ้น
น่าเสียดายที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีคำว่าถ้า!
การแพทย์กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความรู้ของเราทำได้แค่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนให้ทันและไม่หยุดยั้ง
ขีดจำกัด?
ที่ไหนๆ ก็มีขีดจำกัดทั้งนั้น!
ทำไมจะต้องตำหนิคนอื่นด้วย
ลองคิดดูว่าตัวเราเองทำดีมากแค่ไหนแล้ว
แหล่งทรัพยากรในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บมีจำกัด พวกเราช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างสุดกำลังความสามารถ ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
…
เฉินชางมองเมิ่งซีแล้วก็ถอนหายใจออกมา “การแพทย์ก็เป็นแบบนี้…”
คำพูดของเฉินชางที่กล่าวออกไปทำให้เก่อฮว๋ายกับเมิ่งซีถึงกับตะลึง แล้วทั้งสองก็ถอนหายใจออกมา
ใช่ นี่คือการแพทย์!
ขณะนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า หลังจากที่ทุกคนเก็บข้าวเก็บของแล้ว ก็เตรียมเลิกงานกลับบ้าน
จู่ๆ เมิ่งซีก็มองเฉินชาง กล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน คุณพักอยู่ที่ไหน ให้ฉันไปส่งคุณเถอะ”
เฉินชางชะงัก ส่ายหน้า “ผมเดินกลับก็ใช้เวลายี่สิบนาทีเองครับ อาจารย์เมิ่งรีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ”
เมิ่งซีไม่ได้ดึงดันอะไร เธอหันหลังแล้วเดินจากไป
ในเวลานี้เฉินชางท้องร้องโครกคราก เขาถึงนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้กินข้าว โธ่ ขืนปล่อยให้ท้องร้องต่อไปอีกต้องหิวตายแน่
…
…
เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากที่เปลี่ยนเวรแล้ว เฉินชางเพิ่งรู้กะทันหันว่าที่โรงพยาบาลมีจัดประชุมสำหรับแพทย์ที่เพิ่งเข้ามาฝึกอบรมที่โรงพยาบาล
และหลังจากที่เฉินชางเข้าไปในที่ประชุมแล้ว เขาก็ได้เจอกับเฉียนหลินอีกครั้ง หัวข้อที่ทางศูนย์ฝึกอบรบบรรยายส่วนใหญ่เป็นหัวข้อเรื่องการฝึกอบบรมรวมทั้งข้อพึงระวังและกำหนดการประเมินผล เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมความพร้อมให้ดี
และช่วงเวลาภายในหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้ จำเป็นต้องเข้าร่วมการฝึกอบรมขั้นพื้นฐานก่อนลงสนามจริงเกี่ยวกับการเจาะอวัยวะทั้งสี่ (ปอด ไขกระดูก น้ำไขสันหลัง ช่องท้อง) กับการทำซีพีอาร์
หลังจากนั้นอาจจะต้องเริ่มมีการหมุนเวียนย้ายแผนก
เดี๋ยวนี้การหาความรู้สะดวกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีอยู่ในแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ เฉินชางดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ‘กระเป๋าหนังสืออีบุ๊กการแพทย์แห่งชาติ’ ไว้แล้ว บนแอปพลิชันนี้มีข่าวสารเกี่ยวกับการฝึกอบรบอยู่
หลังจากการประชุมจบลง ตอนที่เฉียนหลินเดินออกมาจากห้องประชุมเขาก็เห็นเฉินชางพอดี จึงอดกล่าวไม่ได้ว่า “เฉินชาง คุณสุดยอดจริงๆ! ไม่เข้าเรียนเลยสักวันตลอดหนึ่งเดือน คุณรู้มั้ยว่าคุณถูกเช็คชื่อไปกี่ครั้งแล้ว”
เฉินชางชะงัก “ปริญญาโทกันแล้ว…ยังต้องเช็คชื่อกันอีกหรือเนี่ย”
เฉียนหลินตอบ “ครับ” จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ไร้สาระ แต่ถ้าไม่เช็คชื่อใครจะเข้าเรียน ช่วงไม่กี่วันสุดท้ายก่อนจบคลาส สิ่งแรกที่อาจารย์ท่านนั้นทำก่อนเริ่มบรรยายก็คือเช็คชื่อก่อนเลย แล้วชื่อแรกที่เรียกของทุกครั้งที่เช็คชื่อก็คือชื่อคุณ!”
เฉินชางถึงกับพูดอะไรไม่ออก “แล้วทำไมคุณไม่บอกผม”
เฉียนหลินถอนหายใจออกมา “ช่วงสองสามวันแรกไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ พอนึกได้ก็ไม่ทันแล้ว อาจารย์บอกว่าขาดเรียนครบสามครั้งก็จะถูกตัดคะแนนวิชานี้ ผมคิดว่าบอกคุณไปก็ไม่ทันแล้ว ไม่จำเป็นแล้ว”
เมื่อเฉินชางได้ฟังเช่นนั้น เขาก็ถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง ทำไงดีล่ะทีนี้
ระดับปริญญาโทคงไม่ให้ใครต้องลาออกเพราะคะแนนไม่ถึงหรอกมั้ง
ค่าความรู้สึกดีของหัวหน้าเมิ่งเพิ่งจะเริ่มต้น จะมาตกม้าตายแบบนี้ไม่ได้นะ!
คิดไปคิดมาเฉินชางก็ตัดสินใจว่าจะคุยกับหัวหน้ากวนสำนักงานบัณฑิตศึกษา
หลังจากที่แยกย้ายกับเฉียนหลินแล้ว เขาก็รีบกดโทรหากวนเหว่ยทันที
ไม่นานก็ต่อสายติด
เฉินชางหัวเราะระอักกระอ่วน “อาจารย์กวนครับ ผมมีเรื่องอยากให้อาจารย์ช่วยเรื่องหนึ่งครับ ผมต้องไปทำงานก็เลยไม่ได้เข้าคลาสเรียน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าอาจารย์ประจำวิชาตัดคะแนนผมไปแล้ว…เหมือนว่าจะไม่ใช่แค่วิชาเดียวด้วยครับ…อาจารย์ดูให้ผมหน่อยครับว่าจะทำยังไงได้บ้าง จำเป็นต้องสอบซ่อมหรือเปล่า”
หลังจากที่กวนเหว่ยได้ยินเช่นนั้น เขาก็หัวเราะพร้อมกล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไรครับ เรื่องของคุณผมจะคุยกับอาจารย์พวกนั้นให้ เรื่องคะแนนคุณไม่ต้องกังวล อธิการบดีเฉียนกำชับผมเป็นพิเศษว่าให้ดูแลคุณให้ดี คุณวางใจได้เลยครับ”
เมื่อเฉินชางได้ฟังดังนี้ เขาก็รู้สึกดีใจทันใด “ครับๆ ขอบคุณอาจารย์กวนมากนะครับ!”
หลังจากวางสายแล้ว เฉินชางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจในที่สุด เรื่องหนักอกถูกยกออกไปแล้ว
ทว่าเพิ่งวางสายไปไม่กี่นาที โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง มีใครคนหนึ่งโทรเข้ามา
“หมอเฉิน ฉันฟู่จื้อฮุ่ยจากศูนย์ฝึกอบรมนะคะ!” เสียงผู้หญิงดังขึ้น
เฉินชางชะงัก แน่นอนว่ารู้จักฟู่จื้อฮุ่ยแผนกประสาทวิทยา ก่อนหน้านี้เคยเรียกตนให้ไปร่วมวินิจฉัยโรคที่แผนก
“อ๋อ ครับ! อาจารย์เสี่ยวฟู่ สวัสดีครับ สวัสดี” ถ้าเฉินชางไม่อยากหมุนเวียนไปประจำแผนกต่างๆ ก็ต้องผูกมิตรกับคนของศูนย์ฝึกอบรมไว้
ถึงอย่างไรเสียเวลาเกิดปัญหาขึ้นมาติดต่อหัวหน้าระดับสูงก็ยังไม่สู้ติดต่อกับบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนนี้โดยตรง จะรบกวนหัวหน้ากับผู้อำนวยการโรงพยาบาลตลอดไม่ได้หรอก
ฟู่จื้อฮุ่ยหัวเราะ “พอๆ หมอเฉิน คุณไม่ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์เสี่ยวฟู่แล้ว เราอยู่หน่วยงานเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”
เฉินชางยิ้มแห้ง “รู้จักคนมีอำนาจทำอะไรก็ราบรื่น ผมควรผูกมิตรกับคุณไว้ อาจารย์ฟู่ คุณต้องให้โอกาสนี้กับผมนะ”
ฟู่จื้อฮุ่ยเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลอันดับสองก่อนเฉินชางไม่กี่ปี เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา แต่ปัจจุบันนี้สามีของเธอเป็นกำลังสำคัญของแผนกศัลยกรรมกระดูก
ดังนั้นเพื่อลูกเพื่อครอบครัว หลังจากที่ทั้งสองได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ฟู่จื้อฮุ่ยตัดสินใจย้ายไปอยู่ในหน่วยงานบริหารองค์กร แล้วทางโรงพยาบาลเพิ่งมีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพอดี เธอก็เลยโยกย้ายมาดูแลในส่วนนี้
ถึงอย่างไรเสียคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อายุไม่ต่างกันมาก ดังนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยกันค่อนข้างเป็นกันเอง
ฟู่จื้อฮุ่ยกล่าวว่า “หมอเฉิน ฉันโทรมาหาคุณเพราะมีเรื่องสำคัญ สัปดาห์หน้าต้องฝึกอบรบทักษะขั้นพื้นฐานแล้วไม่ใช่หรือ ฉันติดต่อกับทางฝ่ายฝึกอบรมบุคลากรแล้ว พวกเขาให้ใบรายชื่อฉันมา ฉันดูแล้วเห็นว่ามีชื่อคุณพอดี เอาแบบนี้มั้ย คุณมาเป็นอาจารย์ผู้อบรมในครั้งนี้เลย คุณรับผิดชอบเรื่องการเจาะปอด…
…หมอเฉิน คุณคิดว่ายังไง”
เฉินชางพยักหน้า “ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ อาจารย์เสี่ยวฟู่จัดมาได้เลยครับ!”
ฟู่จื้อฮุ่ยพยักหน้าด้วยความพอใจ “งั้นรบกวนหมอเฉินด้วยนะคะ”
หลังจากคุยเรื่องสำคัญจบ ทั้งสองก็พูดคุยกันต่ออีกประโยคสองประโยคแล้วก็วางสายไป
เรื่องการเจาะปอดเฉินชางไม่มีอะไรต้องเตรียมตัว เพราะทุกครั้งที่มีแพทย์ฝึกหัดมาใหม่ ฝ่ายฝึกอบรมบุคลากรก็มักจะเชิญเฉินชางให้ไปบรรยายอยู่แล้ว เขาจึงคุ้นชินตั้งนานแล้ว แต่เมื่อก่อนยังมีหลี่ซื่อเจี้ยนร่วมด้วยในบางครั้ง ตอนนี้ตนต้องฉายเดี่ยว แพทย์อาวุโสเหล่านั้นไม่มีเวลาว่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคอมพิวเตอร์ของตนเก็บไฟล์สไลด์เพาว์เวอร์พ้อยท์การเจาะปอดเอาไว้อยู่แล้ว ถึงเวลาอบรมตนก็แค่ให้ผู้เข้าอบรมลองปฏิบัติจริงกับหุ่นจำลองผ่าตัดก็พอแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอะไรทว่าจู่ๆ เฉินชางนึกขึ้นได้ว่าเย็นนี้กลับบ้านไป ตนจะต้องอัปเดตข้อมูลสไลด์เพาว์เวอร์พ้อยท์ใหม่สักหน่อย เพราะหลังจากที่ตนยกระดับทักษะการเจาะปอดเป็นระดับปรมาจารย์แล้ว ตนมีความรู้กับความเข้าใจใหม่ๆ หลายอย่างที่ต้องเพิ่มเข้าไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคนิคในการกำหนดตำแหน่งได้อย่างแม่นยำเหล่านั้น เมื่อถึงตอนอบรมจะได้แบ่งปันเทคนิคนี้ให้ทุกคนได้รู้ด้วย
ส่วนเรื่องเก็บเทคนิคไว้คนเดียว?
อาชีพหมอไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเก็บเทคนิคเก็บความรู้ไว้เพียงคนเดียว ถึงอย่างไรเสีย การที่ได้ถ่ายทอดเทคนิคออกไป แล้วมีคนที่ทำได้อย่างคุณเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ก็ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้นอีกนับไม่ถ้วน