เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 304 เป็นชายคนนี้ช่างยากแท้!
บทที่ 304 เป็นชายคนนี้ช่างยากแท้!
เมื่อมาถึงห้องหัตถการ เฉินชางก็ตรวจแผลอย่างละเอียด พบว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก เพียงมีแผลยาวประมาณ 7-8 มิลลิเมตร อยู่บริเวณก้น ไม่ลึกไม่ตื้นและไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงล้างแผลและเย็บแผลก็พอ
อันที่จริงก้นก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่สำคัญอะไรนัก มันมีเนื้อมาก แม้จะถูกมีดแทงก็เกิดปัญหายาก ถึงอย่างไรก็นับเป็นส่วนหนังของร่างกาย และนับเป็นบริเวณที่มักจะถูกลงโทษ ทุกคนคงมีประสบการณ์ถูกตีบริเวณนี้มาไม่น้อย
เฉินชางบอกให้ชายคนนั้นนอนลงบนเตียง จากนั้นก็เริ่มล้างแผลและเย็บแผล
เสี่ยวหลินช่วยทำเรื่องเข้ารักษา ส่วนฉางลี่น่าก็เข้ามาคอยช่วยเฉินชาง
ที่เฉินชางพูดถึงเรื่องแจ้งตำรวจเมื่อครู่นี้เป็นเพียงการเตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น ถึงอย่างไร…ก็ถูกมีดแทงมา เป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตราย เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายและควรได้รับการลงโทษ
แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายคล้ายไม่มีความคิดจะแจ้งตำรวจเขาก็ไม่ได้ดื้อดึง นี่เป็นเรื่องส่วนบุคคล เฉินชางก็แค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น แต่ถ้าหาก…ผู้หญิงเป็นคนทำ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ย้อนนึกไปถึงเรื่องที่สามีภรรยาทะเลาะกันคราวที่แล้ว ผู้ชายทำใจทำร้ายอีกฝ่ายไม่ลง จึงใช้ขวดเหล้าทำร้ายตนเอง
ดังนั้น…ในโลกใบนี้เรื่องแปลกประหลาดอะไรบ้างที่ไม่มี
ในฐานะที่เฉินชางเป็นหมอ เขาย่อมไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน ทำงานของตนให้ดีก็พอแล้ว
ทว่า…เฉินชางมองเห็นไฟแห่งการซุบซิบนินทาลุกโชนอยู่ในดวงตาทั้งสองของฉางลี่น่า เธอสนใจแผลบนก้นของชายคนนั้นอย่างไร้ขีดจำกัด
เฉินชางจ้องไปทางฉางลี่น่า “ส่งผ้าก๊อซให้ผมทีครับ”
ฉางลี่น่าเห็นสายตาของเฉินชางก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วรีบส่งผ้าก๊อซไปให้
การล้างแผลและเย็บแผลไม่ใช่เรื่องยาก เฉินชางใช้ผ้าก๊อซชุบยาชาถูกไปถูกมาแล้วรอครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มเย็บแผล
งานจำพวกเย็บแผลที่เรียบง่ายเช่นนี้ยังคงเป็นงานที่มากที่สุดในแผนกฉุกเฉินที่เฉินชางทำงานอยู่
ผ่านไปไม่กี่นาทีเฉินชางก็เย็บได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เองผู้หญิงเดินเข้ามา เมื่อเห็นเฉินชางเย็บแผลเรียบร้อยแล้วก็พูดว่า “หมอคะ…ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
เฉินชางพยักหน้า “ครับ บาดเจ็บแค่ภายนอก ไม่เป็นอะไรมาก สองสามวันนี้ห้ามโดนน้ำนะครับ…”
ผู้หญิงคนนั้นมองไปยังบาดแผลบนก้นของผู้ชาย รู้สึกปวดใจจนทนไม่ไหว รีบเดินเข้ามาใช้สองมือกุมมืออีกฝ่าย
“ที่รัก…คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
ชายคนนั้นทอดถอนใจ ฝืนหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “ไม่เป็นไร เด็กโง่ ไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อได้ยินเขาเรียกเช่นนี้ เธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงกับร้องไห้ออกมา ดวงตาของฝ่ายชายสั่นระริก ไม่นานทั้งสองก็กอดกันร้องไห้
ฉางลี่น่าและเฉินชางเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่ดี ตัดสินใจจะให้เวลาพวกเขาเล็กน้อย จึงเดินออกไปจากห้องหัตถการ
เฉินชางถือแก้วน้ำเอาไว้ เมื่อคิดถึงรักต่างวัยคู่นั้นก็ทอดถอนใจออกมา “เห็นหรือเปล่า รักแท้!”
ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะอายุมากกว่าฝ่ายชายหนึ่งรอบ ไม่ต้องสงสัยเลย เรื่องแบบนี้พบเห็นได้มาก!
แต่เมื่อเห็นทั้งสองอิงแอบแนบชิดกันก็รู้สึกว่าอายุไม่ใช่ปัญหา เทียบกันแล้วยังอายุน้อยกว่าฟู่อวี้ฟางและเสี้ยวเถียนฮวามาก…หากวันนั้นตนไม่คิดดิ้นรนแล้วล่ะก็…
เฉินชางหัวเราะหึๆๆ แล้วรีบส่ายหน้า สลัดความคิดน่ากลัวออกไปจากหัว
ฉางลี่น่ามีสีหน้าแปลกใจ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ใช่แล้ว! ความรักไม่แบ่งอายุ ข้ามผ่านสถานที่ ข้ามผ่านกาลเวลา…”
ทั้งสองยืนอยู่ตรงประตูหลายนาที เมื่อไม่เห็นทั้งคู่ออกมาจึงตัดสินใจเข้าไปเร่ง เรื่องแบบนี้กลับไปเคลียร์กันที่บ้านตนเองจะดีกว่า โรงพยาบาลไม่ใช่สถานที่แสดงความรัก ไม่รู้หรือว่าที่โรงพยาบาลเป็นถิ่นของคนโสด
เฉินชางผลักประตูแล้วเดินเข้าไปพบว่าทั้งสองยังกอดกันร้องไห้อยู่เช่นเดิม
ฝ่ายหญิงสูดหายใจลึกๆ “ที่รัก ทำยังไงดีคะ”
“ถ้าพวกเราถูกเจอตัว…ต่อไปจะทำยังไงดี”
ประโยคนี้ทำให้เฉินชางเกิดจินตนาการนับไม่ถ้วน…
หมายความว่าอย่างไร?
ฉางลี่น่าเบิกตากว้าง จิตวิญญาณแห่งการซุบซิบถูกปลุกให้ตื่นแล้ว!
ฝ่ายชายส่ายหน้า เขาทอดถอนใจด้วยความรู้สึกปลงตก “เด็กน้อย ฉัน…ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง!”
เฉินชางไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมฝ่ายชายถึงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เด็กน้อย’ หากอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่อายุมากกว่าคุณเกือบหนึ่งรอบ คำว่าเด็กน้อยถือว่าเกินไปจริงๆ
ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้จนเครื่องสำอางเปื้อนหน้า ดูท่าทางจะสะเทือนใจมากจริงๆ ทว่าจู่ๆ เฉินชางก็เกิดรู้สึกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าความรัก เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาเลย อย่างน้อยคนทั้งสองก็มีรักแท้ต่อกัน
เมื่อคิดถึงแผลบนก้นผู้ป่วย เฉินชางก็คิดว่านี่เป็นบทพิสูจน์ของความรัก อย่างไรเสีย…ก็นับเป็นคู่แท้ในยามยากได้สินะ…
ในขณะที่เฉินชางกำลังพิจารณาการแสดงความรักของทั้งคู่ ฝ่ายหญิงก็พูดขึ้นว่า “หรือว่า…พวกเราจะไปคุยกับพวกเขาดี”
ฝ่ายชายสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “นี่…จะเหมาะสมหรือ”
ฝ่ายหญิงเริ่มคิดฟุ้งซ่าน “ถ้างั้นพวกเราจะทำยังไงดีคะ จะแยกกันที่นี่หรือ”
ฝ่ายชายถอนใจยาว กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เธอก็ได้ยินที่ลูกเธอพูดแล้ว เขาบอกว่าจะพาคนมาฟันฉัน เห็นฉันครั้งหนึ่งก็จะทำร้ายครั้งหนึ่ง ทำร้ายให้ตายถึงจะหยุด! ถ้าเธอไม่จัดการลูกชายเธอ พวกเรา…พวกเราก็แย่แล้ว ฉันเพิ่งจะสามสิบ ยังไม่อยากตาย…”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ…
เฉินชางที่เพิ่งดื่มน้ำเข้าไปก็ทนไม่ไหว ถึงกับพ่นน้ำใส่ฉางลี่น่าไปทันที ส่วนฉางลี่น่าก็คล้ายจะหูหนวกไปแล้ว…ดวงตาสองคู่จับจ้องไปยังความรักอันน่าเหลือเชื่อระหว่างคนทั้งสอง!
นี่มันเกิดบ้าอะไรกัน แม้แต่เฉินชางที่ไม่ค่อยชอบเรื่องซุบซิบนินทาก็ยังรู้สึกเฝ้ารอทิศทางของพล็อตเรื่องอย่างคาดหวัง
ตอนนี้เองฝ่ายหญิงก็ประคองฝ่ายชายให้ลุกขึ้น “ไปเถอะที่รัก กลับบ้านกัน”
ฝ่ายชายตกตะลึง “กลับบ้านไหน”
ฝ่ายหญิงลังเลครู่หนึ่ง “กลับบ้านคุณดีไหมคะ”
ชายคนนั้นสั่นไปทั้งตัว รีบส่ายหัว รู้สึกอัดอั้นตันใจจนเกือบจะร้องไห้ “ผมกลัวพ่อตีตาย…”
ทั้งสองเดินไปคุยไป ออกจากแผนกฉุกเฉินไปเช่นนี้เอง
เงาร่างของคนทั้งสองค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา…จู่ๆ เฉินชางก็คิดว่าเป็นชายคนนี้ช่างลำบากลำบนแท้…เป็นความรักที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสองครอบครัว
เขารู้สึกพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรวิจารณ์เรื่องนี้อย่างไร
ไม่แปลกใจเลยที่ถูกมีดแทงมาแล้วทั้งสองยังไม่ยอมไปแจ้งตำรวจ ไม่ว่าฝ่ายชายจะถูกพ่อแทงหรือจะถูกลูกของฝ่ายหญิงแทง แผลนี้ก็นับว่าถูกแทงเสียเปล่า
ลำบากแท้!
เฉินชางเผลอเอาตัวเองเข้าไปแทนบทบาทของชายคนเมื่อครู่นี้ ทอดถอนใจออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็ผ่อนลมหายใจออกมา ความรักที่มันน่ากลัวจริงๆ ยิ่งเป็นความรักที่หนักแน่นก็ยิ่งอันตราย คิดไปคิดมา เฉินชางก็คิดว่าการเป็นคนโสดไม่มีอะไรไม่ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย
ตอนนี้เอง ฉางลี่น่าวิ่งไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลโดยไม่สนใจจะเช็ดหน้า เอาเรื่องเมื่อครู่นี้ไปแบ่งปันกับเสี่ยวหลิน
หากเทียบกับข่าวซุบซิบของเวรดึกแล้ว เรื่องอื่นจะนับเป็นอะไรได้
เฉินชางส่ายหน้า เดินกลับไปที่ห้องเวร เตรียมงีบสักครู่