เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 33 ฤกษ์ดี เลือกเวลาผ่าตัด
อันเยี่ยนจวินเป็นคนที่มีความระมัดระวังสูง ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ
ทุกวันที่มาทำงานจะต้องสวมสูทกับเข็มขัดหนังจระเข้ รองเท้าก็ราวกับขัดทุกวันจนสะอาดเนี้ยบ
ขณะที่เฉินชางและเฉินปิ่งเซิงกำลังคุยกัน อันเยี่ยนจวินก็เดินเข้ามา
เขาพูดกับเฉินชางว่า “การผ่าตัดช่วงเช้าเป็นการผ่าตัดไส้ติ่งผ่านการส่องกล้อง คุณ…มาดูหน่อยก็ได้นะครับ อาจจะได้ลงมือ”
เฉินชางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รีบพยักหน้าตอบ “ได้ครับ รบกวนหัวหน้าอันแล้ว”
อันเยี่ยนจวินยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้า “นี่เป็นบันทึกอาการ ทำความเข้าใจสภาพผู้ป่วยด้วยนะครับ”
เมื่อพูดจบก็ส่งประวัติคนไข้มาให้
เฉินชางพยักหน้าแล้วรับมา
เมื่อพลิกประวัติคนไข้ออกอ่าน เฉินชางยังอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าล่ะ หัวหน้าอันถึงเป็นหมอต้นแบบในโรงพยาบาล แค่ระดับการจัดการประวัติคนไข้พวกนี้ก็ไม่มีใครเทียบได้แล้ว
ติดผลการทดสอบทางเคมีเอาไว้บนกระดาษอย่างเรียบร้อย แม้แต่มุมที่เกินมาก็ยังจัดการอย่างเป็นระเบียบ ดูแล้วทำให้รู้สึกสบายตา
อันเยี่ยนจวินมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเคร่งครัดกับการติดผลทดสอบทางเคมีมาก และต้องจัดการตามลำดับซึ่งได้แก่ ระดับการเปลี่ยนแปลงของเลือดและปัสสาวะ ค่าตับ ค่าไต…ต้องเรียงกันมาเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่อนุญาตให้มีส่วนใดไม่เรียบร้อยด้วย นี่คือชายที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ ถือเป็นเทพในแผนกเลยทีเดียว
อันเยี่ยนจวินมีลักษณะของหนอนหนังสือ ดูสะอาดสะอ้าน มีเคราบางๆ สวมแว่นกรอบทองอย่างดี จัดการทรงผมจนเนี้ยบ สวมสูทแบบตะวันตก รวมๆ แล้วดูหล่อเหลามาก
เฉินชางทอดถอนใจ พูดกับเฉินปิ่งเซิงว่า “หัวหน้า ดูสิครับ อะไรเรียกว่าความใส่ใจ? อะไรเรียกว่าเคร่งครัด? เฮ้อ…ถ้าไม่เทียบก็ไม่รู้จริงๆ พอมีตัวอย่างถึงจะเกิดการเปรียบเทียบ!”
เฉินปิ่งเซิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ต่อไปประวัติคนไข้ของพวกเราก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยแบบนี้นะครับ แล้วก็…เสี่ยวเฉิน คุณถ่ายรูปไว้ด้วย พรุ่งนี้ถ้าผมเห็นประวัติคนไข้ของพวกเราไม่เรียบร้อยคุณก็ไม่ต้องเลิกงาน ไปจัดการให้ดี”
เฉินชางเบิกตากว้าง “ผมเหรอครับ?”
เฉินปิ่งเซิงพูดต่อ “คุณจะให้แพทย์ระดับสูงอย่างผมจัดการประวัติคนไข้หรือไง? ผมต้องเขียนประวัติคนไข้แทนคุณด้วยหรือเปล่าล่ะ?”
เฉินชางพยักหน้าอย่างจริงจัง “หัวหน้า ผมว่าก็ได้อยู่นะครับ!”
เฉินปิ่งเซิงยิ้มบาง “มาๆๆ วันนี้มีผ่าตัดไส้เลื่อนเคสหนึ่ง คุณไปผ่าตัด เดี๋ยวผมเขียนประวัติคนไข้เอง!”
เฉินชางรีบพูด “คุณเฉินปิ่งเซิง คุณสบประมาทผมอีกแล้ว!”
เฉินปิ่งเซิงส่งเสียงงึมงำ “อ้อ? งั้นหรือครับ? ขอโทษด้วย”
พูดจบเฉินปิ่งเซิงก็กล่าวทิ้งไว้คำหนึ่ง “ตรวจคนไข้ได้แล้ว!”
เฉินชางรู้สึกจนใจ ทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง อยู่ใต้ผู้อื่นจำเป็นต้องก้มหัว ใครใช้ให้ตัวเองยากจนกันล่ะ?
เขาถือประวัติผู้ป่วยเจ็ดแปดเล่มขึ้นมา เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ทักษะการเข้าสังคมของเฉินปิ่งเซิงยอดเยี่ยมมาก หลายปีมานี้เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วย เป็นส่วนที่เฉินชางรู้สึกนับถือ
เมื่อเทียบกับอันเยี่ยนจวิน ประวัติผู้ป่วยของเฉินปิ่งเซิงอาจไม่เป็นระบบระเบียบขนาดนั้น กลับดูรกอยู่บ้างด้วยซ้ำ แต่โดยปกติเฉินปิ่งเซิงไม่ค่อยต้องการประวัติผู้ป่วยเท่าไหร่ ถ้าใช้คำพูดของเขามาพูดก็คือ “ประวัติผู้ป่วยหรือ? นั่นเป็นแค่หลักฐานอย่างหนึ่ง เป็นหลักฐานที่ให้ผู้ป่วยนำออกไปจากโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ หมอควรจำอาการของผู้ป่วยไว้ในสมองตลอดเวลา”
และเหล่าเฉินทำได้จริงๆ!
ตอนที่เขาออกตรวจคนไข้ไม่จำเป็นต้องใช้ประวัติผู้ป่วยเลย เพราะเขาทำสัญลักษณ์พิเศษของผู้ป่วยทุกคนเอาไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว จุดประสงค์ที่ให้เฉินชางถือประวัติผู้ป่วยมาก็เพื่อให้ผู้ป่วยดูเท่านั้น…
อืม ใช่แล้ว ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเอาไว้ฝึกฝนร่างกายไงล่ะ!
ถึงอย่างไรแฟ้มประวัติผู้ป่วยก็หนักมาก เมื่อรวมประวัติผู้ป่วยหลายสิบคนเข้าด้วยกัน ถือว่ามีประโยชน์ในด้านการฝึกร่างกายจริงๆ
เฉินชางทอดถอนใจ เมื่อคิดถึง “คำสบประมาท” ของเหล่าเฉินพลันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือขนย้ายประวัติผู้ป่วย…เครื่องมือ…เครื่องมือ…
สิ้นหวัง…
สิ้นหวัง…
กล้ามเนื้อหัวใจกำลังจะตาย…
เมื่อเข้าไปในห้อง ผู้ป่วยหญิงเตียงยี่สิบก็พูดขึ้นว่า “หมอคะ ฉันอยากเปลี่ยนเตียง!”
เฉินปิ่งเซิงชะงักไปเล็กน้อย “เปลี่ยนเตียงหรือครับ? เตียงนี้ไม่ดีหรือ? ทำไมอยากเปลี่ยนล่ะครับ?”
ผู้ป่วยหญิงดึงเฉินปิ่งเซิงไปด้วยท่าทางลึกลับ กระซิบว่า “เมื่อวานฉันดูดวงมา บอกว่าเดือนนี้คนเกิดปีขาลดวงชงกับทิศใต้ และมีดวงวิบัติอยู่ทางทิศตะวันตก จะมีเคราะห์จากการเดินทาง จะทำให้บาดเจ็บเลือดตกยางออก เป็นวันดวงพิฆาต ห้ามทำการใดๆ เด็ดขาด ห้ามพบปะใครสำหรับคนที่มีดวงเกิดอยู่ในกลุ่มปีนี้! ยิ่งไปกว่านั้น ความสุขและโชคของฉันอยู่ทางทิศเหนือ!”
“ฉันตรวจดูลักษณะของเตียงแล้ว ในที่สุดก็หาสาเหตุที่ช่วงนี้รู้สึกไม่สบายพบ ตำแหน่งของฉันตอนนี้อยู่ทางทิศตะวันตก! ชงกับดวงฉัน ส่งผลเสียต่อสุขภาพ!”
เฉินปิ่งเซิงถึงกับมึนงง!
สุนัขขี้ประจบอย่างเฉินชางก็ถึงกับเหวอ
ตรรกะนี้ทำเอาผมไม่มีอะไรจะพูดเลยครับ
เฉินปิ่งเซิงยิ้ม “ไม่ๆๆ ผมจะบอกอะไรให้ โชคของคุณอยู่ทางทิศตะวันตก ทิศที่ดีอยู่ทางทิศตะวันตก ไม่มีปัญหาหรอกครับ!”
เธอยังคงกล่าวเสียงต่ำ “หมอเฉินก็รู้เรื่องพวกนี้หรือคะ? มา หมอเฉินวิเคราะห์ให้ฉันหน่อยเถอะ!”
เฉินปิ่งเซิงยิ้มพลางส่ายหน้า “เพราะออฟฟิศหมออยู่ทิศตะวันตกของคุณ ส่วนห้องยาอยู่ทางทิศใต้ของคุณน่ะครับ”
“คุณอย่าคิดอะไรมากเลยครับ ตัวกินดวงของคุณอยู่ในท้อง! มันก็คือเชื้อโรค เชื้อโรคที่ไปโจมตีอวัยวะทำให้เกิดการติดเชื้อจนเป็นไส้ติ่งอักเสบ”
เมื่อเฉินปิ่งเซิงพูดออกมาเช่นนี้ ในห้องผู้ป่วยพลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นอายจนหน้าแดง!
“โธ่คุณหมอ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคะ ฉันพูดจริงๆ นะ!”
“อีกอย่างฉันเลือกฤกษ์งามยามดีในการผ่าตัดให้คุณแล้ว! นั่นก็คืออีกสามวัน อีกสามวันจะต้องปลอดภัยแน่นอน เหมาะกับการรักษาทางการแพทย์ ทำการกุศลสละอวัยวะ เชือดไก่เชือดวัวอะไรเทือกนั้น…เป็นวันที่จะเห็นเลือด! การผ่าตัดของฉันก็ต้องเห็นเลือดเหมือนกันใช่ไหมคะ? ดังนั้นฉันคิดว่าวันนี้เหมาะจะผ่าตัดที่สุด!”
เมื่อเธอพูดออกมา ห้องผู้ป่วยพลันเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข…
ขณะนั้นเอง เสียงโวยวายระลอกหนึ่งกลับทำลายบรรยากาศ
“โอยๆๆ…คุณหมอๆ…เร็วๆ! รอยเย็บบนท้องผมจะปริเพราะผมหัวเราะแล้ว!”
เตียงเก้าเป็นคนอ้วนคนหนึ่ง ผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เตรียมออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา คนรอบๆ จึงรีบยกมือขึ้นอุดปาก อยากหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า แต่ละคนกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง!
หน้าแดงเหมือนกับผลแอปเปิ้ลสุก!
เฉินปิ่งเซิงเดินไปตรวจดู “ไม่ได้ปริหรอกครับ วางใจเถอะ”
ชายคนนั้นร้องโอดครวญ “ทำไมผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงล่ะครับ แล้วยังรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหวด้วย!?”
ผู้ป่วยเตียงสิบที่อยู่ติดกันยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เมื่อครู่ผมผายลมน่ะครับ…”
พริบตานั้นคนรอบๆ ยิ่งรู้สึกรับไม่ไหว อยากหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าหัวเราะแล้วจะทำให้แผลเปิดเลยไม่กล้าหัวเราะ ช่างลำบากจริงๆ!
เฉินปิ่งเซิงมองทุกคนอย่างเข้มงวด “พวกคุณลองหัวเราะสิ เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ระวังจะบาดเจ็บภายใน!”
ทุกคนได้ยินก็ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร
ผู้ป่วยเตียงสิบพูดขึ้นว่า “หมอครับ วันนี้ผม…ผายลมทั้งวัน แล้วรู้สึกเหมือนท้องร้องด้วยครับ”
เฉินปิ่งเซิงยิ้ม “อ้อ? ดีเลยครับ ดูเหมือนจะฟื้นตัวได้ไม่เลว วันนี้คุณก็เริ่มกินข้าวได้แล้ว”
ผู้ป่วยชะงัก มีสีหน้าสงสัย “หมายความว่ายังไงครับ? ผมผายลมแล้วเลยกินข้าวได้หรือ?”