เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 400 ทุกอย่างจะดีขึ้น!
บทที่ 400 ทุกอย่างจะดีขึ้น!
เฉินชางยังไม่เลิกงาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม อารมณ์ย่ำแย่
หลังจากแลกเวรและถกเรื่องเคสเสร็จแล้ว เฉินชางก็เตรียมไปที่ห้อง ICU เพื่อตรวจเยี่ยมผู้ป่วย แต่กลับถูกฉินเยว่ดึงไว้เสียก่อน
เฉินชางหันไปถาม “อะไรครับ”
ฉินเยว่เห็นสภาพของเฉินชางก็ได้แต่ถอนใจ “ไปนอนพักที่ห้องเวรหน่อยเถอะค่ะ ฉันซื้ออาหารเช้ามาให้คุณด้วย คุณกินแล้วก็ไปนอนพัก ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะเรียกคุณเอง”
เฉินชางเห็นความเป็นห่วงที่ปรากฏชัดบนใบหน้าอีกฝ่ายก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ครับ ผมไม่เป็นไร ผมแค่อยากไปดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว”
ได้ยินดังนี้ ฉินเยว่จึงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ “ค่ะ คุณไปพักสักหน่อยเถอะ”
ถึงอย่างไรก็ยังเยาว์วัย ล้วนดำดิ่งไปกับอารมณ์ของตนเองได้ง่าย ทว่าบางครั้งเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุจริงๆ
ความจริง…เฉินชางก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เขานอนจนถึงเที่ยง หลังจากเก็บกวาดห้องพักแล้ว ฉินเยว่ก็นำกล่องอาหารที่ยังอุ่นๆ มาให้ เป็นบะหมี่น้ำใสที่กระตุ้นความอยากอาหารได้ดี
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าความสุขมันก็ง่ายดายเท่านี้เอง
ฉินเยว่นั่งลงข้างกายเฉินชางพร้อมหัวใจอันนุ่มฟู
“กินเถอะค่ะ”
เฉินชางส่งเสียงอืมตอบไปครั้งหนึ่ง
อันที่จริงตอนที่ฉินเยว่เห็นผู้ป่วยหญิงคนนั้นยังสะเทือนใจยิ่งกว่าเฉินชางเสียอีก ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง จึงสะเทือนอารมณ์ง่ายกว่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความเข้าอกเข้าใจ
ขณะกำลังกินข้าว โทรศัพท์มือถือของเฉินชางก็ดังขึ้น
“หมอเฉิน ผู้ป่วยคนนั้นฟื้นแล้ว!”
คนที่โทรมาคือพยาบาลห้อง ICU เมื่อผู้ป่วยได้สติ พยาบาลก็โทรมาแจ้งเฉินชางทันที
เฉินชางวางตะเกียบลงทันใด “ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อวางสายแล้วเฉินชางก็มองฉินเยว่ด้วยสีหน้ายินดี “เธอฟื้นแล้ว!”
ดวงตาของฉินเยว่เป็นประกายสดใส “ไป เราไปดูกันเถอะค่ะ”
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ทุกคนกำลังพัก มีเพียงหมอเวรที่ทำงานอยู่
เฉินชางและฉินเยว่รีบมาที่ห้อง ICU พอเข้าไปก็เห็นผู้ป่วยหญิงนอนอยู่
ตัวเลขมากมายของสัญญาณชีพแสดงผลปกติ
เธอมองเฉินชางและฉินเยว่ด้วยสีหน้าแปลกใจ “สวัสดีค่ะ…พวกคุณคือ…” เสียงของเธอฟังดูอ่อนระโหยโรยแรง
เฉินชางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ผมเฉินชาง หมอแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองครับ”
เธอนวดขมับ “ทำไมฉันถึงบาดเจ็บแบบนี้ล่ะคะ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
เฉินชางชะงักไป หรือว่า…สูญเสียความทรงจำ?
คิดได้ดังนี้ก็อดถามไม่ได้ว่า “คุณชื่ออะไรครับ”
เธอทอดถอนใจ “ฉันชื่อเหอย่าลี่”
เฉินชางชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดี เธอยังจำได้!
“คุณรู้ไหมครับว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บได้ยังไง”
เธอคิดใคร่ครวญ จากนั้นจึงรีบส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรไปหลายอย่างเลย”
เฉินชางถึงกับสูดหายใจลึก จากนั้นจึงถามเธอไปอีกหลายคำถาม
เขาพบว่า สติปัญญา ประสบการณ์ความรู้และความทรงจำระยะยาวของเธอไม่มีปัญหาอะไร เพียงสิ่งเดียวที่เธอลืมอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘เขา’ ที่บันทึกไว้ในสมุด
เธอสูญเสียความทรงจำ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นการสูญเสียความทรงจำประเภท Selective amnesia เสียด้วย!
เฉินชางตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นไม่ได้จริงๆ!
แต่…สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ อาจเป็นทางเลือกและผลที่เหมาะสมที่สุดแล้วก็เป็นได้
การสูญเสียความทรงจำแบบ Selective amnesia คืออะไร
คือการสูญเสียความทรงจำเฉพาะบางเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่า Selective amnesia จะเกิดขึ้นหลังคนคนหนึ่งได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง หรือพบเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างสาหัส ส่งผลให้ผู้ป่วยหลงลืมเรื่องราวหรือผู้คนที่ไม่ต้องการจดจำ
ตอนนี้อาการสูญเสียความทรงจำเฉพาะบางเหตุการณ์กำลังเป็นหัวข้อศึกษาวิจัยทั้งในและต่างประเทศ เป็นความหวังที่จะนำมาปรับใช้กับการแพทย์ในอนาคต
เฉินชางไม่แน่ใจจึงรีบติดต่อหาศาสตราจารย์ตู้ผู้เป็นหัวหน้าแผนกอายุรกรรมระบบประสาทและสมองรวมไปถึงหลี่เป่าซานแห่งแผนกฉุกเฉิน
ศาสตราจารย์ตู้กำลังกินข้าวอยู่ที่บ้าน หลังจากได้รับโทรศัพท์ก็รีบวางชามวางตะเกียบลงทันที จากนั้นจึงบอกสามีว่า “เดี๋ยวคุณช่วยเก็บกวาดหน่อยนะคะ ฉันต้องไปโรงพยาบาลก่อน”
คนกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ที่ห้อง ICU เพื่อดูอาการของผู้ป่วยหญิง
ทุกคนร่วมกันตรวจสอบอาการ สุดท้ายศาสตราจารย์ตู้ก็กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “น่าจะเป็นกลุ่มอาการสูญเสียความทรงจำเฉพาะอย่างค่ะ”
กล่าวจบศาสตราจารย์ตู้ก็หันมา “แต่อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร รีบติดต่อญาติผู้ป่วยเถอะค่ะ”
แน่นอน!
สำหรับตัวผู้ป่วย บางทีการลืมเลือนอดีตคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ความเจ็บป่วยทางกายใดๆ ล้วนรักษาได้ สิ่งเดียวที่ไม่อาจรักษาก็คือรอยแผลที่ถูกทิ้งไว้ในใจ ทว่าตอนนี้ช่างพอดี กระทั่งบาดแผลในใจก็ยังดีขึ้นแล้ว หรือไม่ก็ถูกลืมเลือนไปเท่านั้น แต่สำหรับเธอที่เพิ่งอายุยี่สิบหกปี ควรดูแลรักษาร่างกายให้ดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่
นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่พวกเขาก็ต้องติดต่อและคุยกับญาติผู้ป่วยให้ดี ซึ่งอาจเกี่ยวพันไปถึงทางตำรวจด้วย
เฉินชางหันไปมองผู้ป่วยหญิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “พักผ่อนให้ดีนะครับ ห้อง ICU ห้ามญาติผู้ป่วยเข้าเยี่ยม ดังนั้นรอให้อาการคุณเสถียรก่อนเดี๋ยวค่อยปรับเปลี่ยนกันนะครับ”
เธอยิ้มออกมา “ขอบคุณค่ะคุณหมอ แต่ว่า…ฉีดยาระงับปวดให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันเจ็บจังเลยค่ะ ทำไมมีแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ฉันประสบอุบัติเหตุรถยนต์มาเหรอ”
……
……
หลี่เป่าซานเดินนำเฉินชางและคนอื่นๆ กลับมาที่แผนกฉุกเฉินแล้วรีบติดต่อญาติผู้ป่วย
ญาติผู้ป่วยที่ไม่ได้พักผ่อนมาตลอดคืนเพิ่งกลับไปถึงบ้าน ล้มตัวลงนอนยังไม่ทันหลับก็ได้รับข่าวว่าลูกสาวได้สติแล้วจึงรีบพากันมาที่โรงพยาบาลทันที
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามา หลี่เป่าซานก็บอกไปว่า “เธอสูญเสียความทรงจำครับ”
ประโยคนี้ทำให้คนทั้งครอบครัวนิ่งไปทันที
หลี่เป่าซานอธิบายต่อไป “แต่พวกคุณวางใจได้ เธอสูญเสียความทรงจำเฉพาะบางเหตุการณ์ เธอมีความทรงจำเกี่ยวกับพวกคุณชัดเจน แต่…เรื่องสามีรวมถึงเรื่องอะไรพวกนั้น เธอลืมไปหมดแล้วครับ แม้แต่สาเหตุที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บ…และอะไรต่างๆ พวกนี้ก็จำไม่ได้แล้ว”
ประโยคนี้ทำให้ทั้งสามทั้งตกใจและยินดี
นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องร้าย!
ทุกคนเข้าใจดี
ชายวัยกลางคนอดถามไม่ได้ว่า “งั้น…สภาพร่างกายของลูกสาวผมเป็นไงบ้างครับ”
หลี่เป่าซานใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงบอกไปว่า “ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ยังมีภาวะกล้ามเนื้อสลาย รวมถึงอาการรั่วซึมของยาเคมีบำบัดออกนอกหลอดเลือดดำ (extravasation) ด้วยครับ ต้องรักษาต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ไม่อันตราย”
ชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันปรากฏแววยินดี
ตอนนี้ตำรวจมาถึงแล้ว เมื่อเห็นเฉินชางก็รีบพูดไปว่า “ขอบคุณมากครับคุณผู้ชาย ตอนนี้พวกเรายื่นคดีไปแล้ว สมุดบันทึกและบัตรสุขภาพผู้ป่วยที่คุณให้มาช่วยพวกเราได้มากเลยครับ หัวหน้าระดับสูงให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก จะจัดการอย่างรอบคอบแน่นอน!”
จากนั้นเฉินชางก็อธิบายอาการของผู้ป่วยให้ตำรวจฟังอีกครั้ง เสร็จแล้วครอบครัวของผู้ป่วยจึงค่อยมาพูดคุยและปรึกษากับตำรวจ
พวกเขาหวังว่าลูกสาวจะไม่ต้องไปขึ้นศาลเพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ทำร้ายเธอเป็นครั้งที่สอง แต่ทางตำรวจยังไม่แน่ใจ ทำได้เพียงกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับผู้บังคับบัญชา
เวลาบ่ายสาม ครอบครัวผู้ป่วยพากันมาหาเฉินชางอีกครั้ง บอกเขาว่า “หมอเฉิน พวกเราต้องการย้ายโรงพยาบาลครับ”
เฉินชางชะงักไป “ย้ายโรงพยาบาลหรือครับ ย้ายไปที่ไหนครับ”
ชายวัยกลางคนทอดถอนใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะฝืนยิ้มออกมาได้ “ต้องขอบคุณสวรรค์ที่มอบผลลัพธ์ดีๆ เช่นนี้ให้ลี่ลี่ พวกเราไม่อยากให้เธออยู่ที่เมืองนี้แล้วครับ เราจะพาเธอไปทางใต้ ไปสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเราแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่”
กล่าวจบเขาก็นั่งลง ดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ผมจะให้ภรรยา ลูกชายและลูกสาวไปด้วยกัน ส่วนผมไม่ไป ผมต้องอยู่ต่อเพื่อทวงความยุติธรรมให้ลูกสาว! ความเจ็บปวดของเธอ เลือดของเธอ จะต้องไม่เสียเปล่า! ผมจะไปดูไอ้เดรัจฉานนั่นถูกพิพากษาตามกฎหมายแทนลูกสาวผมเอง!”
……
……
เขาพูดอะไรอีกมากมาย เฉินชางได้แต่พยักหน้ารับ
เมื่อหลี่เป่าซานมาถึงก็พิจารณาเรื่องนี้อยู่นาน สุดท้ายก็ตอบรับคำขอของอีกฝ่าย ลงชื่อในหนังสือยินยอมแล้วเตรียมย้ายโรงพยาบาลให้เธอ
ในเวลาต่อมา ซึ่งก็คือหนึ่งเดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น ระหว่างติดตามอาการผู้ป่วย เฉินชางได้ทราบว่าครอบครัวของเธอย้ายไปอยู่ที่ฉงชิ่งทั้งครอบครัว พวกเขาส่งรูปถ่ายมาให้ดูด้วย ในรูปนั้น เธอยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ตอนดูข่าว เฉินชางจึงได้ทราบว่าผู้ต้องสงสัยแซ่ซุนถูกตัดสินจำคุก เพียงแต่…ขณะอยู่ในคุกเป็นโรคประสาท สุดท้ายเป็นอย่างไรไม่ต้องบอกก็คงทราบกันดี
จนกระทั่งสิบกว่าปีต่อมา ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นกลับมาอีกครั้ง เธอพาเด็กชายคนหนึ่งมาด้วย เด็กคนนั้นดูคล้ายเธอมาก ในเวลานั้นเฉินชางไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลอันดับสองแล้ว หวังหย่งเป็นคนต้อนรับเธอ
หวังหย่งในตอนนั้นก็เป็นถึงรองหัวหน้าแผนกฉุกเฉินแล้ว
เธอใช้โทรศัพท์ของหวังหย่งโทรเข้าเบอร์เฉินชางเพื่อกล่าวขอบคุณ ความทรงจำของเธอกลับมาแล้ว แต่มันก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เธอมีครอบครัวเปี่ยมสุข มีสามีที่รักเธอ และมีลูกที่น่ารัก…
เมื่อเฉินชางได้ยินข่าวนี้ก็แย้มยิ้มด้วยความยินดี