เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 414 ขโมยแสงจากเหล่าเฉิน!
บทที่ 414 ขโมยแสงจากเหล่าเฉิน!
ตอนนี้เฉินชางไม่ต้องดูแลผู้ป่วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปวอร์ดทุกวันตามเวลาที่กำหนดอีก และไม่ต้องบันทึกประวัติผู้ป่วยด้วยตัวเอง เวลาทำงานของเขาค่อนข้างอิสระ ส่วนใหญ่จะจัดการเรื่องเร่งด่วนอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน หรือไม่ก็ทำงานผ่าตัดอะไรพวกนั้น
อย่างไรก็ตาม เพื่อสังเกตอาการผู้ป่วยหลังผ่าตัดและประเมินผลหลังผ่าตัด เขายังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตรวจเยี่ยมผู้ป่วย ปกติจะติดตามไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยด้วยกันกับแพทย์ผู้รับผิดชอบ
หลังเสร็จงาน เหล่าเฉินก็ส่งประวัติคนไข้หลายสิบเล่มไปให้เฉินชาง “ไปเถอะ ราวด์วอร์ดกัน”
เฉินชางถือประวัติคนไข้ไปตามความเคยชิน แต่เมื่อย้อนคิดดูอีกครั้ง นี่มันไม่ถูกแล้ว!
“ลูกพี่ ผมขอประท้วง ผมมีข้อเสนอ ตอนนี้ผมไม่ใช่แพทย์ภายใต้ความดูแลของคุณแล้วนะครับ! คุณไม่ต้องทำกับผมแบบนี้ก็ได้มั้ง…”
เฉินปิ่งเซิงร้องอ้อออกมา “ผมรู้แล้ว แล้วไง”
เฉินชาง “…”
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก
ใช่สิ…แล้วไงล่ะ
เหมือนจะหาเหตุผลมาประท้วงไม่ได้เลย!
เฉินชางอดทอดถอนใจไม่ได้ ช่างเถอะ…
[ติ๊ง! ภารกิจตรวจเยี่ยมผู้ป่วยร่วมกับเฉินปิ่งเซิง ค่าประสบการณ์ +20 แต้ม เงิน +20 หยวน]
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นกดรับภารกิจ จู่ๆ ก็รู้สึกว่า อืม…ดีเหมือนกันนี่
จู่ๆ เฉินชางก็รู้สึกว่าระบบใส่ใจจริงๆ ภารกิจที่มอบให้ก็ทำให้เขาสบายใจและมีความสุข ถึงรางวัลจะน้อย แต่ให้ความรู้สึกยอดเยี่ยมไปเลย
อันที่จริง หากคนเรามีระบบเช่นนี้อยู่กับตัวทุกคน ทุกคนอาจคิดว่าแม้จะเหนื่อยสักหน่อย หรือจะลำบากสักหน่อยก็จะพยายามให้มากสินะ
……
……
ในหมู่คนไข้ของเฉินปิ่งเซิงมีไม่น้อยเลยทีเดียวที่เคยผ่าตัดกับเฉินชาง เมื่อเห็นเฉินปิ่งเซิงและเฉินชางเดินเข้ามา แต่ละคนก็อารมณ์ดี พากันลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ
ถึงอย่างไรผ่าตัดสำเร็จก็เป็นเรื่องที่สมควรยินดีและเฉลิมฉลอง
การตรวจเยี่ยมผู้ป่วยในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เฉินชางไม่ได้เป็นตัวละครจำพวก ‘หมอที่ผ่านทางมา’ หรือ ‘อินเทิร์น A’ เหมือนตอนแรกๆ อีก
ถึงแม้จะยังถือประวัติคนไข้กองใหญ่เหมือนเมื่อก่อน แต่ท่าทีของคนไข้ที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว ถึงอย่างไรในปัจจุบันนี้เฉินชางก็ได้เป็นศัลยแพทย์หลักในการผ่าตัดของพวกเขาหลายคน ทุกคนเห็นแผลตัวเองแล้วรู้สึกพอใจมาก
“หมอเฉิน ถ้าไม่ใช่เพราะผมยังเจ็บแผลอยู่คงคิดว่าตัวเองไม่เคยผ่าตัดแน่ๆ คุณจัดการแผลได้ดีเลยนะครับ!”
“ใช่แล้ว หมอเฉิน ผมว่าแผลผ่าตัดออกมาดูดีมากเลยครับ!”
……
เมื่อเฉินปิ่งเซิงได้ยินคำพูดของผู้ป่วยก็ทราบทันทีว่าพวกเขาไม่ได้ชมตัวเอง ทางที่ดีอย่าไปตอบอะไรเลย มิฉะนั้นจะกระอักกระอ่วนกันเปล่าๆ
เฉินชางสวมผ้าปิดปากทำให้มองอารมณ์ไม่ออก เขาถามผู้ป่วยหลายคำถาม จากนั้นก็ตรวจแผลแล้วตรวจเยี่ยมผู้ป่วยต่อไป
เมื่อออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว เฉินปิ่งเซิงก็ดึงเฉินชางไว้แล้วพูดว่า “เสี่ยวเฉิน เดี๋ยวก่อน…ตอนสายๆ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
เฉินชางชะงักไป ดูเหมือนสายๆ ของวันนี้ตนจะไม่มีผ่าตัด “ไม่มีธุระอะไรครับ ทำไมเหรอครับ”
เฉินปิ่งเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกระแอมออกมา “เอ่อ ตอนสายผมมีผ่าตัดด้วยการส่องกล้องสองเคส คุณสอนหน่อยสิครับว่าการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบแผลเล็กทำยังไง ผมดูแล้วผมว่ามันสุดยอดไปเลย”
[ติ๊ง! กระตุ้นภารกิจ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สอนวิธีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบแผลเล็กให้เฉินปิ่งเซิงเป็นการตอบแทนที่เฉินปิ่งเซิงเคยสั่งสอนคุณ รางวัลภารกิจ: ทักษะตรวจสอบท่อทางเดินถุงน้ำดี]
เฉินชางถึงกับชะงักไปทันที!
มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ
ภารกิจเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ไม่เลว!
ต่อให้ไม่มีรางวัลอะไรให้ เฉินชางก็ยังตั้งใจจะสอนการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบแผลเล็กให้เฉินปิ่งเซิงอยู่ดี แต่นี่ยังมีรางวัลติดมาด้วย เหมือนเป็นการเพิ่มพูนความสุข เขาย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน
คิดถึงตรงนี้เฉินชางก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ”
คนเรามีสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย
ช่วงแรกๆ ที่เฉินชางวิจัยและพัฒนาการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบแผลเล็กออกมาได้ ทางโรงพยาบาลค่อนข้างให้ความสำคัญกับเขา เคยให้ศัลยแพทย์หลายคนมาเรียนรู้กับเขา แต่ส่วนใหญ่มาดูแค่ครั้งสองครั้งก็ไม่มาอีก
หลายคนเห็นเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ! หรือบางทีอาจมองว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องใส่ใจให้มากนักเพราะเดิมทีการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องก็มีแผลเล็กอยู่แล้ว ทุกคนจึงคิดว่าเรื่องที่เขาทำไม่มีความหมายอะไรมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนคิดว่าเฉินชางเป็นแค่คนรุ่นหลัง ต้องใช้ความกล้ามาเรียนด้วย จึงอับอายไม่กล้ามาเรียน
แม้กระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจละเลยคำสั่งของหัวหน้าแผนก ดังนั้นจึงมาดูครั้งสองครั้งแล้วก็จากไป ไม่สนใจอะไรอีก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ภารกิจของเฉินชางในตอนนั้นล้มเหลวไปเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้รางวัลสักอย่างเดียว
เฉินปิ่งเซิงพูดเรื่องขอเรียนขึ้นมาเองเช่นนี้เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
ทั้งสองเดินเคียงกันไปยังห้องผ่าตัด หลิวเจี้ยนเดินออกมาพอดี เมื่อเห็นทั้งคู่ก็ยิ้มให้
“โอ้ เสี่ยวเฉิน มาแจมผ่าตัดกับเหล่าเฉินอีกแล้วหรือครับ”
เฉินชางหัวเราะ “ไม่ๆๆ อาจารย์หลิว ครั้งนี้เหล่าเฉินมาแจมผมต่างหาก!”
อืม ก็ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย
เขายกฝ่ามือขึ้นตบศีรษะเบาๆ
หลิวเจี้ยนหัวเราะออกมา “เสี่ยวเฉินรู้จักพูดจริงๆ นะครับ ติดตามเรียนรู้กับเหล่าเฉินให้มากๆ หน่อย เขามีความสามารถมากเลย”
เฉินชางพยักหน้า เรื่องนี้อีกฝ่ายพูดถูกแล้ว
ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่มีโอกาสเจอมอนสเตอร์ระดับสูง ต้องอาศัยเป็นผู้ช่วยร่วมแจมผ่าตัดถึงจะได้ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ติดตามเหล่าเฉินไปยืนๆ นั่งๆ แจมผ่าตัดใหญ่คงดีมาก เผื่อว่า…จะขโมยทักษะอะไรมาได้บ้าง
คิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็วางเป้าหมายของตนในใจ จะต้องขโมยแสงสว่าง (ทักษะ) ของเหล่าเฉินมาให้ได้!
……
……
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว หลิวเจี้ยนก็รมยาให้ผู้ป่วย
การผ่าตัดเริ่มต้นขึ้นแล้ว เฉินชางหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมาแล้วพูดกับเฉินปิ่งเซิงว่า “เหล่าเฉิน จริงๆ แล้วหลักการสำคัญของการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบแผลเล็กอยู่ที่ตอนกรีด ที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกตำแหน่งกรีด โดยเริ่มจากคิดว่ากรีดอย่างไรจึงจะเหมาะสม จากนั้นก็พิจารณาเรื่องลำดับขั้นตอนในการกรีดรวมไปถึงการเย็บแผลหลังผ่าตัดเสร็จ…”
เฉินปิ่งเซิงตั้งใจฟังมาก เขาไม่ได้รู้สึกอายสักนิด การจะเรียนรู้อะไรบางอย่างก็ต้องขอคำชี้แนะจากผู้รู้อย่างนอบน้อม
เนื่องจากการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องจะต้องรมยาสลบ ทั้งสองจึงคุยกันได้ตามสะดวก หากผู้ป่วยมีสติอยู่ จะต้องกระวนกระวายใจแน่นอน
ทักษะ [การกรีด] ของเหล่าเฉินอยู่ในระดับปรมาจารย์แล้วจึงมีความรู้ความเข้าใจมากกว่าเฉินชาง แต่จะอย่างไรก็ยังมีปัญหาเรื่องความคิด จึงต้องใช้เวลาในการปรับตัว
ยิ่งไปกว่านั้น การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องแบบแผลเล็กจะต้องพิจารณาถึงการเย็บหลังผ่าเสร็จด้วย กล่าวคือต้องกรีดโดยคำนึงถึงมุมในการเย็บเพื่อเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
เคสแรกเฉินชางเป็นคนผ่าและเย็บ เคสที่สองเหล่าเฉินลองวิชาด้วยความตื่นเต้น แม้ผลที่ได้จะด้อยกว่าเฉินชางไปมาก แต่…แต่หากเทียบกับการเย็บแผลในตอนแรกของตัวเองยังดีกว่าบ้าง
เมื่อการผ่าตัดสองเคสนี้จบลง เหล่าเฉินยังมีการผ่าตัดอื่นอีก ส่วนเฉินชางก็มีธุระจึงกลับไปที่แผนกฉุกเฉิน
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า จู่ๆ ญาติผู้ป่วยของผู้ป่วยเตียงสิบเอ็ดและหวังหย่งซึ่งเป็นแพทย์ผู้รับผิดชอบก็ทะเลาะกันขึ้นมา เฉินชางเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาดู
ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนด่าอยู่ตรงประตูห้องผู้ป่วย ยกมือชี้หน้าด่าหวังหย่งอย่างหยาบคาย
หากเทียบกันแล้ว หวังหย่งมีใบหน้าแดงก่ำ อยากจะอธิบายแต่เห็นได้ชัดว่าผู้ป่วยไม่ให้โอกาสเลย!
ชายคนนั้นสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ตัวสูงใหญ่เป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับหวังหย่งที่สูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรแล้ว ร่างกายของเขาดูผอมบางไปเลย
แต่ไม่ใช่เรื่องความแตกต่างทางร่างกายที่ทำให้หวังหย่งไม่ด่ากลับ หรือไม่ตอบโต้ผู้ป่วย ที่นี่คือโรงพยาบาล หากทะเลาะ หรือตบตีกับผู้ป่วย คนที่จะเป็นฝ่ายเสียหายก็คือหมอ
“พ่อผมเป็นถุงน้ำดีอักเสบไม่ใช่หรือ แอดมิทแล้วทำไมยังไม่ผ่าตัดอีก คุณเป็นหมอหรือเปล่าเนี่ย ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าถ้าเป็นถุงน้ำดีอักเสบจะต้องรีบผ่าตัดให้เร็วที่สุด ถ้าปล่อยไว้นานจะทำให้อาการหนักขึ้น!”
“เมื่อวานพอคุณมาถึงก็บอกว่าจะทำการตรวจให้ดีเสียก่อน ตอนนี้ผลการตรวจออกมาแล้วก็ยังไม่ยอมจัดแจงเรื่องผ่าตัดอีก คุณรอเงินสินบนจากผมใช่ไหม”
“เศษสวะเอ๊ย! หมอแบบคุณผมเห็นมาเยอะแล้ว ออกไป! อย่าให้ผมเจอก็แล้วกัน!”