เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 471 หมอครับ ผมป่วยแน่ๆ!
บทที่ 471 หมอครับ ผมป่วยแน่ๆ!
หลังจากฉีดกลูโคสเข้มข้น 50% เข้าไปในหลอดเลือดดำเป็นจำนวน 40 mg ประมาณสองสามนาทีต่อมาผู้ป่วยก็ลืมตาขึ้น
เขามองรอบด้านด้วยท่าทางสะลึมสะลือ สีหน้าดูสับสน
เมื่อเฉินชางเห็นดังนั้นก็ยิ้มให้ “ตื่นแล้วสินะครับ”
เขาพยักหน้าแล้วมองไปรอบๆ เมื่อเห็นเฉินชางสวมชุดกาวน์สีขาวก็ถามอย่างแปลกใจ “ผมอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอครับ”
เฉินชางหยักหน้ายิ้มๆ “ใช่ครับ อยู่ที่ห้องฉุกเฉินของแผนกฉุกเฉิน”
ชายคนนั้นพยุงตัวเองขึ้นนั่ง “หมอครับ นี่ผมเป็นอะไร”
เฉินชางกล่าว “น้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้หมดสติไปครับ”
ชายคนนั้นตกใจขึ้นมาทันที “ไม่จริงมั้งครับ ทำไมผมถึงน้ำตาลในเลือดต่ำได้ล่ะครับ ผมเป็นโรคเบาหวานนะ! จะต้องเป็นเพราะโรคเบาหวาน ถึงทำให้ผมหมดสติไปแน่ๆ!”
คำพูดของเขาทำให้เฉินชางถึงกับยิ้มออกมา
กระทั่งสวีตงตงก็ยังรู้สึกสับสน ใช่แล้ว ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานซึ่งปกติจะน้ำตาลในเลือดสูง ดังนั้นดื่มเหล้าเข้าไปแล้วทำไมน้ำตาลในเลือดถึงตกลงล่ะ
ในความคิดของคนส่วนใหญ่จะมองว่าเหล้าเป็นผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ดื่มเหล้าแล้วก็ควรได้รับสารอาหารถึงจะถูก ทำไมถึงทำให้น้ำตาลในเลือดตกได้ล่ะ
เฉินชางยิ้ม เห็นผู้ป่วยค่อนข้างใจเย็นแล้วจึงไม่มีอะไรให้กังวลอีก เขาหันไปพูดกับสวีตงตงว่า “มาสิ ไปห้องสังเกตอาการกับผม”
ผู้ป่วยได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ไม่ๆๆ หมอครับ ผมคิดว่าผมป่วย คุณยังตรวจไม่เสร็จใช่ไหมครับ พวก CT Scan MRI ตรวจเลือดอะไรพวกนั้นน่ะ ผมว่าพวกเราต้องตรวจให้ดีนะครับ!”
“จริงๆ นะครับ ผมว่าผมป่วย ไม่งั้นทำไมผมที่มีค่าน้ำตาลในเลือดสูงมาตลอด อยู่ดีๆ ถึงน้ำตาลตกได้ล่ะครับ หลังกินข้าวค่าน้ำตาลในเลือดผมประมาณสิบห้าทุกวัน นี่…คุณคงไม่ได้ตรวจละเอียดแน่ๆ เลย! หมอครับ ผมกำลังจะแต่งงานแล้ว ถ้าผมป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรขึ้นมา…ผมจะรบกวนครอบครัวไม่ได้!”
ผู้ป่วยกล่าวด้วยใบหน้าหวาดระแวง เขากลัวว่าเฉินชางจะเอาเขาออกไปจากห้องฉุกเฉิน “หมอครับ ผมว่าผมอยู่ในห้องฉุกเฉินน่าจะปลอดภัยกว่า ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยทัน!”
“อันที่จริงระยะนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรง จะต้องมีปัญหาตรงไหนแน่ๆ เลยครับ จริงสิ…ปัจจุบันนี้เราตรวจยีนกันได้แล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมต้องตรวจหรือเปล่า!”
คำพูดของผู้ป่วยทำเอาเฉินชางและคนอื่นถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว!
รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ!
มีใครบ้างที่พูดย้ำๆ ว่าตัวเองป่วยแบบนี้!
เสี่ยวหลินและเล่อเล่อก็ทำหน้าไม่ถูกเช่นกัน
เล่อเล่อกลั้นขำจนใบหน้าแทบจะกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว ร่างกายหนักเกือบร้อยกิโลสั่นไม่หยุด เฉินชางกลัวเธอกลั้นขำจนตายจึงรีบพูดกับเล่อเล่อว่า “เล่อเล่อ ไปแจ้งญาติผู้ป่วยเถอะครับ บอกว่าตอนนี้ผู้ป่วยอาการคงที่แล้ว”
เล่อเล่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที หากมองจากด้านหน้าจะเห็นว่าเนื้ออ้วนๆ กำลังยิ้มจนสั่นแทบไม่ไหว ยิ้มจนใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ยิ้มจนดูน่าสงสาร!
……
……
ตอนนี้นายอ้วนยืนอยู่ตรงประตูห้องฉุกเฉิน เขาหงุดหงิดมาก ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เมื่อคืนคงไม่ดื่มเหล้ากันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด!
ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าอันเร่งร้อนดังขึ้นระลอกหนึ่ง นายอ้วนเงยหน้าขึ้นม พบว่าเป็นพ่อแม่และว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนตน
นายอ้วนสูดหายใจลึก “คุณลุงคุณป้าแล้วก็หลิงหลิง พวกคุณมากันแล้ว!”
ชายวัยกลางคนมองนายอ้วนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “นายอ้วน ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
นายอ้วนส่ายหน้า “ไม่ทราบครับ ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินอยู่เลย คุณลุงครับ นี่เป็นความผิดของผมเอง! ผมดูแลเขาไม่ดี…”
คุณลุงส่ายหน้าแล้วตบแขนนายอ้วนเบาๆ “ไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอก ลูกฉัน ฉันรู้จักดี มันก็ไม่ใช่คนดีอะไร คงดื่มเหล้าแบบไม่รู้จักคุมปากของตัวเองสินะ!”
หญิงวัยกลางคนถลึงตาใส่เขา “เอาละ อย่าเพิ่งมาโกรธในเวลาแบบนี้เลยค่ะ!”
หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้ากังวลเช่นกัน!
คนเราก็เป็นเช่นนี้เอง ก่อนได้อะไรมาก็กลัวว่าจะไม่ได้ พอได้มาแล้วก็กลัวว่าจะเสียไป ยิ่งช่วงเวลาอันดีใกล้มาถึงก็ยิ่งกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นหรือไม่
ตอนนี้เอง ในที่สุดเล่อเล่อก็หัวเราะเสร็จ เธอผลักประตูออกมา เห็นคนกลุ่มหนึ่งจ้องมาที่ตนเข้าพอดี
เล่อเล่อถามขึ้นว่า “ใครเป็นญาติของจางเสี่ยวกังคะ!”
ทันใดนั้นคนกลุ่มนี้ก็รีบพูดขึ้นทันที “ฉันเอง!”
เล่อเล่อเห็นว่ามีคนเยอะเช่นนี้จึงรีบกำชับว่า “ตามฉันเข้ามาเลยค่ะ เข้าไปแล้วอย่าส่งเสียงดังนะคะ ตอนนี้ผู้ป่วยไม่เป็นอะไรแล้ว”
สิ้นจบทุกคนก็ผ่อนลมหายใจออกมา!
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!
ทั้งสี่รีบเดินตามเล่อเล่อเข้าไปในห้อง
ถึงตอนนี้ ผู้ป่วยยังคงพยายามอธิบายกับเฉินชางว่าตัวเองป่วยอยู่เลย!
“หมอครับ! คุณต้องตรวจให้ดีนะครับ ผมป่วยจริงๆ!”
“อย่าถ่วงเวลาเลยครับ…”
คนทั้งสี่เห็นจางเสี่ยวกังชี้มือชี้ไม้วาดเท้าอยู่บนเตียงอย่างมีชีวิตชีวาเช่นนั้น สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก เขามีท่าทางที่คนป่วยสมควรมีที่ไหนกัน…แต่! หากจะพูดว่าตรงไหนดูไม่ค่อยปกติแล้วล่ะก็ ดูเหมือนจะสมองไม่ปกตินะ…หรือจะเป็นผลข้างเคียงจากการหมดสติ เพราะจางเสี่ยวกังพูดย้ำอยู่ตลอดว่าตัวเองป่วย! และให้เฉินชางตรวจให้ดี!
นี่ทำให้คนทั้งสี่ที่เพิ่งเข้ามามึนงง
ทุกคนมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสน ไม่ทราบว่าจะทำเช่นไรดี ทว่า…หลิงหลิงว่าที่เจ้าสาวของผู้ป่วยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็เผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา!
คงไม่ใช่ว่าเขาเสียใจที่ต้องแต่งงานหรอกนะ
เพราะไม่อยากแต่งงานกับเธอเลยแกล้งป่วยสินะ
นี่เขา…
คิดถึงตรงนี้ หลิงหลิงก็มีท่าทีโศกเศร้าทันใด เธอรู้สึกอัปยศอดสู หมุนตัวคิดจะเดินออกไปทันที
จิตใจของผู้หญิงค่อนข้างอ่อนไหวง่าย มารดาของฝ่ายชายที่ยืนอยู่ข้างกันพบความผิดปกตินี้เข้าจึงหันไปดึงเธอไว้ “หลิงหลิง ไม่ต้องร้อนใจไป ดูก่อนว่าหมอจะว่ายังไง”
จากนั้นบิดาของจางเสี่ยวกังก็เดินมาด้านหน้า ก้มลงมองลูกชายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวของตน จากนั้นจึงมองเฉินชาง “หมอครับ ตกลงลูกชายผมเป็นยังไงกันแน่ครับ”
เฉินชางเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนแล้วพูดว่า “ผู้ป่วยมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำทำให้หมดสติ ไม่มีอะไรมากครับ กลับไปพักผ่อนให้ดีก็พอแล้ว ช่วงนี้เขาทั้งยุ่งทั้งเหนื่อยเกินไป อาจพักผ่อนไม่พอ ดังนั้นทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน จริงสิ ต่อไปอย่าดื่มเหล้าอีกจะดีกว่านะครับ!”
เมื่อได้ยินเฉินชางกล่าวเช่นนี้ จางเสี่ยวกังก็พูดขึ้นว่า “ผมเป็นโรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงมาตลอด แถมยังดื่มเหล้าเข้าไปมากขนาดนั้น จะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ยังไงล่ะครับ”
เฉินชางรู้สึกจนใจจริงๆ ได้แต่กล่าวไปว่า “น้ำตาลในเลือดสูงหรือครับ ถ้างั้นเช้าวันนี้คุณได้กินยาหรือเปล่า”
ผู้ป่วยพยักหน้า “ครับ ผมควบคุมน้ำตาลในเลือดอย่างดี กินยาเมทฟอร์มินวันละสองครั้ง”
เฉินชางยิ้ม “ยังดีนะครับที่คุณกินยาเมทฟอร์มิน ถ้าคุณฉีดอินซูลิน วันนี้คงสาหัสแน่!”
ชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “ลูกเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ทำไมพ่อไม่รู้!”
หลิงหลิงถอนใจออกมา “คุณลุงคุณป้าคะ เขาเพิ่งรู้ตอนไปตรวจร่างกายเมื่อปีที่แล้ว หมอบอกว่าไม่ร้ายแรง ให้กินเมทฟอร์มินดูน่ะค่ะ”
หญิงวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็อดถอนใจไม่ได้ เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด!
ผู้ป่วยยิ้มกระอักกระอ่วน “พ่อครับแม่ครับ ผมไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง”
เฉินชางพูดต่อไป “เมทฟอร์มินเป็นยาลดน้ำตาลที่ใช้กันบ่อยที่สุด แต่มันแตกต่างจากยาลดน้ำตาลตัวอื่นๆ ตรงที่จะไม่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด แต่จะไปลดการดูดซึมน้ำตาลของร่างกายแทน ทำให้ร่างกายควบคุมน้ำตาลได้เช่นกัน พอตัวยาและแอลกอฮอล์ที่คุณได้รับเข้าไปทำงานร่วมกัน จึงเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำน่ะครับ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เฉินชางก็อธิบายต่อไปว่า “จริงสิครับ การดื่มเหล้าไม่ช่วยเพิ่มน้ำตาลในเลือดนะครับ เหล้าประเภทเอทีลแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้ทำมาจากธัญพืช”
“ที่มาของน้ำตาลภายในร่างกายมนุษย์ หนึ่งก็คือมาจากน้ำตาลในอาหาร อีกทางหนึ่งมาจากกระบวนการเปลี่ยนโปรตีนและไขมันเป็นน้ำตาล เรียกว่ากระบวนการกลูโคนีโอจินิซิส (Gluconeogenesis) สองสามวันมานี้คุณไม่ได้กินข้าว ทำให้ได้รับน้ำตาลเข้าไปไม่พอ เพื่อรักษาระดับการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันของคุณ ร่างกายจะไปสลายไกลโคเจนในตับเพื่อให้ได้น้ำตาลออกมา แต่คุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเลยไปยับยั้งกระบวนการกลูโคนีโอจินิซิสและยับยั้งการสลายไกลโคเจนในตับด้วยซึ่งทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ”
คำพูดนี้ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจกระจ่าง!
หลิงหลิงมองจางเสี่ยวกัง อดพูดไม่ได้ว่า “จางเสี่ยวกัง นายไม่อยากแต่งงานกับฉันเลยไม่อยากออกจากโรงพยาบาลสินะ”
พูดจบก็เดินออกไปทันที!
จางเสี่ยวกังเห็นดังนั้นก็รีบลงจากเตียงแล้ววิ่งตามไป…
เฉินชางอดยิ้มไม่ได้ ตอนนี้ไม่ต้องกังวลว่าผู้ป่วยจะไม่ยอมออกจากห้องฉุกเฉินแล้ว