เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 619 หย่า (1)
ตอนที่ 619 หย่า (1)
Ink Stone_Fantasy
แม้ตอนนี้หัวใจคนไข้กลับมาเต้นปกติแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นขีดอันตราย
ตอนนี้ความดันคนไข้ยังต่ำมาก เสี่ยวหลินเริ่มไปเตรียมอะดรีนารีนและยาเพิ่มความดันอื่นๆ มาเสริมการทำงานของหัวใจเขาแล้ว
เดิมทีก็มีเลือดออกในสมองอยู่แล้ว หลังจากเหตุการณ์หัวใจหยุดเต้นแล้วกลับมาเต้นอีกเมื่อครู่นี้ ภาวะขาดออกซิเจน…หลีกเลี่ยงโรคสมองขาดเลือดขาดออกซิเจนไม่ได้แน่นอน
อีกทั้งกล่าวตามตรง คนไข้มีความเสี่ยงที่หัวใจจะหยุดเต้นอีกครั้งได้ตลอดเวลา!
สือน่ายังพูดไม่จบ น้ำตาก็ได้พรูไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เฉินชางกับพยาบาลที่อยู่รอบๆ อึ้งงันไป!
เพราะสำหรับพวกเขา สือน่าคือหญิงแกร่งคนหนึ่ง!
เธอไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบาก
เฉินชางเองก็ไม่เคยเห็นอาจารย์สือร้องไห้ ซ้ำยังร้องไห้อย่างเสียใจขนาดนี้!
เกิดอะไรขึ้น
เล่อเล่อเห็นแบบนี้ก็รีบเข้าไปปลอบ “พี่น่า เป็นอะไรไปคะ นี่ก็ช่วยชีวิตไว้ได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
สือน่าถูกถามแบบนี้ ยิ่งกลั้นน้ำตาไม่อยู่ น้ำตาที่สะสมมาหลายปีพังทำนบออกมา
เสียงดังมาจากห้องฉุกเฉิน ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหันมอง
นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นหมอร้องไห้อย่างเสียใจขนาดนี้!
และตอนนี้เอง ประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออก หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของสือน่าก็ตกใจยกใหญ่!
กล่าวตามตรง ปฏิกิริยาแรกของเธอคือคิดว่า หรือตาเฒ่าแย่แล้ว?!
เฉินชางเห็นแบบนี้จึงรีบเดินออกไป ให้เสี่ยวหลินและเล่อเล่อปลอบสือน่า
หลังจากเฉินชางออกไป ก็พบว่านอกประตูมีคนยืนอยู่สี่ห้าคน
เด็กสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง อายุประมาณเจ็ดปวดขวบ เฉินชางเคยเจอ ก่อนหน้านี้ตอนเข้าเวรสุดสัปดาห์ สือน่าก็จะพาลูกมาที่โรงพยาบาล ให้เด็กๆ เล่นอยู่ในห้องเวร เด็กทั้งสองว่านอนสอนง่าย รู้ความมาก!
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงนั้นกระวนกระวายเล็กน้อย
หลังจากเห็นเฉินชางพวกเขาก็ถามอย่างระมัดระวัง “อาเฉินครับ…แม่ผมร้องไห้ทำไมครับ คุณปู่…เสียแล้วเหรอครับ”
พูดถึงตรงนี้เด็กทั้งสองคนน้ำตาคลอ
ทั้งสองเคยมาที่โรงพยาบาลและเคยเจอเฉินชาง
เฉินชางส่ายหน้า ตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นอะไรครับ แม่หนูแค่ตกใจเกินไปหน่อย คุณปู่ของหนูพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”
นอกจากเด็กทั้งสองยังมีหญิงชราอีกคน คงจะเป็นแม่สามีของสือน่า และยังมีคู่ชายหญิงวัยกลางคน คงจะเป็นพี่ชายคนโตและน้องสาวของสามีสือน่า
เฉินชางเคยได้ยินเรื่องครอบครัวของสือน่า
เมื่อก่อนแม่สามีของสือน่าเป็นหัวหน้าเล็กๆ คนหนึ่ง หลังจากเกษียณก็มักจะจู้จี้จุกจิกเรื่องในบ้าน ส่วนพ่อสามีเคยเห็นเชฟ พ่อสามีเป็นคนทำงานบ้านทั้งหมด รวมถึงเลี้ยงลูก
แม่สามีดูแคลนพ่อสามี เวลาสั่งสอนลูกก็มักจะบอกลูกๆ ว่า ‘อย่าเหมือนพ่อพวกแกที่เป็นแค่เชฟไม่ได้เรื่อง ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง’
พ่อสามีเองก็ไม่ชอบโต้เถียง ปกติมักยิ้มแย้ม เจอใครก็เป็นมิตรมาก
ในบ้านมีลูกสามคน พี่ชายเป็นหัวหน้าแผนกรัฐวิสาหกิจ ส่วนน้องสาวสามีแต่งงานกับคนธรรมดา มักกลับบ้านมาขอค่าใช้จ่ายกับแม่
ส่วนสามีของสือน่าเอาการเอางานมาก ภายใต้การสนับสนุนและให้กำลังใจของแม่สามี รวมถึงการดูแลเลี้ยงดูของสือน่า เขาจบระดับปริญญาเอกและเดินทางออกนอกประเทศไปที่ศูนย์วิจัยหลังปริญญาเอก
เป็นความจริงที่ว่าดอกเตอร์มีเงินเดือน ศูนย์วิจัยหลังปริญญาเอกก็เป็นตำแหน่งงาน รายได้ทั้งปีก็ไม่น้อย
แต่!
เงินพวกนี้ไม่เคยส่งมาที่บ้านแม้แต่สตางค์เดียว
ตอนที่ลูกชายคนโตแต่งงาน พ่อแม่สามีก็ซื้อบ้านให้
ฝ่ายหญิงฐานะทางบ้านค่อนข้างดี แม่สามีไปแล้วอึดอัด จึงไปมาหาสู่กันน้อยมาก
ตอนที่ลูกชายคนกลางแต่งงาน ครอบครัวฝั่งสือน่ากลับยังออกเงินสองแสนเพื่อซื้อบ้านด้วยกัน
สุดท้ายเพิ่งแต่งงานเข้าปีที่สาม เพราะหน้าที่การงานของสามีไม่ได้ดั่งใจ มนุษยสัมพันธ์ในที่ทำงานก็ไม่ดี จึงอยากเรียนปริญญาเอก
แม่สามีได้ยินว่าลูกชายเอาดีขนาดนี้ ก็สนับสนุนการตัดสินใจของเขาทันที!
ความจริงแค่นี้เรื่องเล็ก ตอนนั้นสือน่าก็สนับสนุนให้สามีพัฒนาตัวเอง
ตอนแรกสามีของสือน่าก็กังวลเพราะยังต้องผ่อนบ้านเดือนละห้าพันกว่า แม้ไม่มาก แต่ทั้งสองถือว่ามีแรงกดดัน
แต่ตอนนั้นแม่สามีบอกว่าจะใช้เงินเดือนหลังเกษียณผ่อนบ้าน สนับสนุนให้ลูกชายเรียนต่อ
อืม ความรักที่แม่มีต่อลูกก็เข้าใจได้
แต่เขาเพิ่งไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
แม่สามีบอกว่าลูกชายต้องการใช้เงิน จึงโอนเงินไปให้
สือน่าเองก็จนปัญญา ชีวิตยังต้องดำเนินต่อ โชคดีที่ตอนนั้นลูกเพิ่งสามสี่ขวบ ค่าใช้จ่ายยังไม่มาก
ทว่าหลังจากสามีจากไป สือน่าใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่สามี แม่สามีก็ยิ่งใช้จ่ายยิ่งมือเติบ ปกติสือน่าทำอาหาร แม่สามีมักเกี่ยงว่าสือน่าไม่ยอมทำของอร่อยให้กิน ทารุณคนแก่อย่างพวกเขา บางทียังโทรหาลูกชาย บอกว่าให้เงินเดือนสือน่ามา แต่อาหารที่สือน่าทำไม่ถูกหลักโภชนาการ ลูกกำลังโต จะเสียเวลาได้อย่างไร
เดิมทีตอนที่ลูกๆ ถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนอนุบาล สือน่าคิดว่าสภาพทางการเงินค่อนข้างตึงเครียด อยากให้ลูกทั้งสองเข้าโรงเรียนรัฐบาล
แต่แม่สามีได้ยินแล้วรู้สึกว่าขายหน้า ยืนกรานจะให้ไปเรียนโรงเรียนอนุบาลเอกชน!
แบบนี้ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูง
หลังจากถกเถียงกัน สือน่ายอมแพ้ แม่สามีแข็งกร้าวเกินไปและสามีเธอไม่สนใจอะไรเลย เวลาเจอความขัดแย้งก็จะเข้าข้างแม่
แม้ไม่ถึงกับเป็นลูกแหง่ แต่…ก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน
สามีเธอทำงานได้เงินมาไม่เคยส่งกลับบ้าน สือน่าทำงานเลี้ยงทั้งครอบครัวเพียงลำพังเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่กล้าป่วย!
ถ้าถามว่าในแผนกฉุกเฉินใครเหนื่อยที่สุด ใครทุ่มเทกับงานที่สุด เฉินชางบอกว่าเป็นสือน่าได้อย่างไม่ต้องลังเล!
ถึงอย่างไรเธอทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำ ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และผู้ป่วยในมือก็มากที่สุด นอกจากนี้ สือน่ายังมีความรับผิดชอบมาก ชาร์ตผู้ป่วยของเธอน้อยมากที่จะถูกแผนกประกันสุขภาพตรวจสอบ ถึงอย่างไร…ก็จับผิดเธอไม่ได้จริงๆ
……
……
หญิงชราได้ยินเฉินชางบอกว่าไม่เป็นไรก็โล่งอกไปบ้าง “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!”
หลังจากพูดจบก็พูดกับลูกสาวว่า “โทรบอกพี่คนกลางว่าไม่ต้องกลับมาแล้ว ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
ลูกสาวได้ยินแล้วไม่ลังเลเลยสักนิด พลันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมจะโทร
สุดท้ายลูกชายคนโตรีบห้ามไว้ “เดี๋ยวก่อน ให้เหวินป๋อกลับมาเถอะ ที่บ้านวุ่นวายขนาดนี้แล้ว ไม่กลับมาตอนนี้จะให้กลับตอนไหน”
หญิงชราได้ยินแล้วถลึงตาใส่ลูกชาย “ลูกไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ ที่บ้านยังมีสือน่าอยู่ไม่ใช่เหรอ ให้เขากลับมาทำไม เรียนอยู่เมืองนอกก็ดีอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มได้ยินแล้วขุ่นเคืองเล็กน้อย “แม่ น้องสะใภ้เหนื่อยแค่ไหน แม่ทำเกินไปหรือเปล่าครับ พ่อเป็นแบบนี้ได้อย่างไร พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสะใภ้ดูแลอย่างรอบคอบขนาดนั้น ร่างกายของพ่อจะรอดมาถึงตอนนี้ไหม ทุกวันนี้หลานแม่ก็ไม่ดูแล วันๆ ไม่รู้ว่าแม่ยุ่งเรื่องอะไร ร่างกายพ่อเป็นอย่างไรแม่ก็รู้ ให้เขาทำงานบ้านทั้งหมด เขาคนเดียวจะทำไหวเหรอครับ”
ความจริงในฐานะลูกชายคนโต ชายหนุ่มไม่พอใจกับการกระทำของน้องชายแท้ๆ และแม่มานานแล้ว
ทว่าถึงอย่างไรก็กลายเป็นสองครอบครัวแล้ว พูดอะไรไม่ได้
“จริงสิ แม่บอกว่าวันนี้พ่อถูกกระตุ้นอารมณ์ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ถูกลูกชายต่อว่าแบบนี้ หญิงชราเองก็สีหน้าบูดบึ้งไม่พูดจา!
ตอนนี้เอง ลูกชายของสือน่าน้ำตาคลอเบ้า “วันนี้พ่อโทรหาปู่ บอกว่าจะหย่ากับแม่…พ่อจะทิ้งเราไปแล้ว…ฮือ…”