เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 642 เรียกว่าหัวหน้าเฉิน!
พูดจบก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น หญิงสาวสวยหมดจดในชุดนอนคนหนึ่งเดินเข้ามา “เมิ่งเมิ่งยังไม่พักผ่อนเหรอ”
เมิ่งซีได้ยินเสียงจึงหันไปยิ้มให้ “แม่ มีอะไรเหรอคะ”
ผู้หญิงคนนี้อายุห้าสิบกว่าปีแต่ดูแลตัวเองดี ผมสั้นประบ่าตัดเล็มเรียบร้อย ชุดนอนสีม่วงดูอย่างไรก็ดูแพง! เธอเดินมานั่งลงข้างๆ เมิ่งซี ดูออกว่าเมิ่งซีเหมือนเธอค่อนข้างมาก
“โทรศัพท์นี่ให้ลูก ไปเมืองหลวงลูกจะได้ใช้โทรหาผู้ดูแลบ้าน ไปอยู่บ้าน ไม่ต้องอยู่โรงแรมแล้ว”
เมิ่งซียิ้มให้ “ขอบคุณค่ะแม่!”
“แม่คะ ครอบครัวเรามีบ้านกี่หลังกันแน่คะ หนูไปที่ไหนแม่ให้ที่อยู่หนูทุกที…”
เมิ่งหวั่นหรงอดหัวเราะไม่ได้ “อยากรู้เหรอ”
เมิ่งซีส่ายหัว “ไม่อยากรู้ค่ะ หนูยังเกาะแม่กินได้อยู่!”
เมิ่งหวั่นหรงเห็นว่าพริบตาเดียวลูกสาวก็โตขนาดนี้แล้ว จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “จริงด้วย เรียกนักเรียนของลูกคนนั้นมาด้วยสิ จะได้มีคนดูแล”
เมิ่งซีได้ยินเข้าก็หัวเราะร่าขึ้นมา “แม่หมายถึงเฉินชางเหรอคะ ต้องให้หนูดูแลเขามากกว่ามั้ง”
“พอเลย ให้เขามารู้จักคฤหาสน์ของพวกเราครอบครัวเมิ่งด้วย!”
รอยยิ้มของเมิ่งหวั่นหรงดูสง่างามภูมิฐานอยู่เสมอ
เธอกับเมิ่งซีพูดคุยกันจนสี่ทุ่มกว่าจึงแยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
เมิ่งซีมองดูมารดาของตน อดรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่ได้
ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน แม่ก็แบ่งเวลามาพูดคุยเปิดอกกับเมิ่งซี ที่เธอกลับจีนก็เพราะแม่อายุมากแล้ว ไม่อยากให้แม่เทียวไปเทียวมาตลอดอีก ชั่วชีวิตนี้คนที่เมิ่งซีรักที่สุดก็คือแม่ แม่เป็นหญิงแกร่ง เป็นประธานคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียน ในมือมีทรัพย์สินหลายพันล้าน งานยุ่งมากทุกวัน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็พยายามแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเธออย่างเต็มที่
ตอนแรกเมิ่งซีไม่เข้าใจแม่ มัธยมปลายจึงไปอเมริกา ไปครั้งหนึ่งก็สิบกว่าปี หลังจากเธอออกจากจีนมาก็ไม่ค่อยกลับจีน แม่ของเธอไปอยู่เป็นเพื่อนเธอที่อเมริกาเองทุกครั้ง แต่ละเดือนแม่ยังต้องไปๆ มาๆ หลายหน ต่อให้ปากบอกว่าเดินทางเพราะเรื่องงาน แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพราะปลีกเวลามาอยู่กับลูกสาว ทำอาหารง่ายๆ ไปเดินช้อปปิ้งดูหนัง อยู่กับลูกเท่าที่จะทำได้
ครอบครัวเมิ่งซีเป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว เหมือนกับเรื่องราวส่วนใหญ่ เมิ่งหวั่นหรงเจอผู้ชายไม่ดี พอได้เสียกันแล้วก็ทิ้งขว้าง เธอในวัยยี่สิบเอ็ดปีพาเมิ่งซีมาที่เมืองอันหยาง ดิ้นรนอยู่หลายปีจึงมีอาณาจักรอย่างในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
ด้านเมิ่งซีใช้นามสกุลแม่ เรื่องราวร้ายๆ ของแม่รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัวของเธอเองทำให้เธอไม่เชื่อใจผู้ชายมากนัก ส่วนเมิ่งหวั่นหรงก็กังวลว่าเมิ่งซีจะมีบุคลิกภาพผิดปกติ จึงเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ พยายามอยู่กับเธออย่างเต็มที่
เธอพบว่าหลายปีนี้มีผู้ชายสองคนอยู่ในชีวิตของเมิ่งซี คนหนึ่งคือศัตรูคู่อาฆาตซือคง และอีกคนหนึ่งก็คือเฉินชาง เดิมทีเธอคิดว่าเมิ่งซีชอบซือคง แต่หลังจากทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้ว่าเมิ่งซีเห็นซือคงเป็นศัตรูคู่แข่งเท่านั้น เพราะเขายอดเยี่ยมเกินไป เมิ่งซีที่มีนิสัยชอบเอาชนะจึงตั้งเขาเป็นศัตรูเพื่อก้าวข้ามเขามาโดยตลอด ทั้งสองรู้จักกันมาเจ็ดแปดปีแล้ว จึงถือว่าเป็นทั้งเพื่อนและศัตรูเก่า
สิ่งที่ซือคงพยายามช่วงชิง เมิ่งซีจะไปแย่งมาทั้งนั้น แล้วถ้าเกิดแย่งมาได้ล่ะ แม้แต่แฟนยังไม่เว้น! นี่ทำให้ซือคงงุนงงไปหมด! แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน!
ตกลงเมิ่งซีชอบผู้หญิงเหรอ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลยสักนิด! มิหนำซ้ำยายคนนี้มีทั้งเงินทั้งอิทธิพล หน้าตาก็สวย ไอคิวอีคิวรอบอกก็ดีหมด ส่วนเรื่องว่าเมิ่งซีชอบตนไหม ถุย!
ต่อให้ซือคงเชื่อว่าโลกนี้มีผีก็ไม่เชื่อเรื่องนี้!
ต่อมาก็คือเฉินชาง แต่การปรากฏตัวของเฉินชางยิ่งทำให้เมิ่งหวั่นหรงออกจะประหลาดใจ เพราะเมิ่งซีคล้ายพบความสัมพันธ์ที่พึ่งพาได้อีกอย่างหนึ่ง ความผูกพันระหว่างศิษย์อาจารย์ก็เป็นหนึ่งในมิตรภาพที่พึ่งพาได้มากที่สุดในโลกในทำนองเดียวกับครอบครัวและความรัก
แม้เมิ่งซีจะบอกว่าชอบผู้หญิง แต่เมิ่งหวั่นหรงพบว่าความจริงแล้วสิ่งที่เมิ่งซีปรารถนาก็คือความรู้สึกที่สามารถพึ่งพาและเชื่อใจได้เช่นนั้น เมิ่งหวั่นหรงจะไม่บังคับให้เมิ่งซีทำอย่างนั้นอย่างนี้ เธอทั้งให้เกียรติและเคารพลูกสาวของเธอ แต่เธอหวังว่าหลังจากที่ตนแก่ตัวลง เมิ่งซีจะมีที่พึ่งพิงหรือคนคอยอยู่เป็นเพื่อน และเฉินชางก็คือที่พึ่งพิงและคนที่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอ
เมิ่งซีอาจแข็งแกร่งพอที่จะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร แต่เมิ่งหวั่นหรงรู้ดีว่าความจริงแล้วการแบ่งปันความสุขก็ต้องมีคนที่รู้ใจและพึ่งพาได้สักคน บางครั้งการแบ่งปันความสุขสำคัญกว่าการพึ่งพิงเสียอีก เธออาบน้ำร้อนมาก่อน รู้ว่าบางครั้งความสุขน่าอึดอัดว่าความเสียใจ
……
……
เช้าวันศุกร์ ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งประกาศขึ้นในโรงพยาบาล! หลังจากถกกันโดยละเอียดมาสองสามวัน ในที่สุดบรรดาผู้นำโรงพยาบาลอันดับสองก็ยืนยันแผนพัฒนาปี 2020 ถึง 2025
ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าจะสร้างอาคารฉุกเฉินแปดชั้นหลังหนึ่งกับศูนย์เนื้องอกแปดชั้นหลังหนึ่งในปี 2020 ต้องการพัฒนาผู้มีความสามารถให้ได้ภายในสามปี
ทันทีที่ข่าวนี้ประกาศออกมา ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วนในชั่วพริบตา
ทว่าข่าวที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนบุคลากรภายในโรงพยาบาลอันดับสอง เฉินชางได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลอันดับสองอย่างเป็นทางการ และจะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกฉุกเฉินอย่างเป็นทางการในอีกหนึ่งปีให้หลัง ข่าวนี้กระจายใหญ่โตในกรุ๊ปบุคลากรโรงพยาบาลอันดับสองหนึ่งพันกว่าคนในชั่วพริบตา!
เว่อร์เกินไปแล้ว! รองหัวหน้าแผนกฉุกเฉิน หัวหน้าแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลระดับมณฑลอายุยี่สิบเจ็ดปี! ดูให้ดีทั้งมณฑลมีอยู่กี่คน พูดได้อย่างไม่อายเลยว่าไม่มีสักคน! แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่โอเวอร์ที่สุด
การได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกฉุกเฉินอย่างเป็นทางการในอีกหนึ่งปีให้หลัง เรื่องนี้ถึงมีความหมายลึกซึ้ง ปีนี้เฉินชางอายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดปี ไปฝึกงานหนึ่งปีกลับมาก็จะเป็นหัวหน้าใหญ่แผนกฉุกเฉินอายุยี่สิบเก้าปี เป็นหัวหน้าแผนกโรงพยาบาลระดับตติยะภูมิประจำมณฑลที่เด็กที่สุดในมณฑล!
เมิ่งซีอายุสามสิบปี มิหนำซ้ำยังจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคโรลินสกาได้รับตำแหน่งรองหัวหน้า
จิ่งหรานอายุสามสิบเอ็ดปี นักวิจัยหลังปริญญาเอก ผู้เก่งกาจจากโรงพยาบาลฟู่ว่าย สมาชิกนักวิจัยหลังปริญญาเอกของสถาบันแพทย์แผนจีน ได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าเหมือนกัน!
แต่เฉินชาง ในตอนนั้นที่เพิ่งอายุยี่สิบเก้าปี จะได้รับตำแหน่งหัวหน้า!
ทั้งโรงพยาบาลต่างกำลังถกเถียง!
“เฉินชางคนนี้จะเวอร์เกินไปแล้วมั้ง เข้าทำงานสามปีก็กลายเป็นรองหัวหน้าแผนกฉุกเฉินเลย แถมอีกหนึ่งปียังจะได้เป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินอีก เร็วขนาดนี้มันติดจรวดแล้ว!”
“นี่ยังเรียกว่าเร็วเหรอ คุณคิดดีๆ สิ ปีนี้เฉินชางเพิ่งได้เป็นบุคลากรในสังกัด ไม่ถึงครึ่งปีก็เลื่อนขึ้นเป็นรองหัวหน้าแผนกฉุกเฉินแล้ว นี่ไม่น่าตกใจเหรอ”
“ใช่ไง โรงพยาบาลประมาทไปรึเปล่า ถึงยังไง…แผนกฉุกเฉินก็ไม่ใช่แผนกทั่วๆ ไปนะ เฉินชางจะทำไหวเหรอ”
“ปีหน้าโรงพยาบาลเราจะสร้างอาคารฉุกเฉินแปดชั้นหลังหนึ่ง คุณคิดดู คิดดูดีๆ!”
“บ้าเอ๊ย! นี่หมายความว่ารอตอนที่เฉินชางได้เป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉิน ถึงตอนนั้นสิ่งที่เขาคุมไม่ใช่แผนกเดียว แต่เป็นทั้งตึกเหรอ”
พอพูดแบบนี้ทุกคนก็งงไปทันที!
ที่แท้อาคารฉุกเฉินนี้ก็สร้างขึ้นเพื่อเฉินชางหรือ
หมอที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีคนหนึ่งควบคุมอาคารฉุกเฉินแบบนี้
ชั่วพริบตาทุกคนต่างตาเบิกกว้าง ตกตะลึงจนแสดงความชื่นชมที่อยู่ในใจออกมาไม่ได้ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าตั้งแต่วันนี้ไป…
จะเรียกเขาว่าเสี่ยวเฉินไม่ได้แล้ว ต้องเรียกว่าหัวหน้าเฉินจริงๆ!