เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 812 การโทษตัวเองของผู้เป็นแม่ (2)
เฉินชางผ่าตัดคนเดียวไม่สำ เร็จอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้อง
มีผู้ช่วย!
พอเขากลับมาที่แผนกก็พบว่าจางหย่วนกับหยางฮุ่ยกลับมา
แล้ว เขาตาเป็นประกายทันที “พวกคุณว่างไหม อีกเดี๋ยวผม
จะผ่าตัด ต้องมีคนช่วย”
จางหย่วนกับหยางฮุ่ยได้ยินเข้าก็พลันตาเป็นประกาย “ว่าง
ๆๆ!”
“มหาเทพ ผ่าตัดอะไรเหรอ”
“ขยายลิ้นหัวใจไมทรัลด้วยบอลลูน!”
พอหยางฮุ่ยได้ยินเข้าก็อดตะลึงไม่ได้ “นี่มัน…การผ่าตัดระดับ
สี่ใช่ไหมคะ ฉันไม่เคยผ่าคนเดียวมาก่อนเลย!”
จางหย่วนก็พยักหน้ายิ้มเจื่อนๆ “อืม…การผ่าตัดที่มีความ
ละเอียดสูงแบบนี้ผมก็ไม่เคยทำมาก่อนด้วย แต่ผมเคยช่วยหัวหน้าทีมผ่าตัด”
พอเฉินชางได้ยินเข้าก็ยิ้มพลางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ความจริง
แล้วไม่เป็นไรหรอกครับ มาช่วยก็พอแล้ว ผมผ่าได้!”
ทั้ง
สองคนได้ยินเฉินชางพูดอย่างผ่อนคลายแบบนี้แล้วอด
ชูนิ้วโป้งให้ไม่ได้!
“มหาเทพ คุณเทพเกินไปแล้ว การผ่าตัดระดับสี่แบบนี้ยังทำได้
!”
ช่วงสองสามปีที่จางหย่วนฝึกปรือในแผนกฉุกเฉินนี้ ที่จริงเขา
ได้อะไรไปเยอะมาก ผ่าตัดทั่วๆ ไปได้เองแล้ว
แต่การขยายลิ้นหัวใจไมทรัลด้วยบอลลูนมีความเฉพาะทางสูง
มิหนำซ้ำ ยังเป็นการผ่าตัดเปิดหัวใจ ถือเป็นการผ่าตัดระดับสี่ที่
ค่อนข้างยาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องปกตินัก
ทั้ง
สองคนรู้สึกตั้งตาคอยขึ้นมาในทันที
เฉินชางถอนหายใจอย่างจนใจ นึกถึงสมัยอยู่โรงพยาบาล
อันดับสอง ตอนนั้นก็มีคนแย่งไปผ่าตัดกับเขาเป็นพรวนเหมือนกันถึงแม้…ความจริงสิ่งที่หัวหน้าพวกนั้นทำก็ไม่ต่างกับแพทย์
ฝึกหัดก็ตามทีเถอะ
ก็แค่มาดูส่งสายตาให้กำลังใจ ไม่ลงมือช่วยด้วยซ้ำ !
เฉินชางนึกถึงอาจารย์เมิ่ง นึกหัวหน้าซย่า แล้วนึกถึงหัวหน้า
เถา เถามี่ พอคิดดูดีๆ ก็เหมือนจะเป็นตัวแถมทั้งนั้น มาถึงก็แค่ดูสด
หน้างาน ไม่ค่อยได้ลงมือเท่าไร…
คิดแบบนี้แล้วก็เหมือนไม่ต่างอะไรเลย
เฉินชางจัดการเรื่องผู้ช่วยผ่าตัดเสร็จแล้วก็วกกลับไปแย่งห้อง
ผ่าตัด
เพราะฤทธิ์ยาอย่างโซเดียมไนโตรพรัสไซด์หลายตัว ตอนนี้
หัวใจของเด็กน้อยจึงค่อยๆ กลับมาทำงานปกติ แล้วตัวเด็กก็ฟื้นขึ้น
มาในที่สุด
เฉินชางรอผลตรวจร่างกายแล้วจึงออกแบบแผนการผ่าตัดที่
ชัดเจนได้
การเตรียมการก่อนผ่าตัดก็เป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในการ
ผ่าตัดเช่นกันเฉินชางค่อนข้างปวดหัวกับผู้ป่วยที่ลิ้นหัวใจไมทรัลรั่ว
มิหนำซ้ำ ยังกำเริบฉับพลันแบบนี้ เพราะถ้าหัวใจผู้ป่วยทำงานได้
แย่มาก การใช้ยาสลบก็จะกลายเป็นเรื่องอันตราย
ถ้าเตรียมการก่อนผ่าตัดให้ดีไม่ได้ ทันทีที่วางยาสลบ ผู้ป่วย
อาจจะโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีก!
ถึงตอนนั้นอัตราความสำ เร็จในการผ่าตัดก็จะกลายเป็นศูนย์
ไปพร้อมกับที่หัวใจล้มเหลว!
ดังนั้นก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ เฉินชางจะต้องแน่ใจว่า
สภาพร่างกายและค่าต่างๆ ของตัวเด็กกลับเป็นปกติ
หลังจากเด็กน้อยตื่นขึ้น ก็มองเฉินชางด้วยสีหน้างุนงง “ผ
ม…อยู่ที่ไหน”
คำพูดของเด็กน้อยติดสำ เนียงภาษาถิ่นมาก เฉินชางมองดู
เด็กชายตัวน้อยที่ออกจะอึดอัดแล้วปลอบว่า “ไม่ต้องกังวล หนูอยู่
โรงพยาบาล”
พอได้ยินคำพูดเฉินชาง เด็กน้อยก็ผงะไปทันที รู้สึกค่อนข้าง
กระวนกระวาย!เขามองเฉินชาง “ทะ…ทำไมผมถึงมาโรงพยาบาลล่ะครับ
พ่อแม่ผมล่ะ”
ขณะที่พูดเด็กน้อยก็น้ำตาไหลไม่หยุด พอเห็นท่อที่อยู่บนตัวก็
ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
พยาบาลหยางเจี๋ยที่อยู่ด้านหนึ่งรีบทักขึ้นมา “พอแล้ว อย่าร้อง
ๆ หนูป่วยอยู่จ้ะ ไม่เป็นไรนะ! เดี๋ยวก็หายแล้ว”
แต่ไม่ว่าหยางเจี๋ยจะปลอบอย่างไร เด็กชายตัวน้อยก็ยังร้องไห้
หนักมากอยู่ดี! ตรงกันข้าม เด็กน้อยยิ่งมีเค้าลางว่าจะร้องไห้หนัก
กว่าเดิมเสียอีก!
เฉินชางทนไม่ไหวพูดขึ้นว่า “คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงหนูมาก รอ
หนูอยู่ข้างนอกครับ”
พอได้ยินคำของเฉินชาง เด็กชายก็อึ้งไป น้ำตาก็หยุดไหลทันที
พ่อแม่…ยังไม่ไปเหรอ
เด็กชายผงะไป จ้องเฉินชางตาเขม็ง “คุณอาหมอ ผมต้องไป
แล้ว…”เฉินชางได้ยินแล้วส่ายหน้าทันที “ตอนนี้หนูยังไปไม่ได้ หมอ
จะให้พ่อแม่หนูเข้ามานะ”
เด็กชายรีบส่ายหัว ขณะที่พูดก็จะลุกขึ้น “ยะ…อย่าไปเรียก
พวกเขานะครับ!”
เฉินชางหยุดกึกแล้วหันหลังมา
“ทำไมล่ะ”
เด็กชายมุ่ยปาก น้ำตาไหลอีกครั้ง “ถ้าพ่อแม่รู้ว่าผมป่วย
…พวกเขาก็จะไม่ต้องการผมแล้ว…ฮือๆ…”
พอพูดถึงตรงนี้ เด็กชายก็ร้องไห้เศร้าใจทันที ทำเอาหยางเจี๋ย
ที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วยังปวดใจ
เฉินชางผงะไป เขาคิดไม่ถึงว่าเด็กชายจะพูดแบบนี้!
เด็กชายร้องไห้พลางพูดว่า “เพื่อนๆ พูดกันว่าพ่อแม่ทิ้งผมแล้ว
พวกเขาไปเมืองหลวงแล้ว ก็เลยไม่มาหาผม…”
“พ่อแม่ต้องไม่ชอบผมแน่เลย”
เด็กชายร้องไห้หนักยิ่งขึ้น “ถ้าพวกเขารู้ว่าผมป่วย ต้องยิ่ง
ไม่ต้องการผม…”คราวนี้เฉินชางอึ้งไปเลย!
นี่เป็นคำพูดที่เด็กอายุห้าขวบคนหนึ่งควรพูดเหรอ
ทันใดนั้นหยางเจี๋ยที่อยู่ข้างๆ ก็งงไปเลย ดวงตาเริ่มพร่ามัวขึ้น
มาในชั่วพริบตา เธอรีบโอบเด็กน้อยแล้วเช็ดน้ำตาให้ “ไม่ร้องๆ
ไม่เป็นไรนะๆ น้าบอกอะไรให้ พ่อแม่หนูจะทิ้งหนูได้ยังไงจ๊ะ พวกเขา
ชอบหนูมากนะ พวกเขาอยากหาเงินมาซื้อของอร่อยให้หนูต่างหาก!”
เด็กชายเอ่ยเสียงสะอื้น “ผมไม่กินขนม ผมเป็นเด็กดี ผมตั้งใจ
กินข้าว ผะ…ผมไม่ซื้อของเล่นด้วย ผมแค่อยากให้พ่อแม่อยู่กับผม
เด็กคนอื่นมีพ่อมีแม่ทั้งนั้น แต่ผมไม่มี…ผม…แงๆ…”
เด็กชายร้องไห้ไปก็เริ่มเหนื่อย จึงไม่ร้องไห้แล้ว แต่สะอื้น
ไม่หยุด
หยางเจี๋ยที่เป็นแม่คนได้ยินคำของเด็กชายก็เริ่มร้องไห้ตามไป
ด้วย
เฉินชางอดถอนใจไม่ได้ เอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้หนูรู้สึกเจ็บ
หน้าอกไม่สบาย รู้สึกหายใจไม่ออกหรือเปล่า”เด็กชายพยักหน้า ยกมือปาดน้ำตา พูดทั้งที่ตาแดงอยู่ว่า “รู้สึก
ไม่สบายอยู่เรื่อยเลยครับ…แต่ผมไม่กล้าบอก เขาพูดกันว่าต้องเป็น
เพราะผมดื้อพ่อแม่ถึงไม่เอาผม ถ้าให้พวกเขารู้ว่าผมป่วย…พวกเขา
ต้องยิ่งไม่ต้องการผมแน่เลย…
อีกอย่าง ปู่ย่าบอกว่ายามันแพง พ่อแม่ลำบากหาเงิน ผมกลัว
ว่าพวกเขาจะไม่อยู่อีก แล้วผมจะไม่ได้เจอพวกเขาอีกแล้ว…”
เด็กชายอดสะอื้นขึ้นมาไม่ได้
เฉินชางร้องโธ่ ถอนหายใจยาวๆ มิน่าพ่อแม่ถึงไม่รู้ว่าลูก
ไม่สบาย ที่แท้เด็กคนนี้ปกปิดอาการป่วยของตัวเองอยู่ตลอดสินะ
เลยถึงขนาดทำให้หลายปีนี้มีอาการมาตลอด แล้วยังรุนแรงขึ้น
ไม่หยุดด้วย
เด็กชายลูบนิ้วมือ “ผมไม่กล้าเล่นกับเพื่อน พอเล่นแล้วก็จะไม่
สบาย ผมได้แต่มองดูพวกเขาเล่นกัน…
คุณอาหมอครับ ไม่บอกพ่อแม่ว่าผมป่วยได้ไหมครับ ผมทนได้
พักหน่อยก็หายแล้ว…” ดวงตาชุ่มน้ำตาของเด็กชายจ้องเฉิน
ชางเขม็ง เปี่ยมด้วยแววตาอ้อนวอน!หยางเจี๋ยได้ยินคำของเด็กน้อยแล้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรจริงๆ
น้ำตาไหลรินลงมา กอดปลอบเด็กชายอยู่ตลอด
เฉินชางนิ่งเงียบไปสักพัก ตอนนี้ความจริงทั้งหมดเปิดเผยแล้ว
แต่สิ่งที่เด็กชายต้องการอาจจะเป็นพ่อแม่ของเขา
เฉินชางลุกเดินออกไป สองสามีภรรยาฉินฟางรีบเข้ามาหา!
พวกเขารอจนร้อนใจอยู่ข้างนอกมานานแล้ว
“หมอ เป็นยังไงบ้างคะ” ฉินฟางพูดพลางดึงเสื้อกาวน์ของฉิน
ชาง แล้วพลันรู้สึกได้ว่าตัวเองประหม่าเกินไป จึงรีบผ่อนคลายลง
เฉินชางถอนใจ เล่าสิ่งที่เด็กชายพูดออกมาเมื่อกี้โดย
ไม่แต่งเติม
พอได้ยินเข้า พวกฉินฟางพลันยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนรูปปั้น!
ฉินฟางร้องไห้แทบขาดใจ แม้แต่สามีของเธอยังน้ำตาคลอเบ้า
ผ่านไปสักพัก เฉินชางก็พูดว่า “พวกคุณไปปลอบลูกเถอะ อีก
เดี๋ยวจะเตรียมผ่าตัดแล้วครับ”
แต่…ทันทีที่ฉินฟางเข้ามาเด็กชายก็ยิ้ม!“แม่ ผมไม่เป็นไร…ผมแค่เหนื่อย!” เด็กชายตาแดง ยิ้มพลาง
พูด “พวกเรากลับบ้านเถอะครับ!”