เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 86 เป็นผู้ป่วยหรือเป็นพวกต้มตุ๋นกันแน่?
นี่คือการทดลองของหลี่เป่าซาน!
ซึ่งก็คือให้คนคนหนึ่งรับผิดชอบเฉพาะเรื่อง งานของฉินเยว่ก็คือการศึกษาวิจัยข้อมูล
ถ้าหมอทุกคนต้องทำการวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่งควบคู่ไปกับงานเวชคลินิ กคงต้องมีวิชาแยกร่างแล้ว
เขาให้ฉินเยว่ปลดเปลื้องภาระเรื่องการดูแลห้องผู้ป่วยมาคอยเก็บสถิติในการผ่าตัด ขณะเดียวกันก็สรุปผลการผ่าตัดแต่ละครั้งออกมาเพื่อยกระดับความสามารถทางด้านการวิจัยของแผนกฉุกเฉินให้สูงขึ้น นี่คือสิ่งที่หลี่เป่าซานอยากทำมาโดยตลอด
ยุคสมัยกำลังก้าวไปข้างหน้า การวิจัยและงานเวชคลินิกต้องเชื่อมประสานกัน!
การกระทำในคราวนี้เป็นการกระทำที่เด็ดขาด เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแผนกฉุกเฉินแห่งโรงพยาบาลอันดับสองเลยทีเดียว!
คราวนี้ คนที่พบกับความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือเฉินชาง พลิกฐานะครั้งเดียวก็กลายเป็นกำลังสำคัญของแผนกฉุกเฉินไปแล้ว
ส่วนงานของหวังหย่งก็ชัดเจนยิ่ง พูดให้ถูกก็คือเป็นงานในอดีตของพวกเฉินชางและหวังเชียน ซึ่งก็คือการเขียนประวัติผู้ป่วย ดูแลคนไข้…
เฉินชางพลิกฐานะครั้งเดียวกลายเป็นแพทย์ระดับสูง!
ส่วนตนกลับกลายเป็นแพทย์ใต้บังคับบัญชาของเฉินชาง…
เป็นเรื่องชวนให้ขมขื่นจนน้ำตาไหล หวังหย่งถอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง
แม้แต่ตนก็ยังสู้พวกเฉินชางไม่ได้ ถึงอย่างไรเมื่อก่อนพวกเขายังดี อย่างน้อยแพทย์ระดับสูงก็เป็นระดับหัวหน้าแพทย์ที่มีอายุงานสูง อย่างน้อยก็มีฝีมือดีเทคนิคดี แต่ตน…กลับต้องมาทำงานจิปาถะจำพวกเขียนประวัติผู้ป่วยให้เฉินชาง ว่ากันตามจริง หวังหย่งรู้สึกอับอายมาก!
ต่อให้ตนแย่แค่ไหนก็ไม่ควรตกอับจนถึงขั้นนี้
หวังหย่งไม่เพียงแต่จะกลัวความลำบากและกลัวเสียหน้า เขายังกลัวตนจะไม่มีความหวังอีกด้วย
เฉินชางจะเก่งกว่าตัวเองสักแค่ไหนกันเชียว?
ติดตามเฉินชางจะได้เรียนรู้อะไรมากแค่ไหนกันเชียว?
เขารู้ว่าเฉินชางพอมีความสามารถอยู่บ้าง และเก่งกว่าตน แต่ความเก่งนี้ก็มีข้อจำกัด คงไม่เก่งกว่าตนสักเท่าไหร่หรอก
ติดตามเฉินชางจะทำให้ตนเปลี่ยนแปลงไปได้แค่ไหนกันเชียว?
คงมีขีดจำกัด!
แต่นี่ก็คือชีวิต ถ้าคุณไม่มีความสามารถ ก็ทำได้แค่ถูกบังคับให้ตามน้ำไป
หากคุณอยากอยู่ที่โรงพยาบาลอันดับสอง ก็ต้องทำตามการจัดสรรงาน
ตอนนี้ความคิดที่จะทำงานในโรงพยาบาลอันดับสองของหวังหย่งถูกสั่นคลอนแล้ว ถึงอย่างไรการติดตามเฉินชางคงไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนัก อยู่ต่อก็เสียช่วงเวลารุ่งเรืองของตนไปเปล่าๆ
ถ้าได้บรรจุที่นี่ก็ยังดี แต่ถ้าคราวนี้ได้เป็นแค่พนักงานชั่วคราวอีก หวังหย่งคงตัดสินใจไปจากที่นี่
เฮ้อ…
ระยะเวลาสามปี ใครจะตัดใจได้ล่ะ?
ความจริงหลี่เป่าซานไม่ได้เพ่งเล็งใครเป็นพิเศษ การจัดสรรงานในคราวนี้เป็นการจัดสรรตามความเหมาะสม เขาจัดสรรตามความพิเศษของแต่ละคน ความจริงเขาอยากให้เฉินชางทำการผ่าตัดอย่างเดียวด้วยซ้ำ แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของเฉินปิ่งเซิงจึงรู้สึกว่าคนหนุ่มควรเก็บประสบการณ์ให้มากสักหน่อย สุดท้ายเมื่อคิดถึงภาพรวมจึงจัดให้หวังหย่งคอยติดตามเฉินชาง
ในฐานะที่หวังหย่งเป็นบุคลากรชั่วคราว คอยทำงานจิปาถะเป็นลูกมือให้เฉินชางก็เหมาะสมที่สุดแล้ว
ส่วนฉินเยว่นั้นพอใจกับงานของตัวเองมาก!
อย่างไรเสียหลังจากวันนี้ไป ขอแค่ตนผ่าตัด เก็บสถิติและเขียนบทความให้ดีก็พอ ความกดดันด้านงานเวชคลินิกลดลงไม่น้อย ขณะเดียวกันความกดดันในงานวิจัยก็เพิ่มมากขึ้น
แต่…ในแผนกฉุกเฉิน งานเกี่ยวกับการวิจัยเป็นเวทีที่ใช้แสดงผลงานได้ง่ายที่สุด
ฉินเยว่พอใจมาก!
จุดที่ไม่พอใจเพียงจุดเดียวก็คือ…ต้องเป็นลูกน้องเฉินชาง!
การโอนย้ายบุคลากรและโอนถ่ายงานจำเป็นต้องทำให้สำเร็จภายในสามวัน หวังหย่งเป็นคนที่มีอคติและมีอารมณ์เดือดพล่านที่สุด
ส่วนคนอื่น โดยทั่วไปก็นับว่าได้เลื่อนขั้นเล็กน้อย
อันเยี่ยนจวินกลายเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับศัลยศาสตร์ในอนาคต เฉินปิ่งเซิงเป็นผู้รับผิดชอบการผ่าตัดเกี่ยวกับระบบย่อยและระบบทางเดินอาหารในแผนกฉุกเฉิน สือน่ากลายเป็นหัวหน้าย่อยของโรงพยาบาล หวังเชียนและเฉินชางมีสิทธิ์ออกใบสั่งยา ฉินเยว่กลายเป็นบุคลากรที่ทำงานด้านการวิจัยและผ่าตัด
……
……
พริบตาเดียว เฉินชางก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมา เขาต้องรับรองและจัดการผู้ป่วยเพียงลำพัง ทั้งยังต้องทำการผ่าตัดและเขียนประวัติผู้ป่วยอีกด้วย
ส่วนหวังหย่งเริ่มทำตัวเกียจคร้าน อย่างไรเสียในใจก็มีอคติ คนระดับเดียวกันกลายเป็นหัวหน้าตนไปแล้ว ไม่ว่าใครก็คงไม่มีความสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีที่มีนิสัยไม่ฟังใครคนนี้เลย
เฉินชางไม่มีเวลาไปสนใจหวังหย่ง แผนกฉุกเฉินไม่ใช่โรงเรียนอนุบาลที่พอคุณร้องไห้แล้วจะมีใครยื่นอมยิ้มปลอบใจคุณ
บ่ายวันพุธ แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยคนหนึ่งทำให้หมอเล็กๆ ที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเหล่านี้ต้องยอมสยบ!
อากาศยามบ่ายในเดือนสิงหาคมไม่เลวเลย เฉินชางเพิ่งจะออกมาจากห้องผ่าตัดก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายด้านนอก
มีผู้ป่วยมาอีกแล้วหรือ?
เฉินชางมองผ่านกระจก เห็นคู่รักคู่หนึ่งเดินโซเซเข้ามา ด้านหลังมีชายหัวล้านตัวอ้วน เหงื่อท่วมตัว สูงประมาณร้อยหกสิบกว่าเซนติเมตรเดินตามมาด้วย
ผู้ชายประคองผู้หญิง ส่วนผู้หญิงเห็นได้ชัดว่าหมดสติรับรู้ไปแล้ว ร่างกายโอนเอนซบไปในอ้อมกอดของผู้ชาย ทั้งสองเดินเซไปเซมาเหมือนกับคนเมา
พยาบาลเถียนเซียงหลานเห็นดังนั้นก็รีบบอกให้พยาบาลเข็นเตียงเข้ามาแล้วช่วยพยุงผู้หญิงขึ้นไป ตอนนี้เองหวังหย่งรีบเดินตามออกมา จะช่วยเข็นเตียงไปที่ห้องกู้ชีพ
ตอนนี้เฉินชางไม่ใช่ผู้ช่วยตัวเล็กๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว พบสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องรับมือด้วยตัวคนเดียว!
เฉินชางพูดกับเสี่ยวหลินผู้เป็นพยาบาลว่า “เดี๋ยวช่วยผมวัดความดันเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจหน่อยนะครับ”
เมื่อเฉินชางพูดจบก็วางมือลงบนข้อมือของผู้หญิง พริบตานั้นรู้สึกเหมือนมีความเย็นแพร่ออกมา ชีพจรอ่อนแรง ฝ่ามือเย็นเฉียบ
ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นกำลังหลับตาทั้งสอง สีหน้าขาวซีด ดูท่าทางอาการหนัก
ขณะนั้นเอง ชายที่เป็นผู้พยุงผู้หญิงเข้ามาก็ดึงมือชายร่างอ้วนเอาไว้ ตะโกนว่า “แกไปไม่ได้! พวกเรากินข้าวที่บ้านแกแล้วก็มีสภาพแบบนี้ แกไปไหนไม่ได้ ฉันจะแจ้งตำรวจ!”
ชายคนนั้นผอมมาก ทั้งยังไม่ค่อยสูง มีลักษณะของคนซื่อตรง ใครเห็นต่างก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนแอบางอย่าง
ชายร่างอ้วนเช็ดเหงื่อ “ผมไม่ได้จะไปไหนนะครับ ผมแค่จะไปเข้าห้องน้ำ นี่ก็มาโรงพยาบาลแล้ว คุณปล่อยผมก่อนเถอะ!”
ชายตัวเล็กยึดแขนของชายร่างอ้วนเอาไว้ พูดเสียงดังว่า “ไม่! ไม่ได้ ฉันไม่ปล่อยแกเด็ดขาด!”
ตอนนี้เอง เฉินชางเดินเข้ามา ถามชายคนนั้นว่า “ใครเป็นญาติผู้ป่วยครับ?”
ชายตัวเล็กดึงชายร่างอ้วนเข้ามา “ผมครับ!”
เฉินชางพยักหน้า ไม่ได้คิดอะไรมาก ถามเหตุการณ์ไปตามปกติ
ในดวงตาของชายร่างผอมมีน้ำตาซึม ท่าทางน่าสงสาร “ตอนแรกภรรยาผมไม่ได้เป็นแบบนี้ เธอยังไม่หมดสติ แต่เมื่อวานหลังจากกินข้าวที่บ้านเขาแล้ว พอกลับไปก็เริ่มอาเจียน อาเจียนไม่หยุด จากนั้นก็สติเลอะเลือน ปฏิกิริยาเชื่องช้า เป็นเพราะร้านอาหารของบ้านเขานั่นแหละ! ไม่นึกว่าวันนี้จะถึงกับหมดสติไป…”
ชายร่างผอมเน้นย้ำว่าเรื่องนี้เกิดหลังจากไปกินข้าวที่ร้านอาหารของอีกฝ่าย เมื่อรวมเข้ากับการแสดงออกของเขา ดูเหมือนเบาะแสทุกอย่างจะพุ่งเป้าไปที่มีพิษปนเปื้อนในอาหาร
เฉินชางขมวดคิ้วใคร่ครวญถึงสาเหตุ ตอนนี้เองหวังหย่งเดินเข้ามา หลังจากเห็นผู้ป่วยก็เบิกตากว้าง ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เฉินชางไม่หยุด
ตอนนี้เฉินชางกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจสอบอาการของผู้ป่วย จะสนใจมองหวังหย่งที่ไหนกัน
หากว่ากันตามปกติ เมื่อพบผู้ป่วยหมดสติจะต้องใคร่ครวญหลายด้าน หนึ่งคืออาการทางสมอง สองคืออาการเมทาบอลิซึมในสมองเป็นกรด สองคือถูกพิษ
ตรวจสอบก่อนแล้วกัน!
ฝ่ายหญิงอายุไม่มาก ประมาณยี่สิบสามสิบปีเท่านั้น เฉินชางถามต่อไป “เธอมีโรคประจำตัวอะไรไหมครับ?”
ผู้ชายส่ายหน้า “ไม่มีครับ! หลังจากกินข้าวที่บ้านเขา กลับมานอนไปตื่นหนึ่งก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว!”
ตอนนี้พยาบาลเดินออกมาแล้ว วัดค่าได้ว่า อัตราการเต้นของหัวใจ 120 ต่อนาที ความดันโลหิต 96/55 มิลลิเมตรปรอท ระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด 99% (ออกซิเจนในเลือดปานกลาง) ชีพจร 32 ครั้งต่อนาที
ผู้ป่วยยังคงหมดสติ เฉินชางกำลังใคร่ครวญหาสาเหตุของอาการอยู่ในใจ อัตราการเต้นของหัวใจค่อนข้างเร็ว มีอาการความดันโลหิตสูงหรือเปล่า?
เฉินชางยังไม่ทันพูดอะไร ผู้ชายก็พูดย้ำอีกครั้งว่า “ปกติภรรยาผมก็ดีๆ อยู่ ไม่ได้มีอาการป่วยอะไร กินได้ดื่มได้ตามปกติ แต่พอไปกินข้าวที่ร้านเขามื้อเดียวก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว!”
เฉินชางมีความคิดบางอย่างในใจแล้ว “เสี่ยวหลิน รีบตรวจปริมาณน้ำตาลในเลือด แล้วก็ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของตับและไต น้ำตาลในเลือดและการแตกตัวของเม็ดเลือด…อะไรพวกนี้ด้วยนะครับ ใช่แล้ว วิเคราะห์กรดแลคติกและก๊าซในเลือดด้วยนะครับ แล้วก็ใส่สายออกซิเจนให้ผู้ป่วย ให้สารปรับสมดุลด้วยนะครับ!”
พูดจบก็หันไปพูดกับหวังหย่งว่า “คุณช่วยเขียนคำสั่งแพทย์หน่อยนะครับ ส่งผู้ป่วยไปทำซีทีสแกนสมอง จะได้ตัดข้อสงสัยเรื่องหลอดเลือดในสมองออกไป เดี๋ยวผมจะไปตรวจร่างกายผู้ป่วยสักหน่อย”
คำพูดของเฉินชางยังไม่ทันจบ หวังหย่งก็ขยิบตาให้เฉินชาง รีบดึงแขนเฉินชางเดินออกไปนอกประตู
“คนคนนี้เป็นพวกต้มตุ๋น! ผมเจอเขาหลายครั้งแล้ว สามีภรรยาคู่นี้เป็นพวกหลอกเอาเงิน ใช้วิธีแบล็คเมล์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า!” หวังหย่งพูดเตือน “ทุกๆ หลายวันพวกเขาจะมาครั้งหนึ่ง เหล่าเฉินบอกให้จับตาดูเอาไว้”
เฉินชางพลันตื่นตะลึง!
แต่ไหนแต่ไรแผนกฉุกเฉินไม่เคยขาดผู้ป่วยหลอกลวงเหล่านี้ สามารถพบได้ทั่วไป เรียกได้ว่าไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ ไม่แบ่งแยกชายหญิงเด็กแก่ แต่มีเป้าหมายเดียวกัน!
หลอกเอาเงิน
เฉินชางเคยเจอแม่ลูกคู่หนึ่ง คนเป็นแม่แกล้งป่วย คนเป็นลูกแสร้งทำเป็นกตัญญู ทั้งสองร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ ชอบไปหลอกลวงตามคลินิกเล็กๆ คนเป็นแม่จะชักกระตุกและหมดสติไป แล้วรีบส่งตัวมาที่แผนกฉุกเฉิน หลังจากมาแล้วจะไม่ยอมเจาะเลือดไม่ยอมรักษา คนเป็นลูกจะรับหน้าที่ตีโพยตีพายหมอในคลินิก เมื่อเงินถึงมืออาการป่วยของคนเป็นแม่ก็ดีขึ้น จากนั้นก็หายตัวไปไม่เหลือร่องรอย หรือบางทีตอนที่ได้พบกันครั้งต่อไป อีกฝ่ายอาจจะชี้หน้าหัวเราะเยาะคุณก็ได้ เฉินชางไม่อยากหาเรื่องคนพวกนี้ แต่ก็จะไม่ให้ความร่วมมือ หากพูดกันตามปกติก็คือเขาไม่อยากให้ความวุ่นวายมาถึงตัว เขาเคยเห็นหมอที่ถูกส่งมาที่แผนกฉุกเฉินเพราะโดนเรื่องเหล่านี้มาแล้ว คราวนี้มาในฐานะผู้ป่วย
แต่ว่า…
เฉินชางคิดว่าผู้หญิงคนนี้ป่วยจริงๆ!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็พูดกระตุ้น “รีบไปถ่ายทอดคำสั่งแพทย์เถอะครับ ตรวจสอบดูสักหน่อย”
หวังหย่งถลึงตาโต “นี่พี่ชาย คุณฟังผมไม่รู้เรื่องหรือ? เขามาหลอกเอาเงิน คุณ…”
เฉินชางจ้องหวังหย่ง พูดขึ้นว่า “คุณเป็นหมอไม่ใช่เชอร์ล็อคโฮมส์ คุณดูหรือยังว่าสัญญาณทางกายภาพของผู้ป่วยเป็นยังไง? ผมสงสัยว่าเธอมีอาการน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลันจนหมดสติ”
หวังหย่งได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา แค่นสียงอย่างไม่สบอารมณ์ หมุนตัวเดินจากไป ปากก็บ่นพึมพำว่า ไม่รู้จักฟังความหวังดีของคนอื่นเอาซะเลย
เฉินชางถอนใจส่ายศีรษะ ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน