เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ - บทที่ 985 วิกลกจริต?
หลังจากเลิกงาน อารมณ์ของเฉินชางเยือกเย็นเล็กน้อย เขากินเกี๊ยวร้านข้างทาง ใส่พริกเยอะหน่อย กินไปสองถ้วย ตอนเขากลับถึงบ้าน ฉินเยว่ก็ไปทำ งานแล้ว เฉินชางอาบน้ำ เสร็จก็ล้มตัวลงนอน
ตื่นมาอีกทีก็บ่ายสองกว่าแล้ว หลังจากตื่นนอน เฉินชางล้าง หน้าล้างตา หยิบตารางงานของตนเองขึ้นมา
เพียงแต่ครั้งนี้ ตอนที่เฉินชางมองตารางงาน ไม่เพียงไม่ได้ตื่น เต้นเหมือนที่ผ่านมา กลับรู้สึกถึงแรงกดดันและความเหนื่อยล้า
ช่วงนี้ เขาจัดตารางของตนเองแน่นมาก!
จากนั้นเขาก็โทรหาพ่อแม่ ถึงรู้ว่าพ่อเตรียมจะพาแม่ไปดูดอก แอปริคอทแล้ว มีภูเขาดอกแอปริคอทที่อยู่ห่างจากเมืองจิ้นหยางห้า สิบกว่ากิโลเมตร เดือนเมษายนอากาศกำ ลังดี ดอกแอปริคอทแบ่ง บาน ทั้งสองต่างเตรียมความพร้อมสำ หรับการขับรถเที่ยวครั้งนี้ อย่างมีความสุข
หลังจากรู้ข่าวนี้ เฉินชางดีใจมาก พอวางสาย เขาพลันมีความคิดหนึ่ง รองานประชุมครั้งนี้เสร็จ เฉินชางอยากพัก ถ้าได้พาฉินเยว่ไป
เที่ยว ไปเปิดหูเปิดตาด้วยจะดีที่สุด หลังจากได้วีซ่า รองานประชุมของเมโยจบลง เฉินชางตัดสินใจ
ว่าจะยังไม่กลับประเทศ จะเที่ยวต่อสักหน่อย ได้พาฉินเยว่ไปฮันนีมูน คนเราแก่ขึ้นทุกปี จะเหลือเวลาอีกสักเท่าไรเชียว ในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิต แม้ต้องดิ้นรนใช้ชีวิต แต่จะทิ้งช่วง
เวลาวัยรุ่นไม่ได้ แม้ไม่ได้รุ่งโรจน์ แต่ก็จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้! เฉินชางลงไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ สูดอากาศบริสุทธิ์
บรรยากาศของคอนโดแห่งนี้ไม่เลวเลย เดือนเมษาก็มีดอกไม้ ใบหญ้ามากมายแล้ว ดูมีชีวิตชีวา
ด้านล่างมีเด็กๆ วิ่งเล่นกันเป็นกลุ่มๆ พูดคุยหัวเราะกันอย่างมี ความสุข
เฉินชางหาเก้าอี้มานั่ง สัมผัสแสงอาทิตย์ยามบ่ายของเดือน เมษา ไม่งดงามตระการตา และไม่หรูหราโอ่อ่า สบายใจมาก
พอบ่ายสาม ตอนที่เฉินชางเตรียมจะไปซื้อของ เสียงโทรศัพท์ มือถือพลันดังขึ้น
เป็นสายจากเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการสาธารณสุข ให้เฉิน ชางไปเซ็นชื่อบนเอกสารเกี่ยวกับศูนย์วิจัยการผ่าตัดโดยหัวใจไม่ หยุดเต้น
เฉินชางจึงลุกขึ้น เตรียมจะไปกระทรวงสาธารณสุข
ตอนแรกเฉินชางจะขับรถไป แต่พอคิดได้ว่านั่งรถไฟฟ้าสะดวก กว่าจึงไปขึ้นรถไฟฟ้าแทน รถไม่ติดและไม่ต้องคอยดูทางเอง
คอนโดโซนนี้ราคาแพงก็ถือว่าสมเหตุสมผล เพราะใกล้โรง พยาบาล การเดินทางก็สะดวก ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเพียงแค่หนึ่ง กิโลเมตร บริเวณนั้นยังมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่มีชื่อเสียงมาก แห่งหนึ่ง
เฉินชางเดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้ว
บนรถไฟฟ้าคนไม่เยอะมาก ช่วงระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดู ใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่คนแต่งตัวกันตามชอบใจ บนรถไฟฟ้ามีทั้งคนแก่ ที่สวมชุดไหมพรม เด็กผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสั้นและชายหนุ่มที่ใส่เสื้อ กันหนาว…
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดกลับเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
อายุน่าจะประมาณสามสิบสี่สิบปี แต่กลับสวมชุดยูนิฟอร์ม นักเรียน พุงที่ยื่นออกมาทำ ให้ชุดยูนิฟอร์มที่ใส่ดูไม่เหมาะสม
ชุดยูนิฟอร์มที่เขาใส่เป็นชุดพละตัวหลวมที่หลายคนใส่ตอน มัธยมปลาย แต่พุงที่เกิดจากการบวมเบียร์ของชายคนนี้ ทำ ให้ชุด ยูนิฟอร์มดูคับขึ้นมา
ตอนนี้ชายหนุ่มถือโทรศัพท์มือถือใส่หูฟัง ยิ้มพูดกับคนในสาย วิดีโอคอล “แม่ครับ ผมกำ ลังจะกลับบ้าน วันนี้คุณครูชมผมด้วย บอกว่าผมสอบได้ที่หนึ่งของห้อง! เย็นนี้ผมอยากกินเกี๊ยวครับ!”
……
ได้ยินชายหนุ่มวิดีโอคอลกับแม่ ทุกคนรอบข้างมองชายหนุ่ม อย่างครุ่นคิดแวบหนึ่ง
อายุขนาดนี้แล้วยังเรียนอยู่เหรอ
อีกอย่าง…นี่น่าจะเป็นชุดนักเรียนของระดับมัธยมศึกษาตอน
ปลายเองนะ
ทันใดนั้น แม้ทุกคนไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจก็วิพากษ์วิจารณ์ เห็นชายหนุ่มเป็นตัวประหลาด
ทว่า หลังจากวางสาย ชายหนุ่มมองคนรอบข้างอย่างรู้สึกผิด แวบหนึ่ง ในสายตาเต็มไปด้วยความเกรงใจ
ทว่า…สถานการณ์แบบนี้ เขาเองก็ชินแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นคนแปลกหน้า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกัน
เฉินชางที่อยู่ข้างๆ เห็นการกระทำ ของชายหนุ่มแล้วรู้สึกไม่ เข้าใจเล็กน้อย
หรือ…จะเป็นพวกมีปัญหาด้านพัฒนาการ
ทว่าตอนที่ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมาดันสบตากับเฉินชางพอดี เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
เฉินชางเองก็ชะงัก เพราะเขาค้นพบว่า ในสายตาของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยสติปัญญาและไหวพริบ ซึ่งแตกต่างจากคนที่มีปัญหา
ด้านพัฒนาการ และสีหน้าต่างๆ ก็ดูปกติมาก ทว่าเฉินชางต้องเปลี่ยนสายแล้ว จึงลงจากรถไป เหตุการณ์ที่แทรกเข้ามานี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ กับเฉินชาง ช่วงบ่าย หลังจากไปเซ็นชื่อกับเจ้าหน้าที่ที่กระทรวง
สาธารณสุข ระหว่างทางก็แวะไปเยี่ยมฉินหย่งอี้ พอเห็นเฉินชาง ฉินหย่งอี้เองก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเฉินนั่งก่อนสิ” ว่าพลางให้เลขารินน้ำ ชาให้เฉินชาง เฉินชางทักทายอารองคนนี้พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นทั้งสองก็ถามสารทุกข์สุกดิบกัน
จะว่าไป ด้วยตำ แหน่งของฉินหย่งอี้ ความจริงก็ไม่ได้ยุ่งมาก ส่วนใหญ่จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือและการ สื่อสารกับภายนอก ปกติก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็จะจัดการให้
ก็มีแค่ตอนที่เออร์สเต็ดมานี่แหละ ที่ฉินหย่งอี้ไปต้อนรับด้วย ตัวเอง
จากนั้นทั้งสองก็พูดถึงเรื่องสมาคมศัลยกรรมทางเดินอาหาร ระดับโลก
ฉินหย่งอี้พูดอย่างมีลับลมคมใน “เสี่ยวเฉิน ถ้าครั้งนี้คุณได้เข้า ร่วมสมาคมศัลยกรรมจะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อคุณมาก องค์กร วิชาการระดับนานาชาติที่องค์การอนามัยระดับประเทศของเรายัง เข้าร่วมแบบนี้ ถือว่าเป็นที่ยอมรับของประเทศอย่างมาก คุณค่าก็สูง ถ้าคุณได้เข้าร่วม ถือว่ามีส่วนช่วยต่อการพัฒนาในอนาคตของคุณ อย่างมาก!”
จากนั้นฉินหย่งอี้ก็เล่าเรื่องราวมากมายให้เฉินชางฟัง ตั้งแต่ กลยุทธ์การเตรียมคน จนถึงการวางแผนนักวิชาการ…
โดยรวมก็คือ อะไรที่ไขว่คว้าเอาไว้ได้ ก็ให้เฉินชางไขว่คว้าไว้ ทั้งหมด
ก่อนกลับ ฉินหย่งอี้หยิบชาหลายกล่องออกมาจากลิ้นชัก “เอา กลับไปดื่มนะ คนอื่นให้มาเหมือนกัน ดื่มไม่หมด”
เฉินชางบ่ายเบี่ยงเล็กน้อยก่อนจะตอบรับ
ตอนเย็น พอกลับถึงบ้าน เฉินชางก็เตรียมอาหารอย่างพิถีพิถัน
ดินเนอร์กับฉินเยว่อย่างอบอุ่นและโรแมนติก
ชีวิตยังคงต้องเดินหน้าต่อ
หม่าเยว่ฮุยและเออร์สเต็ดคุยกันถูกคอ และตอนที่เฉินชางคุย กับเออร์สเต็ดก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่า…สำ เนียงดอนลอนของเออร์ส เต็ด จู่ๆ ก็มีสำ เนียงปักกิ่งปนเข้ามา!
ช่างเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทว่าที่สำ คัญที่สุดคือ การร่วมงานของทั้งสองกลับเข้ากันได้ เป็นอย่างดี ภายใต้ความช่วยเหลือของเหอจื้อเชียน รวมถึงแผนก ศัลยกรรมทั่วไป พวกเขาค้นพบการรักษาผิดๆ ที่ทำ ให้ท่อน้ำ ดีบาด เจ็บได้ง่ายสิบกว่าอย่าง!
สำ หรับทุกคน นี่เป็นการค้นพบที่น่าประหลาดใจอย่างไม่ต้อง สงสัย
ทั้งสองรีบตามเฉินชางมาคลี่คลายและหาวิธีแก้ปัญหา
ด้วยความพยายามของทุกคนในช่วงสองวันนี้ ในที่สุดก็สำ เร็จ
ทุกคนค่อนข้างตื่นเต้น ถึงอย่างไร…นี่ก็เป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่มี ความหมายมาก วิธีเหล่านี้จะช่วยคนได้มากมาย
ยิ่งไปกว่านั้น จะเอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่ลง วารสาร ‘เดอะแลน ซิต’ สักหน้าก็คงไม่ใช่ปัญหาแล้ว!
ตกดึก เฉินชางพาเออร์สเต็ดไปกินปิ้งย่างข้างทางเป็นการ ฉลอง