A Wizard’s Secret ความลับของพ่อมด - ตอนที่ 15
รถม้าวิ่งอย่างช้า ๆ บนถนนสายหลัก เมอร์ลินปิดตาของเขาเพื่อนอนพักในรถม้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ารถม้าถูกบางอย่างกระแทกอย่างรุนแรงและได้ยินเสียงม้าที่อยู่ข้างนอกร้องครวญคราง
“มอสส์เกิดอะไรขึ้น?”
เมอร์ลินดึงผ้าม่านที่เปิดออกและถามมอสส์ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
ในเวลาเดียวกันมอสส์พยายามอย่างมากเท่าที่จะทำได้เพื่อควบคุมม้าดำที่ตื่นตระหนก เมื่อได้ยินความไม่พอใจในน้ำเสียงของเมอร์ลินมอสส์พูดด้วยความไม่สบายใจว่า “คุณชายเมอร์ลิน กองอัศวินวิ่งเข้ามาจากด้านหลัง ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร”
เมอร์ลินชะโงกหน้าออกและมองไปในระยะไกล แน่นอนเขาเห็นทีมอัศวินในชุดเกราะที่สว่างและส่องประกายอยู่ข้างหน้า ขณะนี้พวกเขากำลังวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคนเดินผ่านและรถม้าบนถนน ถนนทั้งสายวุ่นวายพร้อมกับเสียงบ่นของคนจำนวนมาก
ชุดเกราะของอัศวินเหล่านี้แตกต่างจากอัศวินทหารป้องกันเมือง เมอร์ลินไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณเมอร์ลิน?”
ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นเคยลอยเข้าไปในหูของเมอร์ลินจากด้านข้าง เขาหันหัวไปมองดูรถม้าที่จอดอยู่ข้างถนนทางด้านขวา คนขับรถม้ากำลังทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้ม้าที่ตกใจสงบลง ส่วนคนที่อยู่ในรถม้าเป็นคนรู้จักของเขา คาริซซึ่งเขาไม่ได้เห็นเธอมานานกว่าสิบวันแล้ว
“คุณสคาริซ”
เมอร์ลินรีบลงจากรถม้าของเขาและไปที่รถม้าของคาริสแล้วถามว่า “คุณคาริซไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
คาริสส่ายหัวของเธอเบาๆ แล้วพูดว่า “มีเพียงแค่ม้าที่ตื่นตระหนกเท่านั้น นอกนั้นปกติดี จริงสิฉันกำลังจะไปเยี่ยมคุณอีธานมาเมื่อวันก่อนแต่คุณอีธานไม่อยู่บ้าน คุณพอจะรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อาจารย์อีธานบอกกับผมว่าเขามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องไปทำและต้องออกจากเมืองแบล็กวอเตอร์ไปซักระยะหนื่ง วันนี้ฉันแค่อยากไปดูว่าอาจารย์อีธานกลับมาหรือยัง”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของคาริส “บังเอิญจัง ฉันก็เตรียมตัวไปพบคุณอีธานเหมือนกัน พวกเราจะไปด้วยกันไหม”
เมอร์ลินพยักหน้า จากนั้นพวกเขานั่งม้าไปที่บ้านไม้เล็ก ๆ ของชายชราอีธาน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งรถม้าก็หยุดลงอย่างช้าๆ มอสส์ดึงม่านเปิดออกและพูดกับเมอร์ลินอย่างจนปัญญาว่า “คุณชายเมอร์ลินเราไม่สามารถไปต่อข้างหน้าได้ มันถูกขวางเอาไว้”
“ถูกขวาง?”
เมอร์ลินขมวดคิ้วแล้วชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอก ในสถานที่ที่ไม่ไกลจากบ้านไม้มีคนจำนวนหนึ่งยืนขวางถนนอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?”
คาริซก็ชะโงกหน้าออกมาจากรถม้าของเธอด้วย เธอมองดูเมอร์ลินด้วยสีหน้าสงสัย
“คุณคาริสดูเหมือนทางจะถูกบล็อก พวกเราจะควรไปดูมั้ยว่ามันเกิดเรื่องอะไรเกิดขึ้น?”
เมอร์ลินและคาริสได้ลงมาจากรถม้าและเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางฝูงชนเมอร์ลินและคาริสเป็นคนตัวสูงดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถมองเห็นสถานการณ์ข้างหน้าได้แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ข้างหลังฝูงชนก็ตาม
“อัศวินกลุ่มนี้อีกแล้วเหรอ? คุณคาริสรู้จักคนเหล่านี้หรือไม่”
เมอร์ลินเห็นอัศวินยี่สิบกว่าสวมชุดเกราะสีเงินสีขาวท่ามกลางฝูงชน พวกเขาเป็นคนที่วิ่งบนถนนก่อนหน้านี้และทำให้เกิดความโกลาหล ตอนนี้พวกเขาปิดกั้นถนนและไม่ให้ใครผ่านไปส่งผลให้มีคนจำนวนมากลงมาจากม้าของพวกเขาและแสดงความไม่พอใจ
คาริซขมวดคิ้วและสังเกตชุดของอัศวินกลุ่มนี้อย่างระมัดระวังเป็นเวลานาน จากนั้นเธอลดเสียงของเธอและพูดว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจนะแต่ดูจากเครื่องแบบของพวกเขา ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นกองกำลังนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งโบสถ์เทพแห่งแสงแต่เมืองแบล็กวอเตอร์ของเราไม่มีนักรบศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นฉันจึงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก”
“นักรบศักดิ์สิทธิ์”
เมอร์ลินพูดทวนเบา ๆ เขาได้นึกถึงคอว์ธันขึ้นมาทันทีเพราะเขาได้กลายเป็นนักดาบธาตุแสงและเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์ในเมืองหลวง
“เป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาจะเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์จากเมืองหลวง?” เมอร์ลินเดาด้วยเสียงเบาๆ
“เมืองหลวงงั้นเหรอ? ก็เป็นไปได้แต่ทำไมพวกเขาถึงได้ระดมนักรบศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายังเมืองแบล็กวอเตอร์ด้วยล่ะ คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในเมืองใช่ไหม?”
คาริซและเมอร์ลินไม่กล้าพูดเสียงดัง เนื่องจากนักรบศักดิ์สิทธิ์ทุกคนล้วนเป็นบุลคลที่มีอำนาจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองแบล็กวอเตอร์ ศักดินาของพวกเขานั้นสูงพอ ๆ กับขุนนางเลยทีเดียว
อาจมีบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้นที่นี่ จึงทำให้นักรบศักดิ์สิทธิ์ถึงยี่สิบคนซึ่งมียศเทียบเท่ากับขุนนางถ่อมามาถึงที่นี่
เมอร์ลินได้ยินดังจากด้านหลัง เขาได้หันไปและพบว่ากลุ่มอัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองแบล็ควอเตอร์เพิ่งเดินทางมาถึงที่นี่
ฝูงชนแยกออกสองฝั่งทันทีและปล่อยให้กลุ่มอัศวินจากกองกำลังป้องกันเมืองผ่าน อัศวินที่เหมือนผู้นำได้ตะโกนใส่อัศวินที่ไม่ทราบที่มาที่ไป “พวกคุณเป็นใคร”
อัศวินที่สวมหมวกสีเงินเดินไปข้างหน้า ด้วยท่าทางแสดงออกที่ทรงพลัง เขาพูดกับอัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองว่า “เราคือนักรบศักดิ์สิทธิ์จากโบสถ์เทพแห่งแสง พวกเรามาจากเมืองหลวง!”
“นักรบศักดิ์สิทธิ์จากเมืองหลวง”
อัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองต่างตกใจ ขนาดนักรบศักดิ์สิทธิ์จากเมืองเล็ก ๆ พวกเขาก็ต้องต้อนรับอย่างอย่างระมัดระวัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกที่มมาจากเมือวงหลวง มันจะทำให้พวกเราลนลานขนาดไหน
“กระผมขอทราบได้ไหมว่าทำไมท่านนักรบผู้มีเกียรติทุกท่านถึงมาที่เมืองเล็ก ๆ อย่างแบล็กวอเตอร์แห่งนี้?”
อัศวินจากกองกำลังป้องกันเมืองถามอย่างระมัดระวัง
“พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านบิชอปให้มาที่นี่และจับคนนอกรีตแห่งอาณาจักรแบล็คมูน พวกคุณควรถอยไปไม่เช่นนั้นพวกคุณจะได้รับบาดเจ็บจากเวทย์มนตร์แห่งความชั่วร้าย”
“คนนอกรีตที่ชั่วร้าย?”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ทำให้ฝูงชนที่อออยู่ข้างหน้าได้ถอยหนีอย่างรวดเร็วทันที เพียงพริบตา พวกเขาก็ถอยห่างจากนักรบศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แม้แต่พลทหารในกองกำลังป้องกันเมืองก็ยังตกใจและมีสีหน้าซีดเผือก
เมอร์ลินไม่ทราบว่าคนนอกรีตที่ชั่วร้ายคืออะไร อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นปฏิกิริยาจากคนรอบข้าง เขาสามารถเดาได้ว่าพวกเขาควรเป็นคนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“นักดาบบ็อค คนนอกรีตผู้ชั่วร้ายอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กนี้ นำคนของคุณมาและล้อมสถานที่นี้ไว้ทันที”
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมเสื้อเกราะสีอ่อนสั่งการนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบตัวเขา
หัวใจของบ็อครู้สึกเย็นยะเยือกทันที ตามที่คาดไว้ พวกเขาได้พบคนนอกรีตที่ชั่วร้าย เขาไม่กล้าที่จะเสียเวลา เขาพยายามอย่างมากที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ เขาได้สั่งการนักรบศักดิ์สิทธิ์วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและล้อมบ้านไม้หลังเล็กๆไว้
“เดี๋ยวนะ? นั่นบ้านของคุณอีธานไม่ใช่เหรอ?”
คาริซพูดอย่างตื่นตระหนกและร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ โชคดีที่เสียงของผู้คนที่อยู่รอบข้างดังมากจึงไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอ
เมอร์ลินรีบคว้ามือของคาริซไว้และรีบพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “คุณคาริซอย่าพูดเรื่องนั้นสิ”
เมอร์ลินเข้าใจว่าเป้าหมายของกลุ่มนักรบศักดิ์สิทธิ์คือบ้านไม้เล็ก ๆ ของชายชราอีธานผู้ลึกลับ เขาเดาว่าที่กลุ่มนักรบศักดิ์สิทธิ์มาบ้านหลังนี้ก็เพราะพวกเขาจะต้องรู้อะไรบางอย่าง
“เมอร์ลิน ฉันไม่รู้ว่าคุณอีธานกลับมาแล้วหรือยัง? ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายสำหรับคุณอีธาน ฉันหวังว่า เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
คาริสพูดด้วยความกังวล
การแสดงออกของเมอร์ลินนั้นดูเคร่งเครียดมาก เขาส่ายหัวเล็กน้อย มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ในใจของเขาราวกับว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชายชราอีธานผู้ลึกลับ
กองกำลังนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้ล้อมรอบบ้านไม้ของอีธานไว้และนักดาบบ็อคที่อยู่ในแนวหน้า เขาได้หันไปถามชายผิวขาวด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านเจสันเราจะทำยังต่อดี”
ชายเสื้อคลุมสีขาวเหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาพยายามประเมินสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ตามประตูและหน้าต่างของบ้านไม้เล็กๆ ถูกปิดอย่างแน่นหนา ไม่มีใครสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้
หลังจากนั้นไม่นาน ชายผิวขาวโบกมือโบกมือแล้วพูดว่า “นักดาบบ็อคบุกเข้าไปข้างในเลย มันจะเป็นการดีที่สุด ถ้าเราสามารถจับคนนอกรีตได้อย่างเป็นๆ”
นักดาบบ็อคตกตะลึงเล็กน้อย เขารู้สึกไม่สบายใจ ทุกคนดีรู้ว่าความน่ากลัวของคนนอกรีตนั้นน่ากลัวเพียงใด แต่เจสันก็ยังออกคำสั่งแบบนั้น แม้ว่าบ็อคจะเป็นนักดาบธาตุแสง ระดับสอง แต่เขาก็ทำได้เพียงเชื่อฟังเท่านั้น
ดังนั้นนักดาบบ็อคจึงเรียกนักรบศักดิ์สิทธิ์อีกสามคนและเตรียมบุกเข้าไปในบ้านไม้ด้วยกัน
ทุกคนจับจ้องบ้านไม้เล็กๆ อย่างประหม่า หลังจากที่สี่ผู้พิทักษ์ดาบได้เข้าไปแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่ชายผิวขาวที่ขมวดคิ้วและพึมพำออกมาเบา ๆ “บางทีข้อมูลที่ได้มาอาจจะผิด”
“ตูม! ตูม! ตูม!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากบ้านไม้ที่เงียบสงบ ร่างของนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าไปในบ้านก่อนหน้านี้ได้ลอยกระเด็นออกมาจากบ้านไม้ ร่างกายของพวกเขาดำเกรียมราวกับถูกไฟไหม้ สามารถได้กลิ่นของเนื้อไหม้ลอยโชยออกมา
ร่างของนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่หล่นลงบนพื้น ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดจะตายไปแล้ว
อัศวินแห่งกองกำลังป้องกันเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กับบ้านไม้ พวกเขาไม่สามารถซ่อนหวาดกลัวได้อีกต่อไป หลังจากที่ได้เห็นร่างไหม้เกรียมทั้งสาม พวกเขาทั้งหมดหันมาวิ่งหนีห่างออกไปทันที
นักรบศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ อย่างน้อยก็เป็นนักดาบธาตุระดับหนึ่งและที่มีทั้งพลังและอำนาจ
อย่างไรก็ตามตอนนี้นักดาบธาตุเหล่านี้เพิ่งจะตายไปอย่างลึกลับ
“คลื่นแสงศักดิ์สิทธิ์!”
ในเวลานี้เสียงคำรามดังดังออกมาจากในบ้านไม้หลังเล็กๆ มีนักรบศักดิ์สิทธิ์สี่คนที่เข้าไปในบ้านแต่ตอนนี้ตายแล้วสามคนแต่นักดาบบ็อคยังอยู่ข้างในและเสียงนี้เป็นเสียงของนักดาบบ็อค
มีร่างๆ หนึ่งกระโดดออกจากบ้านไม้หลังเล็กๆ พร้อมกับแสงสีขาวคนที่ออกมานั่นคือนักดาบบ็อค
“ท่านเจสัน พวกนอกรีตที่ชั่วร้ายอยู่ข้างในครับ”
ร่างกายของบ็อคถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวพราว อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งตามร่างกายของเขา นอกจากนี้ยังสามารถเห็นบาดแผลจากแขนขวาของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บด้วย
“นักดาบธาตุระดับสอง เขาเป็นนักดาบธาตุระดับสอง!”
คาริซซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เมอร์ลินพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ส่วนทางเมอร์ลิน ภายนอกเขายังคงความสงบเยือกเย็นได้แต่ภายในกำลังทำงานอย่างหนัก
นักดาบเปโรเป็นเพียงนักดาบเพลิงระดับหนึ่งและเลห์แมน วิลสันที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนานดูเหมือนจะเป็นได้แค่นักดาบธาตุระดับหนึ่งเท่านั้นอย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยผ่านไปสู่ระดับที่สอง
แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้นักดาบธาตุระดับสองที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังกลับต้องอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บอย่างน่าสมเพช เขาได้หนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากบ้านไม้หลังเล็กๆ
ชายเสื้อคลุมสีขาวมองไปที่นักดาบบ็อค จากนั้นเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนที่บ้านไม้หลังเล็ก ๆ “เจ้าคนนอกรีต ตอนนี้พระเจ้ายังสามารถให้อภัยเจ้าได้ หากเจ้ายอมรับและเข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์ เจ้าจะเป็นหนึ่งในบุตรของพระเจ้า จากนั้นบาปต่าง ๆ ที่เจ้าไปก่อขึ้นมา เจ้าจะได้รับการชำระล้าง”
“พระเจ้า? มีพระเจ้าในโลกนี้หรือ? พวกโบสถ์เทพแห่งแสงทำแค่อวดอ้างว่าทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! เจ้าเป็นแค่นักเวทย์ระดับหนึ่งเท่านั้น เจ้ายังไม่รู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำลวงอันน่าขำของพวกโบสถ์งั้นเหรอ? ช่างน่าขันสิ้นดี ข้าจะบอกให้นะ ข้าจะเชื่อในความจริงที่ข้าเชื่อเท่านั้น ข้าเชื่อในเวทมนต์ไม่ใช่พระเจ้าอันไร้สาระที่พวกเจ้าจินตนาการถึง”
เสียงแหบห้าวดังกึกก้องจากบ้านไม้เล็กๆ จากนั้นก็ร่างคนๆ หนึ่งที่ค่อยๆ เผยตัวออกมาจากตัวบ้าน